xs
xsm
sm
md
lg

Hongmeng OS กับ Android เมื่อจีนไม่ใช่ขี้ไก่ในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

เผยแพร่:   โดย: ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์


ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์
สาขาวิชาวิทยาการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยง
ผู้อำนวยการหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิตและวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต
สาขาวิชาการวิเคราะห์ธุรกิจและวิทยาการข้อมูล
https://www.facebook.com/BusinessAnalyticsNIDA/
คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์


สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกาเริ่มต้นขึ้น แต่ที่ทำให้คนสนใจกันมากเหลือเกินคือเรื่องที่ Google จะไม่ update ระบบปฏิบัติการ Android ให้ Huawei ใช้อีกต่อไป เอาเข้าจริง Google ก็ไม่ได้อยากจะทำเช่นนั้นหรอก การที่มีคนใช้ Operating System ของตนเองเยอะมากเท่าไหร่ยิ่งเป็นผลดีกับธุรกิจของตนเอง แต่เมื่อรัฐบาลสั่งก็ต้องทำ และกิจการ tech เจ้าอื่น ๆ ของสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะ Intel ก็ถูกกฎหมายสหรัฐเองให้ต้องตัดสัมพันธ์ไม่ทำการค้ากับผู้ประกอบการเทคโนโลยีของจีน

จริง ๆ แล้วเรื่องนี้เริ่มมาสักพักใหญ่ ๆ เมื่อทางการแคนาดาจับกุม เมิ่ง หวั่นโจว (Meng Wanzhou) อายุ 46 ปี ลูกสาวของนายเหริน เจิ้งเฟย ประธานและผู้ก่อตั้งบริษัทหัวเว่ย (Huawei) ที่นครแวนคูเวอร์ เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 2018 ในกรณีพัวพันกับการค้ากับอิหร่านที่สหรัฐอเมริกานั้นแบนและห้ามค้ากับอิหร่าน

ปีก่อนหน้า Donald Trump ก็ประกาศจะตั้งกำแพงภาษีรถญี่ปุ่นที่จะตั้งโรงงานผลิตในเม็กซิโก เพื่อบังคับให้มาผลิตรถยนต์ในสหรัฐอเมริกา และต้องการให้เกิดการจ้างงาน บริษัทรถญี่ปุ่นยอมทำตาม Donald Trump ทันทีแต่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ หุ่นยนต์ และสายพานการผลิตอัตโนมัติ แค่เปลี่ยนแบบโรงงานก็ไม่ต้องจ้างคนงานอเมริกันที่ค่าแรงแพงมากได้ ใช้วิศวกรไม่กี่สิบคนก็ผลิตรถยนต์ได้เท่ากับโรงงานที่ใช้คนงานเป็นพัน ๆ คนได้ เรื่องนี้ทำให้สหรัฐอเมริกาไม่ได้อะไรที่คาดหวังไว้แต่น้อย เอกชนเขาปรับตัวได้ แม้จะถูกบีบด้วยสงครามการค้าก็ตาม

เมื่อเกิดการแบนห้ามใช้ android ก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่ผิดคาดแต่ประการใด

Huawei ของจีนที่ตลาดโทรศัพท์มือถือโตวันโตคืนแซงหน้า iPhone ของสหรัฐอเมริกาไปมากมายในขณะนี้ก็ออกแถลงการณ์ทันทีว่าไม่มีผลกระทบอะไร Huawei มี Hongmeng OS ที่พัฒนาไว้นานแล้วสามารถใช้แทน Android ได้ทันที

ต้องบอกว่า กะไว้แล้วจริง ๆ ว่าพี่จีน เล็งไว้ ไม่ประมาท เป็นการบริหารความเสี่ยง (Risk management) คงคิดไว้แล้วว่าวันหนึ่งจะมีสงครามการค้า (Trade war) และการไม่มี Operating System เป็นของตัวเองก็เสี่ยงเกินไป วันนี้ Android ของ Google บอกว่าไม่ให้ Huawei ใช้ Huawei ก็มี Hongmeng OS ทันที ชาติที่เคยรบมาตลอดเขาไม่ประมาทกันเช่นนี้ และแม้ทำธุรกิจเขาก็ไม่ประมาท เตรียมพร้อมที่จะหายใจได้ด้วยตนเองจริง ๆ

สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน เดินทางไปเยี่ยมเหมืองผลิตแร่หายาก (Rare earth) ในทันที และประกาศว่าจะไม่ผลิตแร่หายากให้สหรัฐอเมริกาใช้ในการผลิตชิปและอุปกรณ์อีเล็คทรอนิกส์อีกต่อไป แร่หายาก ในโลกนี้มีแหล่งที่จีนเกือบทั้งหมด หากจีนทำเช่นนี้จริง สหรัฐอเมริกาย่อมเดือดร้อนแน่

จีนระงับการนำเข้าสินค้าเกษตรของสหรัฐอเมริกาคือเนื้อหมูทันที หลายคนอาจจะไม่ทราบว่าสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศเกษตรกรรม Midwest ที่เต็มไปด้วยที่ราบเวิ้งวางเรียบมากอันกว้างใหญ่ ปลูกข้าวโพดและธัญพืชเลี้ยงสัตว์ ตลอดจนปศุสัตว์เป็นจำนวนมากมหาศาล และต้องการตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่คือจีนอย่างแน่นอน จีนเองก็ผลิตอาหารได้ไม่พอกับความต้องการภายในประเทศ จึงไปลงทุนทำเกษตรกรรมในทวีปแอฟริกาเองอย่างมากที่สุด เพราะต้องการยืนบนลำแข้งตัวเองได้

สี จิ้นผิง ยังประกาศสงครามการค้ากับสหรัฐอเมริกา และสนับสนุนให้ประชาชนชาวจีน เข้าร่วมในสงครามการค้านี้ด้วย ประชาชนจีนนั้น มีความเป็นชาตินิยมและมีความรักชาติสูงมาก กระแสเริ่มรุนแรงและมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ที่จะแบนสหรัฐอเมริกา เริ่มมีกระแสต่อต้านสินค้าสหรัฐอเมริกาเช่น iPhone และการต่อต้านเหล่านี้น่าจะรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ

ผมนึกถึงป้ายทองเหลืองที่พระราชวังต้องห้ามกู้กงของจีนขึ้นมาทันที เคยเขียนไว้ในบทความ ชาตินิยมแบบจีน เมื่อไทยจิ้มก้องและอเมริกันอีโก้ ใครจะได้อะไร? https://mgronline.com/daily/detail/9590000016185 ป้ายที่บริษัทอเมริกาไปเขียนไว้ว่า “Made possible by XXXXXXXX XXXXXXX company” นั้นถูกขูด คนจีนต่อต้านบริษัทเครดิตการ์ดนั้นของสหรัฐอเมริกากันทั้งประเทศ คนจีนภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์ชาติตัวเองเป็นอันมาก และกู้กงนั้นสร้างโดยจักรพรรดิจีนแน่ๆ หาใช่บริษัทอเมริกันไม่ ป้ายเลยถูกขูด เพราะอเมริกันอีโก้บาดตาคนจีนมาก บริษัท XXXXXXXX XXXXXXX ที่ละไว้นั้นยังไม่ผุดไม่เกิดในตลาดจีนมาจนทุกวันนี้

การที่รัฐบาลจีนออกมาประกาศสงครามการค้ากับสหรัฐอเมริกาและชักชวนสนับสนุนให้ประชาชนร่วมสงครามนี้ด้วย น่าจะส่งผลรุนแรงมาก อย่าลืมว่าจีนเป็นตลาดที่ใหญ่สุดในโลกในแง่ประชากร หนึ่งพันสี่ร้อยล้านคน กำลังซื้อของจีนนั้นสูงมาก ผมไปจีนมาค่าครองชีพในปักกิ่งแพงกว่าในกรุงเทพมากมาย และมีสินค้าทันสมัยระดับโลกครบทุกอย่างวางขายเต็มไปหมด แสดงว่ามีกำลังซื้อสูงมาก ไม่ต้องดูอื่นไกล คนจีนที่มาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพกันเต็มไปหมด ซึ่งลากให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยยังพออยู่ได้ ไม่ซบและฟุบลงไปจนเป็นฟองสบู่แตกในทุกวันนี้ ถ้าไม่มีคนจีนมาซื้อคอนโดมิเนียมในประเทศไทย ป่านนี้ฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์แตกหมดแล้ว บางโครงการเปิดมานี่ขายคนจีนแทบจะ 100%

สิ่งที่จีนพร้อมมากที่สุดคือความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และวิศวกรรมศาสตร์ STEM education ของจีนเข้มแข็งมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก และแซงหน้าสหรัฐอเมริกาไปนานมากแล้ว จำนวน publication ต่าง ๆ ของนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรจีน มากกว่าของทั้งสหรัฐอเมริการวมกันมานานมากแล้ว นักวิจัยจีนเก่งและมีความสามารถมาก

ศ.ดร.นพนันท์ อรุณวงศ์ ณ อยุธยา ได้เขียนเล่าถึงเรื่องราวของนักวิทยาศาสตร์จีนคนหนึ่ง ที่ไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกาและทำงานในสหรัฐอเมริกาแล้ว กลับถูกสหรัฐอเมริกาจับกุมในข้อหาเป็นจารชน ในสมัยที่ลัทธิแมคคาร์ธีย์เรืองอำนาจ เอาไว้ว่า

ค.ศ.2009 นักวิทยาศาสตร์จีนคนหนึ่งถึงแก่กรรม ผมเห็นพิธีศพใหญ่โตระดับ State Funeral ทหารกองเกียรติยศเคลื่อนขบวนโลงศพคลุมด้วยธงชาติจีนในกรุงปักกิ่ง โทรทัศน์ถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศ ผู้คนทุกหนทุกแห่งพูดถึงแต่เรื่องนี้

ผมแปลกใจพอสมควร เพราะไม่เข้าใจว่า เหตุใดจีนจึงให้เกียรติกับนักวิทยาศาสตร์ถึงขนาดนี้ ผมรู้ว่า คำว่า "ผู้เชี่ยวชาญ (专家) ซึ่งถูกแต่งตั้งในจีนและรวมถึงนักวิทยาศาสตร์คนดังกล่าวด้วยนั้นไม่ใช่คำที่มีความหมายทั่ว ๆ ไปเหมือนในประเทศอื่น ๆ แต่อยู่ในสถานะที่สูงระดับประเทศในจีน

ผมเองก็เป็นผู้เชี่ยวชาญต่างชาติ (外国专家) ของจีน ช่วงเวลานั้นเวลาไปไหนมาไหนก็มักมีคนถามว่า ผมรู้จัก "ผู้เชี่ยวชาญ" ที่เพิ่งถึงแก่กรรมหรือไม่ ผมก็ตอบตามตรงว่าไม่รู้จัก หลังจากนั้นเรื่องราวของเขาก็ถูกเล่าพรั่งพรูออกมาให้ผมฟัง

ศ.ดร. เฉียน เฉือเซิน (钱学森) เกิดในช่วงปลายราชวงศ์ชิงที่เมืองหางโจว จบการศึกษาที่มหาวิทยาลัยคมนาคมเซี่ยงไฮ้ และศึกษาต่อที่ MIT เขาเข้าร่วมในโครงการพัฒนาระเบิดนิวเคลียร์ของสหรัฐ ต่อมาภายหลังเขาได้รับแต่งตั้งเป็นศาสตราจารย์แห่ง MIT และ CalTech (California Institute of Technology) และเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง JPL (Jet Propulsion Laboratory) ซึ่งกลายเป็นส่วนหนึ่งของ NASA ในปัจจุบัน และเขาคือผู้ที่พัฒนาเครื่องบินรบไอพ่นลำแรกให้สหรัฐจนสำเร็จ

แต่เมื่อจีนเปลี่ยนเป็นสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ และเขาเป็นคนจีนโดยกำเนิด เขาจึงถูกรัฐบาลสหรัฐปลดออกจากทุกตำแหน่ง แจ้งข้อหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ และเนรเทศ แต่ขณะที่เขากำลังเดินทางออกจากสหรัฐตามคำสั่งเนรเทศ เขากลับถูกสหรัฐจำคุก และกักขังในบ้านเป็นเวลา 5 ปีแทน

ต่อมาเมื่อสหรัฐขอให้จีนส่งตัวนักบินสหรัฐ 11 คนที่ถูกจับในสงครามเกาหลี จีนจึงยื่นข้อเสนอให้สหรัฐส่งตัว ศ.ดร. เฉียน เฉือเซินเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน เมื่อนั้นเองสหรัฐจึงระลึกได้ว่า ศ.ดร. เฉียน เฉือเซิน คือ นักวิทยาศาสตร์คนสำคัญของสหรัฐ และหากสหรัฐส่งตัวให้จีนก็เท่ากับช่วยจีนติดปีกในการพัฒนาศักยภาพด้านวิทยาศาสตร์ทางทหารนั่นเอง

รัฐบาลสหรัฐจึงยกเลิกการควบคุม ถอนข้อกล่าวหา แต่งตั้งเฉียน เฉือเซิน กลับเป็นศาสตราจารย์ และคืนตำแหน่งต่าง ๆ ทั้งหมดให้ดังเดิม เพื่อจูงใจไม่ให้ศ.ดร. เฉียน เฉือเซิน เดินทางกลับจีน แต่ด้วยความเจ็บแค้นใจ ศ.ดร. เฉียน เฉือเซิน จึงปฏิเสธ และยืนกรานที่จะเดินทางกลับจีน แม้จีนในขณะนั้นยังล้าหลังและยากจนก็ตาม

เมื่อกลับถึงจีน เหมา เจ๋อตง และโจว เอินไหล แต่งตั้ง ศ.ดร. เฉียน เฉือเซิน เป็นหัวหน้าโครงการพัฒนาระเบิดนิวเคลียร์และระเบิดไฮโดรเจน ซึ่งเขาก็ทำสำเร็จภายในเวลาแค่ 5 ปี แม้ว่าต้องไปใช้ชีวิตและทำงานอย่างแร้นแค้นยากลำบากในทะเลทรายโกบีก็ตาม

หลังจากนั้นเขาก็ได้รับมอบหมายให้พัฒนาขีปนาวุธนิวเคลียร์ข้ามทวีป ซึ่งก็คือขีปนาวุธตระกูล Dong Feng เริ่มจาก DF-1 และ DF-2 และพัฒนาต่อเนื่องเรื่อยมาจนถึง DF-26 ซึ่งเชื่อกันว่าในปัจจุบัน คือ ขีปนาวุธนิวเคลียร์ข้ามทวีปที่มีพิสัยไกลที่สุด และอานุภาพร้ายแรงที่สุดในโลก

เขายังเป็นผู้พัฒนาดาวเทียมดวงแรกของจีน และวางโครงการพัฒนาจนกระทั่งจีนมีสถานีอวกาศในปัจจุบัน เขาถึงแก่กรรมขณะอายุ 98 ปี ในฐานะวีรบุรุษของชาติ บิดาแห่งอวกาศและขีปนาวุธจีน

เรื่องนี้เป็นเรื่องเก่า แต่ในปัจจุบันผมเห็นนักวิทยาศาสตร์จีนเชื้อสายสหรัฐอเมริกา รวมถึงนักวิทยาการคอมพิวเตอร์ชั้นนำของโลกเริ่ม reverse brain drain กลับไปทำงานให้กับบริษัทจีนมากมาย เช่น Baidu และ Weibo เป็นต้น ที่อยู่ในวงการล้วนมีเชื้อสายจีนกันเป็นจำนวนมากไม่ว่าจะเป็น Andrew Ng หรือ Andrew Chi-Chih Yao เจ้าของรางวัล Turing ที่สละสัญชาติอเมริกันและกลับมาสอนที่มหาวิทยาลัยชิงหัว

สงครามยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพทหาร แต่ช้างสารชนกันหญ้าแพรกก็แหลกลาญ เศรษฐกิจโลกกำลังจะเป็นขาลงอย่างรุนแรง นักเศรษฐศาสตร์ใหญ่ของโลก เช่น Alan Greenspan หรือ Ben Bernanke ก็ต่างกังวล เมื่อมาเกิดสงครามการค้าอีกย่อมส่งผลอย่างหนัก

หยิกเล็บก็เจ็บเนื้อ สหรัฐอเมริกาหลังจากประกาศแบนไม่ให้ Huawei ใช้ Android แล้ว ไม่กี่วันถัดมาก็ต้องกลืนน้ำลายตัวเอง ขยายเวลาให้ใช้ได้ไปอีก 90 วัน คงไม่ต้องบอกก็คงพอทราบว่าคนที่ได้รับผลกระทบมากก็คือบริษัทอเมริกันเอง และงานนี้เป็นแค่จุดเริ่มต้นสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา ซึ่งไทยเราต้องรอดูกันต่อไปอีกนาน แต่ต้องไม่ประมาทและปรับตัวรอรับผลกระทบ ที่สำคัญต้องรู้จักแสวงหาโอกาสในสงครามการค้าดังกล่าว ในขณะเดียวกันก็ต้องรู้จักวางตัวให้ไม่เอนเอียงไปด้านหนึ่งด้านใดมากเกินไป ไม่เช่นนั้นอาจจะส่งผลกระทบต่อไทยเราเองได้เช่นกัน


กำลังโหลดความคิดเห็น