xs
xsm
sm
md
lg

The Odd Couple ที่ลอนดอน

เผยแพร่:   โดย: อ.สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เยือนอังกฤษอย่างเป็นทางการ และได้เข้าเฝ้าเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ มกุฎราชกุมาร
หลังจากดึงเกมยืดเยื้อมานานถึง 2 ปี ในที่สุดก่อนที่นายกฯ หญิงคนที่สองของอังกฤษนางเทเรซา เมย์ จะโบกมืออำลาจากตำแหน่ง (หัวหน้าพรรคอนุรักษ์ และนายกรัฐมนตรี-จะเป็นเพียงรักษาการทั้ง 2 ตำแหน่ง) แค่ 4 วัน เธอก็ได้เชิญปธน.ทรัมป์ มาเยือนอังกฤษอย่างเป็นทางการ โดยจะเป็นการเยือน 3 วันคือ จันทร์ที่ 3, อังคารที่ 4, พุธที่ 5 มิถุนายน โดยวันที่ 5 มิถุนายนนั้น จะตรงกับรัฐพิธีรำลึกครบรอบปีที่กองทัพอังกฤษร่วมกับเหล่าสัมพันธมิตร นำโดยสหรัฐฯ แคนาดา, ฝรั่งเศส และอีก 14 ประเทศในการยกพลขึ้นบกประจัญบานกับทหารนาซีที่จังหวัด Normandy ของฝรั่งเศส เพื่อเข้าปลดปล่อยฝรั่งเศสและอีกหลายๆ ประเทศทางตะวันตกของยุโรป ซึ่งนับเป็นวันเริ่มต้นแห่งการปราบปรามฮิตเลอร์ และนำไปสู่การยุติสงครามโลกครั้งที่ 2

เดิมทรัมป์น่าจะมาเยือนอย่างเป็นทางการตั้งแต่เมื่อกว่า 2 ปีที่แล้ว ตั้งแต่เขาเข้ารับตำแหน่งใหม่ๆ เพราะนายกฯ เมย์บินไปเชิญด้วยตนเองหลังทรัมป์เพิ่งสาบานตนเสร็จหมาดๆ แต่ทาง ส.ส.และสภาอังกฤษ ตลอดจนประชาชนชาวอังกฤษได้ต่อต้านไม่ให้รัฐบาลรีบจัดต้อนรับ เพราะขอให้รัฐบาลของเมย์ต้องรอดูก่อนว่า ทรัมป์จะนำพาประเทศมหามิตรของอังกฤษไปในแนวทางที่เสริมค่านิยมของอังกฤษ และของสหภาพยุโรป หรือพาประเทศเข้ารกเข้าพงห่างไกลจากคุณค่าที่ทางอังกฤษและสหภาพยุโรปเชิดชู

นี่รอมา 2 ปีครึ่ง จนทรัมป์ต้องเดินทางมาอังกฤษเมื่อกรกฎาคมที่แล้ว แต่เป็น Working Visit (ไม่มี State Banquet ที่ Head of State คือ สมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 จะทรงเป็นเจ้าภาพต้อนรับเต็มที่ โดยจะมีการตรวจแถวทหารเกียรติยศอย่างยิ่งใหญ่-เมื่อเป็น Working Visit ก็จะมีแถวทหารที่ขนาดย่อมกว่า และการพระราชทานเลี้ยงก็จะเป็นส่วนพระองค์) และรวมถึงทรัมป์ไม่พอใจมาก เมื่อเขามีกำหนดการเดินทางมาเปิดสถานทูตสหรัฐฯ ที่ย้ายที่ทำการใหม่ในลอนดอน เมื่อกุมภาพันธ์ 2018 (อดีตปธน.บุช ผู้ลูกเป็นผู้ตัดสินใจขายสถานทูตเก่า เพราะอยู่ในจุดที่ไม่ค่อยปลอดภัยจากการชุมนุม) และทำเนียบขาวได้ประสานเพื่อให้เป็นการเยือนอย่างเป็นทางการด้วย แต่รัฐบาลอังกฤษโดยนางเมย์ ถูกต่อต้านและประณามหนัก เพราะต้นปี 2018 เป็นเวลาหลังจากทรัมป์ได้บริหารมา 1 ปีเต็ม และเต็มไปด้วยวิธีการบริหารที่ทำให้ประเทศมีแต่ความเกลียดชัง เกลียดกลัวคนผิวดำ, ชาวมุสลิม, คนลาติโน และทรัมป์ได้ถอนตัวออกจากข้อตกลงต่อสู้โลกร้อนที่ปารีส และทรัมป์ออกมาวิพากษ์วิจารณ์พันธมิตรองค์กรนาโตอย่างสาดเสียเทเสียไม่ไว้หน้ากัน และขู่จะถอนตัวออกจากข้อตกลงนาโตด้วยซ้ำ และตลอดปี 2017 ปีแรกที่เขาเข้ามาบริหาร ก็ปะทะวาจาดุเดือดกับผู้นำเกาหลีเหนือ ซึ่งยิ่งทำให้ผู้นำเกาหลีเหนืองัดเอาขีปนาวุธมาทดลอง รวมทั้งระเบิดไฮโดรเจนจนโลกร้อนเป็นไฟด้วย

ก่อนที่เธอจะลงจากตำแหน่ง ก็คงเป็นรถไฟเที่ยวสุดท้ายที่เธอจะต้อนรับทรัมป์อย่างเป็นทางการในฐานะผู้นำประเทศมหามิตรของอังกฤษ และผู้นำประเทศที่เศรษฐกิจและมีแสนยานุภาพใหญ่อันดับหนึ่งของโลก

แต่วันแรกที่ทรัมป์เหยียบลอนดอน มีสมเด็จพระราชินีและมกุฎราชกุมารรอรับที่พระราชวังบักกิ้งแฮม ครั้งนี้ สมเด็จฯ ไม่ได้เสด็จนำทรัมป์ตรวจแถวทหารเกียรติยศ เพราะเมื่อกรกฎาคมที่แล้วที่ทรัมป์มาประชุม พระองค์ก็ได้จัดพิธีตรวจแถวทหารให้เกียรติด้วย ปรากฏว่าชาวโลกได้เห็นความไม่เป็นสุภาพบุรุษของทรัมป์ ที่ไม่ให้เกียรติสมเด็จฯ ในช่วงเดินตรวจแถวทหาร ครั้งนี้สมเด็จฯ ทรงจัดให้เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์เสด็จพระดำเนินนำทรัมป์ แทนพระองค์; แล้วสมเด็จฯ พระราชทานอาหารกลางวัน ส่วนพระองค์ร่วมกับสมาชิกพระราชวงศ์

ภาคบ่าย หลังทรัมป์และศรีภรรยาไปชมความยิ่งใหญ่ของมหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ แล้วมกุฎราชกุมารเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ และดักเชสออฟคอร์นวอลล์พระชายา พระราชทานน้ำชา (high-tea) ที่พระตำหนักคลาเรนซ์

เป็นการพบกัน 2 ช.ม.สำหรับ Odd Couple ครั้งแรก นั่นคือ เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์และปธน.ทรัมป์ ซึ่งมีแนวปรัชญาชีวิตเรื่องโลกร้อนที่อยู่ห่างกันแบบฟ้ากับเหว ทรัมป์มาพูดกับสื่อตอนหลังว่า เป็น 2 ช.ม.ของการสนทนาช่วงน้ำชาที่เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ตรัสถึงความห่วงใยเรื่องโลกร้อน (เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ทราบดีถึงการถอนตัวจากข้อตกลงปารีส-และนั่นเป็นปัญหาใหญ่มากของโลก) ซึ่งทรัมป์ก็บิดว่า ขณะนี้ทั้งโลกมีอากาศที่สุดขั้วและกลับไปกลับมา ทั้งเย็นสุดและร้อนสุด เขาคงพยายามไม่ปะทะกับชาร์ลส์เหมือนที่เขาเคยพูดเสมอในการปราศรัยหาเสียงว่า พวกที่เชื่อว่าโลกร้อนนั่น เป็นเรื่องโกหกจัดฉากขึ้น (a hoax) และเขาไม่ยอมรับว่าเรากำลังมีปัญหาโลกร้อนขึ้นๆๆ ขณะที่ชาร์ลส์เป็นนักนิเวศวิทยาที่ทรงปลูกผักและเลี้ยงปลาอย่างธรรมชาติเพื่อนำมาปรุงอาหาร-ทรงตระหนักและเป็นห่วงเรื่องโลกร้อนอย่างยิ่ง

วันที่สองของการเยือน เป็นวันที่ทรัมป์พบกับนักธุรกิจอังกฤษที่ห่วงใยเรื่องสงครามการค้าที่ทรัมป์ประกาศไปทั่ว กับทั้งสหภาพยุโรป (ที่อังกฤษก็โดนร่างแหไปด้วย-เรื่องเหล็ก ฯลฯ) กับจีน ฯลฯ และได้พูดถึงสัญญาการค้า (ใหม่) กับอังกฤษ ซึ่งจะต้องรอให้อังกฤษออกจากสหภาพยุโรปก่อน

วันที่ 2 ของการเยือนนี้ แน่นอน Odd Couple คือนายกฯ เมย์กับปธน.ทรัมป์ ที่อยู่กันคนละขั้ว-เธอ-กำลังจะจากไปในอีก 2 วัน และเขา-น่าจะอยู่ต่อในวาระที่ 2-แล้วการประชุมจะเกิดมรรคผลอันใดเล่า เป็นการเดินทางที่เสียเที่ยวซะจริงๆ เพราะพรรคอนุรักษ์ของนายกฯ เมย์ ยังไม่ได้เลือกนายกฯ คนใหม่มาแทนเมย์ นายกฯ คนใหม่น่าจะเป็นคู่เจรจาที่สมน้ำสมเนื้อกับทรัมป์ที่อาจอยู่ต่ออีกสมัยที่ 2

ประเด็นที่นายกฯ เมย์และทรัมป์จะเจรจากัน ก็ห่างกันสุดขั้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภาวะโลกร้อนที่อังกฤษตะลึงกับการถอนตัวของทรัมป์ออกจากข้อตกลง; รวมทั้งเรื่องอิหร่านที่อังกฤษตะลึงกับการถอนตัวของทรัมป์เช่นกัน และเรื่องเบร็กซิตที่นายกฯ เมย์พูดช่วงแถลงข่าวร่วมกับทรัมป์ว่า ทรัมป์แนะให้เธอ “ฟ้อง” สหภาพยุโรปไปเลยเพื่อกดดันสหภาพยุโรปให้มาเจรจาอ่อนข้อให้อังกฤษ ซึ่งเธอไม่ได้ทำตามคำแนะนำของทรัมป์ และทรัมป์เสริมว่า ถ้าผมเป็นนายกฯ เมย์ ผม “ฟ้อง” แน่ๆ เพื่อกดดันให้สหภาพยุโรปมาเจรจาผ่อนปรนนำสู่การตกลง (นอกศาล) ซึ่งนั่นเป็นวิธีกร้าวของทรัมป์!!

ยังมีเรื่องแสลงใจคือ ทรัมป์จะขอเอา NHS (National Health Service) หรือโครงการประกันสุขภาพ (แบบ 30 บาทของบ้านเรา) เข้าเป็นหัวข้อเจรจาการค้ากับอังกฤษ ซึ่งสร้างความเดือดดาลให้ครม.ของเมย์เป็นอย่างยิ่ง ขนาดรมต.สาธารณสุขกระแทกเสียงเลยว่า “ไม่มีทาง” รับประกันด้วยหัวของเขา—คือ อเมริกาต้องการให้อังกฤษเปิดทางให้แก่อุตสาหกรรมยา, เครื่องมือแพทย์ และบริการประกันสุขภาพของสหรัฐฯ เข้ามาทำตลาดในอังกฤษนั่นเอง

ที่แปลกที่สุดคือ การรำลึก 75 ปีแห่งการผนึกกำลังครั้งยิ่งใหญ่สุดของมนุษยชาติถึง 12 ประเทศ เพื่อกรีธาทัพไปกอบกู้โลกออกมาจากความโหดเหี้ยมผิดมนุษย์มนาของฮิตเลอร์ ซึ่งขณะนี้ทรัมป์กลายเป็นแกะดำ-ที่ต้องการสลายพลังของพันธมิตร เพื่อให้อเมริกามาก่อน และกำลังหันหลังให้แก่พันธมิตรอย่างสิ้นเชิง
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ พบปะหารือกับนายกรัฐมนตรีเทเรซา เมย์ ของอังกฤษ


กำลังโหลดความคิดเห็น