ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ยังไม่ได้ฤกษ์เห็นโฉมหน้า “ครม.ประยุทธ์ ภาค 2” อย่างเป็นทางการ
แม้ว่าที่ประชุมร่วมรัฐสภาจะลงมติเลือก “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้เป็นนายกรัฐมนตรี ไปเมื่อวันที่ 5 มิ.ย.ที่ผ่านมา พร้อมทั้งมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง “นายกฯประยุทธ์” ไปแล้วเมื่อวันที่ 11 มิ.ย. แต่การจัด “ดรีมทีม” ร่วมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็มีอันต้อง “สะดุด” เล็กน้อย
อันเป็นผลมาจากปัจจัยทั้ง “ภายนอก - ภายใน”
ด้วยเหตุมี “คนงอแง” และนำมาซึ่งความปวดเศียรเวียนเกล้าของ “ผู้ใหญ่” ไม่น้อย ทั้งผู้ใหญ่ที่ชื่อ “ลุงตู่” ในฐานะ “หัวหน้ารัฐบาล” และผู้ใหญ่ที่ชื่อ “ลุงป้อม” ที่ว่ากันว่าเป็น “ผู้จัดการรัฐบาลตัวจริง”
งานนี้ก็เลยต้องถึงมือ “ผู้กองมนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา พรรคพลังประชารัฐ ผู้รับผิดชอบอาณาเขตภาคเหนือในการเลือกตั้งที่ผ่านมา และรู้กันทั่วว่าเป็น “มือทำงานตัวจริง” ของ “นาย” เข้ามารับหน้าที่เป็น “มือเคลียร์” จนทุกอย่างคลี่คลายไปในทิศทางที่ดี
ขณะเดียวกันในระหว่างที่ “รอ” ก็เกิดความเคลื่อนไหวของตัวละครสำคัญขึ้นมาอีกคนหนึ่งขึ้นมาในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน ถ้า “ผู้กองมนัส” เป็น “มือซ้าย” คนๆ นี้ก็น่าจะเป็น “มือขวา” ในการทำงานของ “ทีมลุง” เลยก็ว่าได้ เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็เป็นที่รู้กันทั่วว่าเป็น “มือทำงานตัวจริง” เช่นกัน
และตัวละครคนนี้จะเป็นใครเสียมิได้นอกจาก “เสธ.มิตต์” หรือ “พล.ต.นิมิตต์ สุวรรณรัฐ” นายทหารฝ่าย เสธ. ประจำรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งที่ผ่านมาเจ้าตัวค่อนข้าง “โลว์โปรไฟล์” แต่ก็รับรู้กันดีว่า “เสธ.มิตต์” ไม่เพียงเป็น “มือขวา” แต่เป็น “เงาตามตัว” ของ “ลุงตู่” มาตลอด
เพราะจู่ๆ เมื่อวันที่ 14 มิ.ย. ที่ผ่านมา “เสธ.มิตต์” ก็ยื่นหนังสือลาออกจากราชการทหาร และได้รับการโจษจันไปทั่วทั้งคุ้งน้ำว่า “เสธ.มิตต์” จะมาลุยงานการเมืองเต็มตัว โดยคาดว่าแต่งตัวมาเตรียมรับตำแหน่งสำคัญเคียงข้าง “นายกฯ ลุงตู่” เพื่อกลั่นกรองงานให้กับ “นาย” หลังถูกส่งไปฝึกวิทยายุทธ์มาได้พักใหญ่จนมีความเชี่ยวชาญชำนาญการ
ขุนพล “ซ้าย-ขวา” ทั้งสองคนมีเส้นทางความเป็นมาอย่างไร นับเป็นเรื่องที่น่าสนใจยิ่ง
“ผู้กองมนัส” นายทหารที่ “นักเลงเรียกพี่”
ในห้วงที่มีการจัดตั้งรัฐบาลและสรรหา “รัฐมนตรี” นั้น ชื่อของ “ผู้กองธรรมนัส” ปรากฏออกมาให้เห็นเด่นชัดมากขึ้นเป็นลำดับ ดังจะเห็นจากการที่เขาออกโรงไล่เคลียร์กับ “คนงอแง” ทุกกลุ่มทุกก๊วน ทั้งกลุ่มด้ามขวานไทย หรือ “เอกราช” ที่เป็นคู่ซี้แต่เก่าก่อน รวมทั้งต้องย้อนไปถึงคิวที่ออกโรงไปสยบ “ก๊วนพรรคเล็ก” ที่เคยกระจองอแงจะเอาเก้าอี้รัฐมนตรี และก็ประสบความสำเร็จในการเคลียร์เสียด้วย
เรียกว่าขนาด “เสี่ยเต้” มงคลกิตติ์ สินธารานนท์ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ที่ว่าห้าวๆ ก็ยังต้องหดให้ “ผู้ยิ่งใหญ่แห่งกว๊านพะเยา”
หรือกระทั่งเมื่อครั้ง “ค่ายสะตอ” ที่ “ดีลไม่ลงตัว” ก็เป็น “ผู้กองธรรมมนัส” ที่บุกไปซดกาแฟกับ “เจ๊ก้อย” ที่ร้านกาแฟหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ถึง 2 รอบ จนปิดดีลเรียบร้อย ก่อน “คนค่ายสีฟ้า” จะพากันโหวตให้ “ลุงตู่” แบบไม่แตกแถว
เรียกว่า ก๊วนไหนมีปัญหา “ผู้กองธรรมนัส” ไป ก็เรียบร้อย สงบราบคาบทุกก๊วนไป กลายเป็น “กาวใจชั้นดี” ที่ต้องซูฮกให้
ทั้งนี้ ช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา สปอตไลต์ทางการเมือง ก็ยิ่งฉายภาพ “ผู้กองมนัส” ให้โดดเด่นยิ่งขึ้นไปอีก แม้จะพลาดหวังตำแหน่งรัฐมนตรีงวดนี้ ด้วย “เหตุผลทางเทคนิค” แต่ก็ยังมีดีพอจะอุ้ม “เสี่ยดม” อัครา พรหมเผ่า น้องชายสุดเลิฟให้ขึ้นชั้นว่าที่รัฐมนตรีไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เดิมทีก่อนมาร่วมหัวจมท้ายกับพรรคพลังประชารัฐ ชื่อของ “ธรรมนัส พรหมเผ่า” ก็ไม่ได้ “โนเนม” มาจากไหน สร้างชื่อในยุทธจักรผู้กว้างขวางมายาวนาน หลังจบจากโรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 25 นายร้อย จปร. รุ่น 36 รุ่นเดียวกันกับ “เสธ.เปา” พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม และ “เสธ.หิ” พ.ท.หิมาลัย ผิวพรรณ เคยเป็นอดีต ผบ.ร้อยสารวัตรทหาร ประจำ บก.ทหารสูงสุด
สร้างชื่อมาในฐานะคนใกล้ชิดของ “เสธ.ไอซ์” พล.อ.ไตรรงค์ อินทรทัต นายทหารคนดังในอดีต และต้องสิ้นสุดเส้นทางราชการทหาร เมื่อไปมีชื่อพัวพันในคดีฆาตกรรมเมื่อปี 2542 ก่อนที่ศาลจะพิจารณาสั่งยกฟ้องในที่สุด
จากนั้นก็ผันตัวเอง มาทำธุรกิจรักษาความปลอดภัยชื่อ “บริษัท ธรรมนัส การ์ด” ซึ่งเป็นบริษัทแรก ที่ดูแลสนามบินสุวรรณภูมิ นอกจากมีบริษัทการ์ด แล้วยังมีธุรกิจอื่นๆ อีก อาทิ เป็นหุ้นส่วนของ “เจ๊แดง” หรือ “ปลื้มจิตต์ กนิษฐสุต” หจก. ขวัญฤดี ตัวแทนจำหน่ายล็อตเตอรี่รายใหญ่ 1 ใน 5 เสือกองสลาก ที่เบิกลอตเตอรี่ งวดละเป็นพันล้าน ต่อมาชนะการประมูลบริหารตลาดคลองเตยในนามบริษัท “ลีเกิ้ล โปรเฟสชั่นแนล” จากกลุ่มเดิมที่บริหารตลาดมาต่อเนื่องหลายสิบปี จนเกิดเหตุวุ่นวาย เมื่อพ่อค้า-แม่ค้า ก่อม็อบประท้วง ปิดถนนบริเวณแยกคลองเตย และมีเหตุรุนแรงขึ้นหลายครั้ง เคยเป็นผู้บริหารพื้นที่ตลาดนัดสวนจตุจักรของการรถไฟแห่งประเทศไทย และยังมีธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ มีทีมฟุตบอลพะเยาเอฟซี
ต้องยอมรับว่าภาพของ “ผู้กองมนัส” นั้นถูกผูกติดกับคำว่า “มาเฟีย” มาตลอด แต่ถ้าถามเจ้าตัวก็จะบอกไม่รู้สึกโกรธเคือง เพราะ “มาเฟีย” หรือ “ผู้มีอิทธิพล” ในมุมมองของ “ผู้กองมนัส” อยู่ที่การใช้อิทธิพลหรือเส้นสายคอนเนกชันในทางไหน เพราะส่วนตัวใช้คอนเนกชันในทางประสานงาน เพื่อป้องกัน หรือแก้ไขความขัดแย้ง มากกว่าการกอบโกยผลประโยชน์เข้าตัวเอง
“นิยาม มาเฟียของผม ไม่ใช่ สายdark แบบสมัยก่อน แต่เป็นมาเฟีย ที่ช่วยเคลียร์ ฝ่ายที่ขัดแย้ง ให้เจรจารอมชอมกันได้ เพราะรู้จักคนเยอะ เรารู้จักหมด มีอะไรให้ช่วยเหลือ ก็ยินดี ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำมาตลอด แม้แต่ เจรจาให้คนตระกูลเดียวกัน ไม่ฆ่ากัน พูดคุย ให้คนที่จะฆ่าตัวตาย ไม่คิดสั้น หันมาสู้ปัญหา และทำธุรกิจอสังหาฯ ไม่ใช่คุมบ่อน คุมสิ่งผิดกฎหมาย ไม่ได้คุมตลาด แต่มาจัดระเบียบ สร้างตลาดใหม่ ให้สวยงาม และสะอาด เป็นระบบ”
กับเส้นทางการเมือง “ผู้กองมนัส” เริ่มต้นกับพรรคไทยรักไทย ดูแลยุทธศาสตร์เลือกตั้งในพื้นที่ กทม. แต่ยังไม่เคยลงสมัคร ส.ส.ด้วยตัวเอง มีเพียงชื่อในผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อเท่านั้น ก่อนจะกลับไปทำพื้นที่บ้านเกิดที่ จ.พะเยา ปูทางเตรียมลงสมัคร ส.ส. แต่หลังมีการตั้งพรรคพลังประชารัฐ “ผู้กองมนัส” ก็ได้รับการชักชวนจาก “ผู้ใหญ่ที่เคารพ” ให้มาร่วมทำงานการเมือง จึงตกปากรับคำ ก่อนสลับขั้วมาอย่างเซอร์ไพร์สพอสมควร
หลังก้าวเข้าสู่พรรคพลังประชารัฐ “ผู้กองธรรมมนัส” ก็ได้รับบทบาทสำคัญในตำแหน่งประธานยุทธศาสตร์ภาคเหนือ ดูแลพื้นที่เลือกตั้ง การจัดวางตัวผู้สมัคร รวมไปถึง “เติมเต็ม” ในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ทั้งภาคอีสาน ภาคใต้ รวมทั้ง กทม.ที่ยังมีอิทธิพลอยู่
เมื่อผลงานเข้าเป้า “ผู้กองมนัส” จึงได้รับ “โควตารัฐมนตรี” มาครอบครอง 1 เก้าอี้ และตัดสินใจส่งต่อให้น้องชาย เพราะยังอยากทำงานพัฒนาพื้นที่บ้านเกิดในฐานะผู้แทนของชาวพะเยาอย่างที่ตั้งใจไว้ก่อน
ขณะที่ตัวเขาเองนั้น เชื่อเหลือเกินว่านับจากนี้จะมีบทบาทในทางการเมืองมากเป็นลำดับ โดยเฉพาะภารกิจที่จะต้อง “เคลียร์” กับกลุ่มก๊วนทางการเมืองต่างๆ ในภาวะ “รัฐบาลปริ่มน้ำ” ทั้งในพรรคพลังประชารัฐและพรรคร่วมรัฐบาล รวมถึงอาจก้าวไปถึงการประสานงานหรือ “ดีล” กับบรรดา “งูเห่า” ของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ซึ่งเขามีคอนเนกชันและสามารถต่อสายถึงได้หมดเช่นกัน
“เสธ.มิตต์”-มือขวาที่ “ลุงตู่” ไว้ใจ
ในจังหวะที่สปอตไลท์การเมืองกำลังฉายภาพ “ผู้กองธรรมมนัส” ในฐานะมือทำงานของ “นายกฯลุงตู่” ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่มือทำงานอีกคนของ “นายกฯลุงตู่” เริ่มขยับตัวจนพออนุมานได้ว่าหากเปรียบ “ผู้กองธรรมมนัส” เป็น “มือซ้าย” อีกคนก็คงไม่ต่างจาก “มือขวา” ของ “นายกฯลุงตู่”
นั่นก็คือ “เสธ.มิตต์” พล.ต.นิมิตต์ สุวรรณรัฐ นายทหารฝ่าย เสธ. ประจำรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ตัดสินใจยื่นใบลาออกจากราชการทหาร
ที่ผ่านมาเจ้าตัวค่อนข้าง “โลว์โปรไฟล์” แต่ก็รับรู้กันดีว่า “เสธ.มิตต์” ไม่เพียงเป็น “มือขวา” แต่เป็น “เงาตามตัว” ของ “ลุงตู่” มาตลอด
เมื่อ “เจ้านาย” อย่าง “นายกฯประยุทธ์” ตัดสินใจไปต่อในทางการเมือง กับการรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี สมัยที่ 2 และกะเกร็งกันว่าจะเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐในอนาคตอันใกล้นี้ด้วย มือทำงานคู่ใจอย่าง “เสธ.มิตต์” ซึ่งที่ผ่านมามีบทบาทสำคัญทั้งใน “ทางบุ๊น-ทางบู๊” จึงตัดสินใจลาออกจากราชการอันเป็นที่รัก เพื่อมาติดตามเจ้านายและลุยงานการเมืองเต็มตัว โดย “เสธ.มิตต์” เข้าไปลา “บิ๊กณัฐ” พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม เมื่อวันที่ 14 มิถุนายนที่ผ่านมา
และคาดว่าแต่งตัวมาเตรียมรับตำแหน่งสำคัญ
โดยเฉพาะหาก “ลุงตู่” ต้องควบเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็ต้องมีคนที่ไว้ใจสุดๆ อย่าง “เสธ.มิตต์” มาช่วยกลั่นกรองงาน จึงถูกจับตามองว่า “น้องรัก” คนนี้น่าจะมีตำแหน่ง ในทางการเมืองไม่เช่นนั้นคงไม่ตัดสินใจลาออกจากราชการทหาร เช่น อาจจะเข้ามาเป็น “เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม” หรืออาจถึงขั้นเป็น “ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเลย” ก็ว่าได้
แต่ถ้า “ลุงตู่” ไม่ควบ อย่างน้อยๆ “เสธ.มิตต์” ก็ต้องมีเก้าตัวใหญ่ใน “ตึกไทยคู่ฟ้า” ซึ่งคงต้องลุ้นกันว่า สุดท้ายแล้วจะลงเอยอย่างไร
หลังลาออกจากกองทัพ ผู้บังคับบัญชาต่างบ่นเสียดายตามๆกัน เพราะ “เสธ.มิตต์” ถือเป็นดาวรุ่งอนาคตสดใส ด้วยดีกรีเตรียมทหาร รุ่น 30 เรียนจบนายร้อย Virginia Military Institute หรือ ที่รู้จักกันในนาม นายร้อย VMI สหรัฐอเมริกา เติบโตมาจาก พล.1 รอ. เคยเป็น ผบ.หน่วยคุมกำลัง มาตลอด ดูตามไลน์และอายุงานแล้วถึงฝั่งฝันตำแหน่งสูงสุดของกองทัพได้ไม่ยาก
แต่ก็เข้าใจได้ว่า “เสธ.มิตต์” มี “งานใหญ่” ที่ต้องลงมาลุยเต็มตัว โดยเฉพาะภารกิจในการประคับประคอง “รัฐนาวาลุงตู่” เพื่อตอบแทน “เจ้านาย” ที่ติดสอยห้อยตามมาตั้งแต่ “บิ๊กตู่” ยังเป็นแม่ทัพภาค 1 อีกทั้งยังเป็นที่ยอมรับในแวดวงคนข้างกาย “นายกฯตู่” ถึงขนาดยกให้เป็น “นายกฯน้อย” และพูดกันไปว่า ถ้าไม่ได้เจอตัวนายกฯ แต่เจอ “เสธ.มิตต์” ก็ได้คุยกับ “ลุงตู่” เอง
เมื่อครั้งที่ “เสธ.มิตต์” ไปติดยศพลตรีตำแหน่ง นายทหารฝ่ายเสธ. ประจำ รมว.กลาโหมนั้น แม้สถานะคือเป็น “หน้าห้อง” ของ “ลุงป้อม” แต่จริงๆ แล้ว “เสธ.มิตต์” ก็คงทำงาน กับนายกฯ ที่ทำเนียบรัฐบาลตามเดิม
อย่างไรก็ดี ไม่เพียงแต่ความโดดเด่นในฐานะ “เสธ.ด้านทหาร” เท่านั้น การประสานงานด้านการเมืองก็เก็บงานได้หมดจด เช่นเดียวกับวงการธุรกิจ-ลงทุน ที่ “เสธ.มิตต์” บริหารวางงานได้แบบ “วิน-วิน” ทุกทีไป
ทำเป็นเล่นไป ก็ “เสธ.มิตต์” คนนี้นี่แหละที่ “บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด(มหาชน) หรือ ปตท.สผ.” แต่งตั้งเป็น “กรรมการบริหารความเสี่ยง และกรรมการสรรหา” เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2562 ที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงระดับความไว้วางใจและฝีไม้ลายมืออันไม่ธรรมดาของนายทหารผู้นี้
ที่สำคัญคือ ว่ากันว่าบุคคลที่ “แขกสายธุรกิจ” ของนายกรัฐมนตรีมักกล่าวถึงความไม่ธรรมดาให้ได้ยินอยู่เสมอๆ ก็คือ “เสธ.มิตต์” ซึ่งประจำการที่ตึกไทยคู่ฟ้า เป็นนายพลข้างกายนายกรัฐมนตรีเสมอ เมื่อต้องมี “แขกพิเศษ”เข้ามาพบ
นอกจาก “เสธ.มิตต์” แล้ว “น้องรัก” ของ “ลุงตู่” อีกคนที่ไม่เอ่ยถึงไม่ได้ก็คือ “เสธ.เก๋ " พลตรี ณัฐวุฒิ ภาสุวณิชยพงษ์ ที่ประจำการอยู่ที่ตึกไทยคู่ฟ้าและเป็นมือทำงานทีมลุงเช่นเดียวกัน ซึ่งทั้ง “เสธ.เก๋” และ “เสธ.มิตต์” น่าจะเป็นกำลังสำคัญของลุงตู่ในการเป็นนักการเมืองเต็มตัวเที่ยวนี้เช่นกัน
ทั้งนี้ การมี “ผู้กองมนัส” อยู่ในรัฐบาล และการดึง “เสธ.มิตต์” ออกมาช่วยงานการเมืองเต็มตัว นับเป็นจังหวะก้าวที่สำคัญ และบ่งบอกว่า “นายกฯตู่” ไม่ได้มาเล่นๆ
และเชื่อแน่ว่าหลังตั้งรัฐบาลเสร็จเรียบร้อย บทบาทของ “ผู้กองมนัส- เสธ.มิตต์” ในการกรุยทางนำพา “รัฐนาวาลุงตู่” ฝ่าคลื่นการเมืองที่เชี่ยวกราก ท่ามกลางเสือ สิงห์ กระทิง เขี้ยวลากดิน จะยิ่งโดดเด่นขึ้นอย่างเป็นทวีคูณ.