นสพ.นิวยอร์ก ไทมส์ ได้เปิดเผยข้อมูลลับรั่วออกมาว่า ขณะนี้ที่ปรึกษาความมั่นคง จอห์น โบลตัน ได้ทำแผนเสนอปธน.ทรัมป์ เพื่อส่งกำลังทหารถึง 1 แสน 2 หมื่นนาย ไปยังอ่าวเปอร์เซีย เป็นการเตรียมภารกิจที่อาจบุกอิหร่านได้ทันที
พอข่าวนี้รั่ว ปธน.ทรัมป์ออกมากลบเกลื่อนว่า ยังไม่มี และถ้ามีการส่งทหารไปจริง จะต้องสูงกว่าแสนสองหมื่นแน่นอน
อาการที่ชี้ว่า ใกล้เกิดสงครามที่อิหร่านที่พอเห็นชัดวันนี้ก็คือ การถอนกำลังทหารพันธมิตรของสหรัฐฯ ออกจากอิรักอย่างกะทันหัน ของ 3 ประเทศคือ เยอรมนี, เนเธอร์แลนด์ และสเปน ซึ่งเพิ่งเกิดขึ้นวันนี้; และหลังจากรมต.ต่างประเทศ ไมค์ ปอมเปโอ เพิ่งเดินทางไปอิรักอย่างลับๆ และเงียบมาก เพื่อไปเตือนอิรักให้ดูแลกองกำลังของสหรัฐฯ ในอิรักอย่างเต็มที่ และให้ความมั่นใจกับอิรัก ไม่ให้ฝักใฝ่กับอิหร่านจนเกินไป รัฐบาลอิรักนั้น แม้ส่วนใหญ่จะนับถือนิกายชีอะห์ แต่อิรักเป็นชีอะห์อาหรับซึ่งใกล้ชิดกับซาอุฯ มากกว่าชีอะห์ที่เป็นชาวอิหร่าน (ไม่ใช่อาหรับ)
สถานการณ์ในตะวันออกกลางวันนี้ ได้กลิ่น สงครามอเมริกาบุกอิหร่าน แรงขึ้นทุกที เพราะจากเสียงที่ออกมาจากทั้งกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ โดยรักษาการรัฐมนตรี (ที่มาแทนนายเจมส์ แมตทิส) บอกชัดว่า อเมริกาต้องส่งเรือรบบรรทุกเครื่องบินไปถึง 2 ลำ พร้อม B-52 และเรือบินพิฆาตพร้อมขีปนาวุธมากมายที่พร้อมถล่มอิหร่าน) แถลงว่า อิหร่านกำลัง คุกคามสูงสุดต่อความมั่นคงของตะวันออกกลาง คือ อิหร่านออกมาประกาศจำใจ ต้องเดินหน้าพัฒนากากนิวเคลียร์เป็นอาวุธ (เพราะในเงื่อนไขของสัญญา JCPOA หรือสัญญาที่ 5+1 ประเทศทำกับอิหร่านนั้น กากของยูเรเนียมจากโครงการปรมาณูเพื่อสันติ-จากโรงไฟฟ้าปรมาณู, การแพทย์, อุตสาหกรรมอาหาร-ถ้ามีกากเหลือมาก อิหร่านจะ ไม่สามารถเก็บกากเอาไว้เอง แต่ต้องนำออกไปขายต่อให้รัสเซียหรือฝรั่งเศสเพื่อพัฒนาหรือทำลายต่อ...แต่เมื่ออเมริกาไปข่มขู่ห้ามไม่ให้ประเทศต่างๆ มาลงทุนหรือซื้อน้ำมันและสินค้าอื่นๆ จากอิหร่าน มิฉะนั้นจะถูกลงโทษในการไม่ต้องมาซื้อขายกับสหรัฐฯ ทั้งฝรั่งเศส และประเทศต่างๆ ก็ไม่สามารถมาซื้อกากยูเรเนียมจากอิหร่านได้ เกิดการสะสมกากยูเรเนียมในอิหร่านมากขึ้น- จึงจำใจต้องไปรื้อฟื้นโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์จากกากเหล่านี้นั่นเอง!!) ทั้งๆ ที่อิหร่านไม่ใช่เป็นคนเริ่มต้นการฉีกสัญญา 5+1 ทิ้ง แต่เป็นอเมริกาที่เริ่มก่อน
เหตุการณ์ที่กำลัง ทำให้โลกมองว่า อิหร่านเริ่มเกเรรุกรานประเทศในตะวันออกกลาง ในอาทิตย์นี้ ก็คือ ยูเออีออกมาโวยวายว่าเรือบรรทุกน้ำมัน 4 ลำในอ่าวเปอร์เซียถูกโจมตีโดย 2 ลำเป็นของยูเออี, อีก 2 ลำของซาอุฯ และยูเออีไม่เปิดเผยรายละเอียดการโจมตี แต่กล่าวหาว่าเป็น การโจมตีจากอิหร่าน...ขณะเดียวกัน สถานีถ่ายน้ำมัน (pumping stations) 2 แห่งของบริษัท Aramco (บริษัทน้ำมันแห่งชาติซาอุฯ) ก็ถูกโดรน (ไม่รู้สัญชาติ) โจมตีเสียหายหนัก และซาอุฯ ก็เหมาว่าอิหร่านเป็นคนแอบลอบโจมตี ทั้งๆ ที่อิหร่านออกมาปฏิเสธเต็มที่ทั้ง 2 รายการนี้
หรือจะเป็นการ จัดฉาก จากฝ่ายซาอุฯ และยูเออี เพื่อ สร้างภาพ ให้อิหร่านกำลังเริ่มคุกคามเหล่าประเทศในอ่าวเปอร์เซีย และ สร้างความชอบธรรมที่สหรัฐฯ จะต้องเข้ามากำราบ เพื่อปกป้องมิตรของสหรัฐฯ
ก่อนหน้านี้เพียง 1 อาทิตย์ สหรัฐฯ ได้ประกาศ (ตามการเสนอของซาอุฯ) ให้ กองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติอิสลาม (ซึ่งเป็นกองกำลังสำคัญของอิหร่าน-เป็นกองกำลังอย่างเป็นทางการ ไม่ใช่เป็นกองกำลังติดอาวุธนอกระบบ) เป็น กองกำลังก่อการร้าย!! เป็นการ ปูทางเพื่อจัดการกับอิหร่านด้วยความชอบธรรม!
ดูเหมือนขณะนี้ ปธน.ทรัมป์ได้รับเสียงกระซิบที่ข้างหูอย่างหนักแน่นจากผู้ชายหนวดงามอายุ 71 ปี ที่เป็น วิศวกรรมคนสำคัญที่ทำคลอดสงครามอิรักสมัยคุณลูกบุช นั่นคือ นายจอห์น โบลตัน ที่ปรึกษาความมั่นคง ที่พร่ำพูดและเขียนบทความว่า ก่อนที่อิหร่านจะเริ่มบอมบ์ประเทศอื่น (น่าจะเป็นอิสราเอลก่อนใครเพื่อน) อเมริกาจะต้องบอมบ์อิหร่านก่อน...และเพิ่งพูดก่อนเข้ารับตำแหน่ง (เพิ่งครบ 1 ปีพอดิบพอดี) ว่า อิหร่านคือผู้คุกคามต่อตะวันออกกลาง และอเมริกาควรเข้าไป ใช้กำลังเปลี่ยนระบอบปฏิวัติอิสลามในอิหร่าน คือ โค่นเหล่าผู้นำนักบวชของอิหร่านให้หมด โดยเขาเชื่อจริงๆ ว่า การกดดันอิหร่านด้วยทางเศรษฐกิจ (ห้ามใครซื้อน้ำมันอิหร่าน ล่าสุดเพิ่งประกาศห้ามใครซื้อเหล็ก, แร่ธาตุจากอิหร่านด้วย) จะยังไม่สามารถโค่นระบอบปฏิวัติอิสลามที่อิหร่านได้ มีแต่การใช้กำลังทางทหารเหล่านั้น
จริงๆ การตัดสินใจฉีกสัญญา 5+1 กับอิหร่าน ที่ทรัมป์ตกลงใจทำเพื่อสร้างความ แตกต่างของนโยบายต่ออิหร่าน ที่เขากร้าวกับอิหร่าน; ขณะที่ทรัมป์โจมตีว่า โอบามาอ่อนปวกเปียก- ไปยอมทำสัญญาที่ อเมริกาเสียเปรียบและเสียรู้อิหร่าน โดยอิสราเอลปั้นน้ำเป็นตัวว่า อิหร่านไม่ได้ทำตามสัญญา 5+1 แต่แอบพัฒนานิวเคลียร์...ทั้งๆ ที่สหภาพยุโรปต่างเห็นพ้องว่า อิหร่านปฏิบัติตามสัญญา 5+1 อย่างเคร่งครัดดีเยี่ยม
การตัดสินใจฉีกสัญญากับอิหร่าน ทำให้ พลโท H.R. Mc Master อดีตที่ปรึกษาความมั่นคง คัดค้านไม่เห็นด้วยกับทรัมป์ รวมทั้ง รมต.กลาโหม (เป็นฟางเส้นสุดท้ายของเขากับทรัมป์) คือ พลเอกเจมส์ แมตทิส ซึ่งตัดสินใจลาออก (ทรัมป์ได้เคยโทร.สั่งให้แมตทิสส่งหน่วยปฏิบัติการลับ-ไปสังหารผู้นำซีเรีย-นายบาชาร์ อัล-อัสซาด ซึ่งแมตทิสก็ทำไม่สนใจให้ผ่านเลยไป) และรวมทั้งอดีตรมต.ต่างประเทศ เร็กซ์ ทิลเลอร์สัน ก็ไม่เห็นด้วยกับการฉีกสัญญา และ Chief of Staff พลเอกจอห์น เคลลี ก็ไม่เห็นด้วยกับทรัมป์...ทั้ง 4 คน (ผู้ใหญ่ของทำเนียบขาว) ได้โบกมืออำลาทรัมป์ไปหมดแล้ว!!
เรื่อง หลักฐาน ว่า อิหร่าน กำลังยั่วยุ และ จะเปิดฉากรุกรานโจมตี ทำร้ายประเทศอื่นๆ ในตะวันออกกลาง (เช่น อิสราเอล, ซาอุฯ ยูเออี เป็นต้น) ไม่ได้รับการเห็นพ้องจากพันธมิตร คือ พลโทคริสโตเฟอร์ คีก้า (Christopher Ghika) ของอังกฤษ ซึ่งเป็นรอง ผบ.กองกำลังสัมพันธมิตรเพื่อปราบไอซิสที่อิรักได้ออกมาแถลงเมื่อวานนี้ว่า ไม่มีหลักฐานว่า อิหร่านกำลังเตรียมกำลังเพื่อรุกรานในตะวันออกกลาง
รวมทั้ง ส.ว.เอมมี ดิ๊กเวิร์ด ส.ว.เชื้อสายไทยในสภา Senator ของสหรัฐฯ ก็เพิ่งออกมายืนยันเมื่อเช้านี้ว่า กรรมาธิการทหารที่เธอนั่งอยู่ ไม่ได้รับข่าวกรองว่าอิหร่านกำลังเตรียมโจมตี แต่อย่างใด?
ดูเหมือนเสียงเตือนเมื่อปีที่แล้วจากนักวิชาการสายเสรี และสื่อมวลชนที่รู้สึก ขยาด กับการเข้ามารับตำแหน่งของจอห์น โบลตัน เพราะเกรงว่า จะเกิดสงคราม ในจุดที่แหลมคมเปราะบาง เช่น เกาหลีเหนือ หรืออิหร่าน กำลังจะกลายเป็นจริง
การประชุมสุดยอดระหว่างทรัมป์และผู้นำเกาหลีเหนือ ก็จบลงแบบไม่ไว้หน้าคิม จองอึน เลย ก็มีการมองว่า เป็นฝีมือ กระซิบที่ข้างหูของทรัมป์จากลมปากของจอห์น โบลตัน นี่แหละ
เพราะขณะนี้ เขาได้ควบคุมเสียง กระซิบข้างหูของทรัมป์ ไปเรียบร้อยแล้ว ที่จะใช้กำลังทางทหารเท่านั้นเพื่อโค่นอำนาจของผู้นำที่ไม่ศิโรราบให้สหรัฐฯ
รวมทั้งการพร้อมจะใช้กำลังเพื่อเปลี่ยนระบอบที่ เวเนซุเอลา ด้วย!