xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

เปิดอก “พี่ศรี(สุวรรณ) จรรยา” กับคำถาม “ร้องทุกวัน แล้วทำมาหากินอะไร?” และมุมติสท์ๆ ของผู้ชายรัก “ศิลปะ ครุฑ ต้นไม้”

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

กับบทบาท “นักร้อง” ที่ทำให้เป็นที่รู้จักของสังคม
ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ช่วงชิงพื้นที่สื่อมีเรื่องร้องเรียนแทบไม่เว้นวัน สำหรับ “ศรีสุวรรณ จรรยา” นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมและการเมือง ซึ่งช่วงหลังๆ มานี้สวมบทบาท “นักร้องเรียน” ชนิดที่ว่า “ร้องถี่ยิบ” จนเป็นเป้าโดนสาดคำถามสารพัด เป็นต้นว่า “ศรีสุวรรณ จรรยา คือใคร”, “ทำไมวันๆ เอาแต่ยื่นเรื่องร้องเรียนโน้นนี่”, “ทำงานทำการอะไรรับเงินใครมาหรือเปล่า” ฯลฯ

อาจจะพอทราบกันมาบ้างแล้วว่า “ศรีสุวรรณ จรรยา” ทำหน้าที่เป็นนักตรวจสอบเป็นปากเสียงให้กับประชาชน มานานกว่า 20 ปี ทำคดีและร้องเรียนเรื่องต่างๆ มาแล้ว 3,000 - 4,000 เรื่อง สัดส่วนความสำเร็จแม้ไม่เต็ม 100เปอร์เซ็นต์ แต่ถือว่าบรรลุเป้า อย่างน้อยๆ ประเด็นต่างๆ ได้ถูกขยายผลตรวจสอบ สร้างการรับรู้ตระหนักรู้แก่พี่น้องประชาชน

“ศรีสุวรรณ จรรยา” เติบโตในเส้นทาง NGO นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมและการเมือง ชีวิตช่วงหนึ่งผันตัวลงสนามการเมืองแต่พ่ายแพ้ราบคาบ ช่วงปี 2550ก่อตั้ง “สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน” เพื่อเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม และในปี 2552 ก่อตั้ง “สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย” เพื่อเคลื่อนไหวทางด้านการเมือง เรียกว่า ประสบการณ์โชกโชนในคดีสิ่งแวดล้อม เป็นโต้โผใหญ่ผู้อยู่เบื้องหลัง อาทิ คดีนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด, คดีบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท ฯลฯ

สัมภาษณ์พิเศษฉบับนี้ “ศรีสุวรรณ จรรยา” จะมาเปิดใจในประเด็นร้อนๆ และแง่มุมลับๆ ที่น้อยคนนักจะรู้ สุดเอกซ์คลูซีฟ!

- ศรีสุวรรณ จรรยา เป็นใครมาจากไหน
ผมเป็นชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง เรียนจบจากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ แล้วก็มาทำงาน NGO รณรงค์ด้านสิ่งแวดล้ม อยู่กับ ดร.โจ - ดร.พิจิตต รัตนกุล (อดีตผู้ว่าฯ กทม.) ประมาณ 2535 - 2536เป็นต้นมา ทำงานด้านการรณรงค์กับมูลนิธิป้องกันควันพิษและพิทักษ์สิ่งแวดล้อมมาอย่างต่อเนื่องหลายสิบปี ประกอบกับ ดร.โจ มีภารกิจด้านการเมืองลงสมัครผู้ว่ากรุงเทพมหานคร ผมได้ช่วยหาเสียงซึ่งเป็นการซึมซับงานการเมืองมาอย่างต่อเนื่อง

ส่วนตัวผมทำงานหลักเรื่องของการรณรงค์มลพิษด้านสิ่งแวดล้อม กระทั่ง มีโอกาสไปช่วยงานในสภาทนายความ ช่วยงานดำเนินคดีสิ่งแวดล้อมของสภาทนายความควบคู่กันมาโดยตลอด ต่อมา ผมได้แยกตัวออกมาตั้งสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ช่วงปี 2550 ร่วมมือกับเพื่อนๆ ที่เป็นทนายความ นักกฎหมาย ตั้งสมาคมขึ้น เพื่อทำหน้าที่ในการฟ้องร้องคดีให้กับชาวบ้านที่รับผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมหรือปัญหามลพิษจากทั่วประเทศ ก็ฟ้องคดีใหญ่ๆ มาเยอะแยะ อย่าง ฟ้องคดีมาบตาพุด ก็เป็นข่าวดังไปทั่วประเทศในตอนนั้น

หลังจากนั้นเป็นต้นมาผมเห็นว่าคดีที่ผมทำมานับพันคดีล้วนเกี่ยวข้องกับหน่วยงานภาครัฐและนักการเมืองทั้งสิ้น ก็เลยเห็นว่าถ้าเราไม่สามารถดำเนินการตรวจสอบหรือดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับนักการเมือง ในที่สุดก็จะเกิดปัญหาปลายท่อที่ต้องฟ้องร้องดำเนินคดีกัน ผมก็เลยตั้งสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ในปี 2552 เพื่อทำหน้าที่การติดตามตรวจสอบข้าราชการ นักการเมือง ปัญหาคอร์รัปชั่น ความไม่เป็นธรรมในสังคม

- จาก NGO สิ่งแวดล้อมผันตัวเป็น “นักร้องเรียน” ทำหน้าที่เป็นปากเสียงให้ประชาชน
การทำหน้าที่ของผมคือยื่นตรวจสอบความไม่เป็นธรรมในการใช้อำนาจอย่างไม่ถูกต้อง และช่วยประชาชนทั้งประเทศที่ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหามลพิษ จากความไม่เป็นธรรม ผมทำหน้าที่ของผมมาโดยตลอด ซึ่งหลังๆ มานี้ เนื่องจากการเคลื่อนไหวของผมเป็นที่สนใจของสื่อมวลชนและพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะหลังจากที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ามาทำรัฐประหาร ผมเป็นที่เพ่งเล็งของผู้มีอำนาจ ถูกเชิญผมไปปรับทัศนคติหลายครั้ง รวมทั้ง โดยส่งทหารมาเยี่ยมเยียนที่บ้านเป็นสิบยี่สิบครั้ง

ผมเห็นว่าในยุคของการปฏิรูปสิ่งสำคัญคือเรื่องของการตรวจสอบ ซึ่งการตรวจสอบนักการเมืองถือเป็นลำดับต้นๆ เพราะนักการเมืองเป็นผู้ใช้อำนาจ และที่สำคัญคือเป็นผู้ที่จะต้องไปใช้เงินงบประมาณแผ่นดินที่มาจากภาษีประชาชน ฉะนั้น เราจะอยู่เฉยๆ แล้วปล่อยให้นักการเมืองที่มีอำนาจไปทำอะไรตามอำเภอใจคงไมได้ ดังนั้น เมื่อมีประเด็นอะไรไม่ถูกต้องไม่ชอบธรรม ผมก็จะใช้สิทธิในการออกแถลงการณ์บ้าง ในการไปยื่นตรวจสอบหน่วยงานองค์อิสระบ้าง เช่น คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.), คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.), ผู้ตรวจการแผ่นดิน กรรมการสิทธิมนุษย์ชน สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) รวมทั้ง ยื่นคำร้องต่อนายกฯ รัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาล ผมได้ทำหน้าที่นี้มาโดยตลอดอย่างต่อเนื่องนับ 10 ปีครับ

- ทำมาหากินอะไรถึงมีทุนในการทำหน้าที่ร้องเรียนประเด็นต่างๆ อย่างต่อเนื่องนับร้อยพันเรื่อง
งานหลักผมทำคดีฟ้องร้องให้กับชาวบ้าน งานคดีทั้งหมดวันนี้ไม่ต่ำกว่า 4,000 คดีนะครับ แล้วงานคดีของผมส่วนใหญ่เป็นคดีสาธารณะมีผู้ร่วมฟ้องเยอะบางทีเป็นร้อยๆ คน ซึ่งผมจะไม่คิดค่าใช้จ่าย ใดๆ กับชาวบ้าน แต่ว่าชาวบ้านก็มีน้ำใจ ร่วมบริจาคให้คนละเล็กละน้อย รวมๆ กันแล้วตัวเลขเยอะเหมือนกัน ที่สำคัญผมทำให้ทุกคน ไม่เกี่ยงยากดีมีจนหรือรวยเศรษฐีพันล้าน ผมก็ทำให้หมดไม่คิดมูลค่า แต่เขาเห็นเรามีน้ำใจทำให้ก็เลยช่วยบริจาค ทำอย่างนี้มาโดยตลอดไม่ว่าจะในกรุงเทพฯ ปริมณฑล หรือต่างจังหวัด ชาวบ้านก็มักช่วยเหลือค่าใช้จ่ายมาโดยตลอด แล้วมันเป็นคดีเยอะมันก็หัวเฉลี่ยกันไป

สมมติ ชาวบ้านบริจาคคดีละ 10,000 บาท ผมทำมา 4,000 คดี เป็นเงินเท่าไหร่ก็คำนวณไป แต่ว่ามันยอดเงินบริจาคนั้นไม่ตายตัวไม่ได้อยู่ที่ 10,000 บาทเสมอไปนะครับ บางคดีเขาก็ให้มา 20,000 บาท 30,000 บาท 50,000 บาท บางคดีคนรวยหน่อยก็ให้เป็น 100,000 บาทนะครับ

มีคดีให้ทำตลอด เดือนหนึ่งคนร้องเรียนเข้ามาเกือบ 10 คดี วันๆ ก็วุ่นอยู่กับการเขียนคำฟ้อง คำให้การ คือการทำคดีกับร้องเรียนคนละส่วนกัน เรื่องทำคดีให้ชาวบ้านไม่มีอะไรเป็นเรื่องน่าหนักใจของ ถ้าผมช่วยได้ ผมก็ช่วยทุกคนอยู่แล้ว ไม่มีรังเกียจรังงอนใดๆ ทั้งสิ้น

นอกจากนั้น ผมเรียนมาหลายปริญญา ปริญญาตรี 3 ใบ ปริญญาโท 2 ใบ และปริญญาเอกอีก ในส่วนนี้ก็เอาความรู้ไปทำด้านงานรีเสิร์ชให้กับมหาวิทยาลัย สถาบันวิชาการต่างๆ รับทำเป็นโปรเจ็กต์ๆ เหล่านี้เป็นรายได้ให้พออยู่ได้ครับ

- พักหลังๆ มานี้ปรากฏตัวหน้าสื่อร้องเรียนประเด็นการเมืองบ่อย จนเกิดข้อครหาว่ารับงานมาบ้าง เอื้อประโยชน์กลุ่มการเมืองบ้าง ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร
ประเด็นนี้เป็นเรื่องที่แล้วแต่จะคิดกันไป เพราะว่าเรื่องบางเรื่องถ้าร้องไปบางทีมันก็ได้ประโยชน์กับกลุ่มหนึ่ง อีกกลุ่มเสียประโยชน์ เหมือนกรณีร้องเรียนเรื่องนักการเมืองนั่นละครับ ฝ่ายหนึ่งเสียประโยชน์แต่อีกฝ่ายหนึ่งเฮเพราะได้ประโยชน์ ซึ่งฝ่ายหนึ่งก็จะค่อนแคะว่าผมถูกจ้างมาหรือไม่? เอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มนั้นกลุ่มนี้หรือไม่? จริงๆ ผมก็ทำมาอย่างต่อเนื่อง ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง แทบจะทุกพรรคการเมืองผมยื่นตรวจสอบ

ตรงนี้เป็นเรื่องปกติที่ผมทำใจมาโดยตลอดอยู่แล้ว ไม่ได้ซีเรียส คิดแต่เพียงว่าเราทำหน้าที่ของเราให้มันถูกต้อง และคิดว่ามันน่าจะช่วยจรรโลงสังคมได้ภายใต้ความรู้ที่เรามี ทำงานด้วยความตั้งใจด้วยความมุ่งมั่นโดยไม่เป็นเพียงนักเลงหน้าคอมฯ นั่งวิจารณ์คนอื่นไปวันๆ โดยที่ตัวเองไม่ออกไปทำอะไรเลย ผมว่ามันไม่ใช่... ผมคิดว่าสิ่งไหนที่ถูกต้อง ต้องออกไปแอ็กชันด้วยตัวเอง ผมเป็นนักปฏิบัติ ซึ่งมันก็ทำให้คนรักคนชังเยอะ

-เรื่องการทำงานเพื่อสังคมทราบว่าได้รับอิทธิพลมาจากครอบครัว
พ่อมีอิทธิพลค่อนข้างสูงครับ เพราะผมเองเป็นคนต่างจังหวัด พ่อแม่เองก็ทำไร่ทำนา แต่พ่อเป็นคนชอบช่วยเหลือคน เวลามีใครเดือดร้อนไม่มีเงินทำไรทำนา หรือแม้แต่ไม่มีเงินบวชลูกบวชหลานแต่งลูกแต่งเมีย ก็มักจะมาหยิบยืมพ่อผมโดยตลอด พ่อผมก็ใจดีให้มาโดยตลอด แต่บางทีให้แล้วก็ไม่มาคืน พ่อผมก็ต้องใช้สิทธิทางศาลในการฟ้องร้องบังคับใช้หนี้ ผมก็ติดสอยห้อยตามพ่อไปขึ้นศาล อีกอย่างพ่อผมชอบติดตามข้อมูลข่าวสาร อ่านหนังสือพิมพ์ ฟังวิทยุ ดูทีวี ตลอดเวลาแล้วมาวิเคราะห์สังเคราะห์ชี้ประเด็นของนักการเมืองคนนั้นคนนี้ ผมก็ซึมซับสิ่งเหล่านี้มาโดยตลอด

ต้องเท้าความก่อนว่า ผมเรียนมหาวิทยาลัยแม่โจ้ เพราะพ่อแม่ผมเป็นเกษตรกรทำไร่ทำนา ก็มีความคิดอยากจะเอาความรู้ทางเกษตรมาพัฒนาอาชีพของตระกูลของพ่อแม่ แต่เผอิญตอนเรียนผกผันได้กลายไปเป็นนายกองค์การนักศึกษา ผู้นำนักศึกษา และหัวรุนแรงพอสมควร นำนักศึกษาปิดถนนประท้วงขับไล่ผู้ว่าฯ 2 วัน 3 คืน เพราะเห็นความไม่ได้รับความเป็นธรรมของชาวบ้าน จากการละเลยปฏิบัติหน้าที่ของรัฐ พอเรียนจบออกมาก็เลยเข้ามาทำงานประเภทนี้ เห็นความไม่ถูกไม่ควรไม่ถูกต้องเราต้องออกมาเคลื่อนไหว รณรงค์ในรูปแบบของ NGO มีความรู้สึกว่าไม่อยากไปรับราชการใดๆ ทั้งสิ้น อยากทำหน้าที่ตรงนี้ เพราะตัวเองมีความรู้สึกไม่อยากไปเป็นลูกน้องใครไม่อยากเป็นขี้ข้าใคร อยากทำงานในลักษณะส่วนตัวมีความอิสระ

- เรื่องที่ยากลำบากในการทำงานเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมและการเมือง
ไม่มีอะไรเป็นยากนะครับ แต่เรื่องปริวิตกเนื่องจากว่าการทำงานของตัวเองไปกระทบต่อผู้สูญเสียประโยชน์ค่อนข้างจะเยอะ ก็อาจจะถูกข่มขู่คุกคามบ้าง ข่มขู่ผ่านโทรศัพท์ คุกคามโดยสะกดรอยตามบ้าง ซึ่งก็ทำให้ตัวเองต้องระมัดระวัง จากที่เป็นคนไม่ซีเรียสกับเรื่องนี้ก็ต้องระวังตัวให้มากขึ้น ไปไหนมาไหนก็ต้องระวังระวัง ขาไปไปทางซ้าย ขากลับกลับทางขวา ระแวดระวังมากขึ้นทำให้ตัวเอง

- ความภูมิใจสูงสุดของผู้ชายชื่อ ศรีสุวรรณ จรรยา
ผมเกิดมาชาติหนึ่ง แล้วมีโอกาสได้เรียนสูงในระดับที่ในตำบลอำเภออาจะไม่มีใครเรียนมากเท่าผม ผมเป็นคนต่างจังหวัดเป็นคนบ้านนอก การมีโอกาสได้เรียนถึงระดับนี้เป็นที่น่าภูมิใจ เป็นหน้าเป็นตาของพี่น้องญาติตระกูล และการมาทำหน้าที่ตรงนี้ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นงานสาธารณะงานเพื่อประโยชน์ของสังคมเป็นส่วนใหญ่ ช่วยเหลือคนที่ทุกข์ยากเดือดร้อนผู้คนทั้งแผ่นดิน แล้วงานคดีบางคดีก็ช่วยเหลือประเทศชาติ ช่วยหยุดยั้งการใช้อำนาจของหน่วยงานภาครัฐ หยุดการทุจริตคอร์รัปชั่นเยอะแยะมากมาย ทำให้สังคมและกฎหมายได้รับการเปลี่ยนแปลง มันก็เป็นความภาคภูมิใจที่เราสามารถช่วยเหลือคนที่ทุกข์ร้อน หรือไม่ได้รับความเป็นธรรมมาตลอด 20 - 30 ปี ที่ผมทำงานตรงนี้ ถือเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง และจะทำอย่างนี้ไปจนกว่าลมหายใจจะหมดไป

พญาครุฑและงานศิลปะที่ “พี่ศรี” สะสมเอาไว้เป็นจำนวนมาก
-นอกจากงานคดีและร้องเรียนต่างๆ ชีวิตส่วนตัวคุณสนใจอะไรบ้าง
ศิลปะ ครุฑ ต้นไม้ ผมเป็นคนอารมณ์ศิลปิน ชอบศิลปะ ผมมีงานศิลป์ที่เป็นภาพวาดค่อนข้างเยอะมาก ไม่ได้มีราคา ไม่ใช่ผลงานของศิลปินที่มีชื่อหรอก อาจจะราคาพันสองพันเท่านั้นเอง งานภาพวาดผมเห็นว่ามันสวยก็จะซื้อมาใส่กรอบเก็บไว้ คือผมชอบภาพวาดมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว แต่ว่าตัวเองไม่สามารถวาดได้สวยงามเท่าไหร่ ผมชอบมองภาพสวยๆ งามๆ ภาพศิลปะต่างๆ พอมีโอกาสอย่างไปเดินตลาดนัด อย่างเมื่อก่อนเรียน ม.แม่โจ้ จ.เชียงใหม่ ไปเดินตลาดริมถนน เห็นภาพราคาไม่แพง 500 บาท 1,000 บาท ผมก็ซื้อมาเก็บสะสมเพราะว่ามันสวยงาม

ผมชอบครุฑ ผมมองเป็นศิลปะที่สวยงาม ไม่ได้สนใจในเชิงไสยศาสตร์ การที่เขาสร้างปั้นครุฑขึ้นมามันมีความสวยงามแตกต่างกันไป ผมชอบก็เลยสะสมตอนนี้ก็มีกว่าร้อยองค์ ฉะนั้น ครุฑที่บ้านผมจะเยอะมาก ทั้งที่ถอดออกมาจากห้างร้านธนาคารที่ได้รับพระบรมราชานุญาตให้มาติดได้ เมื่อเขารื้อหรือยุติกิจกรรมเขาก็ขายให้กับร้านรับซื้อของเก่า แล้วผมก็ไปรับซื้อต่อมาแล้วมาติดไว้ที่บ้าน ดูสวยงามดี ครุฑของผมมีหลายแบบทั้งโลหะ ไม้ รวมๆ แล้วก็มีเป็นร้อยองค์แล้ว ครุฑขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ 10 นิ้ว 20 นิ้ว 30 นิ้ว ถามว่าแพงไหม...ส่วนใหญ่ราคาหลักพันแต่ก็มีองค์ราคาเป็นหมื่นองค์ใหญ่สูงเกือบ 100 ซม. กว้าง 130 ซม. เป็นโลหะทองเหลืองสวยงาม

และชอบต้นไม้ บ้านผมร่มรื่นและเขียวขจีไปด้วยต้นไม่หลายหลาย เป็นคนชอบต้นไม้ เรียนจบเกษตรฯ ม.แม่โจ้ อยู่กับธรรมชาติอยู่แล้ว และต้นไม้ที่ปลูก ทุกช้าเย็นมักจะมายืนดูดูสังเกต ช่วยรีแลกซ์ช่วยผ่อนคลายความเครียดจากการทำงานได้มากพอสมควรชีวิตผมก็อย่างนี้แหละ แต่ถ้าไม่ทำอะไรเลย ก็มันจะขลุกอยู่กับการดูต้นไม้ของผมเท่านั้นเองครับ

- สะสมครุฑเพราะชอบความงดงามของศิลปะล้วนๆ เลยหรือ
การสะสมครุฑ ผมมองเป็นเรื่องของความสวยงามศิลปะมากกว่ามองเป็นเรื่องคุณไสยหรือไสยศาสตร์ใดๆ แต่ว่าคนอื่นที่เขามาเยี่ยมบ้านผม เห็นครุฑแล้วก็พากันคิดไปต่างๆ นานา ว่าผมเล่นของบ้าง มีครุฑเป็นเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ไว้ปกป้องดูแลต่างๆ แต่ผมไม่ได้คิดในส่วนนั้น คิดเพียงเรื่องของศิลปะความสวยงามในส่วนนี้มากกว่าครับ

ส่วนใหญ่ก็ซื้อและมีคนให้มาบ้าง ล่าสุด ไปทำบุญถวายพระบูชาขนาดใหญ่ ถวายพระกว่า 30 นิ้วที่บ้านเกิดผม จังหวัดพิษณุโลก ก็ไปมอบทุนการศึกษาให้กับเด็กๆ ด้วย เขาก็ให้ครุฑผมมาเป็นครุฑบูชารมดำผสมกับเหล็กน้ำพี้ คือผมวัดนี้ผมไปช่วยทำผ้าป่ากระถินเกือบทุกปี สร้างหอไตร หอระฆัง โบสถ์ เมรุเผาศพ หอธรรม แล้วก็มาสร้างองค์พระพุทธรูปตั้งเป็นองค์ประธานในหอธรรม ได้ชักชวนพรรคพวกเพื่อนฝูงร่วมเงินกันไปสร้างถวาย

-ชอบเสพงานศิลปะมีโอกาสไปเดินอาร์ตแกลเลอรีบ่อยไหม
อยากไปแต่ไม่ค่อยมีเวลาไปชมมากเท่าไหร่ ไม่ค่อยมีโอกาสไปเดินดูเลย ที่สำคัญคืออาร์ตแกลเลอรีพวกนี้เต็มไปด้วยภาพราคาแพงเป็นหมื่นเป็นแสน เราไม่มีปัญญาไปซื้อแน่ อาจจะทำได้ก็ไปชื่นชม หรือถ่ายรูปมาดูเล่นเก็บไว้เป็นอัลบั้มเท่านั้นเอง ผมว่าศิลปะมันช่วยลดความแข็งกระด้างของจิตใจของคนได้นะ เพราะว่ามันช่วยทำให้เกิดจินตนาการที่กว้างไกลและสวยงามมาก แต่น่าเสียดายประเทศของเราไม่ค่อยมีการส่งเสริมเรื่องนี้อย่างจริงจัง ระดับประถมฯ มัธยมฯ มหาวิทยาลัย ไม่ค่อยมีใครส่งเสริม ในต่างประเทศจะเห็นว่างานอาร์ตจะมีการวางโชว์กลางแจ้ง ไม่ว่าจะเป็นงานปั้น ทางเท้า ริมถนน อาคารร้านค้า แต่บ้านเราไม่ค่อยมีส่งเสริมเท่าไหร่ ก็เลยทำให้คนของเราไม่ค่อยมีโอกาสแสดงศักยภาพแสดงผลงานของตัวเองมากนัก

อย่างประเด็น หอศิลป์กรุงเทพฯ ผมติดตามและให้กำลังใจอยู่ เรื่องนี้มันต้องให้คนที่เขามีความรู้สามารถมีประสบการณ์ เรื่องนี้เป็นคนทำไม่ใช่ใช้ระบบราชการเป็นคนทำหรือครอบครองไป เพราะว่าเราต้องเข้าใจว่า คนที่มีอารมณ์ศิลปินจะเข้าใจเรื่องศิลปะได้ดีกว่าการใช้ระบบราชการในการทำงานในเชิงบริหารครับ
ร้านชาศรีสุวรรณซึ่งตั้งอยู่บริเวณตลาดยิ่งเจริญ
- ทราบว่าเปิดร้านชาซึ่งโลโก้เป็นภาพใบหน้าคุณศรีสุวรรณด้วย
ครับ ชาศรีสุวรรณ ร้านชาแฟนผมอยากมีกิจการทำบ้าง ก็เลยไปได้สถานที่ตลาดยิ่งเจริญด้านหน้า เจ้าของก็รู้จักมักคุ้นกันก็เลยไปขอเช่าเปิดร้านชา ได้สูตรชงชาที่คนนิยมบริโภค ชานม ชาเขียว ชากาแฟ แต่ก่อนจะมาเป็นแบรนด์ “ชาศรีสุวรรณ” ตอนแรกก็เป็นชื่ออื่นมาก่อนนะครับ แต่คิดว่าไหนๆ เราก็เป็นที่รู้จักของคนบ้างพอสมควร ก็เลยเอาหน้าเราไปเป็นโลโก้เลยแล้วกัน คนจะได้รู้กันว่าเป็นร้านชา “ศรีสุวรรณ จรรยา”

-ชีวิตวัยเกษียณ คุณศรีสุวรรณวางแผนไว้อย่างไรบ้าง
ผมวางแผนเกษียณอยากกลับไปเป็นเกษตรกรที่บ้านเกิด จ.พิษณุโลก ผมมีไร่มีนาอยู่ที่บ้านเกิดค่อนข้างเยอะพอสมควร อยากจะไปปลูกกระต๊อบทำไร่ทำนาทำสวน แต่เอาเข้าจริงหากกลับไปอยู่ต่างจังหวัดอาจจะมีชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่ มีความทุกข์ร้อนก็อาจจะวิ่งมาหาขอความช่วยเหลือซึ่งเราก็คงจะปฏิเสธไม่ได้ แต่จะเป็นไปได้แค่ไหนเป็นเรื่องของอนาคตครับ เพราะว่าการที่เราอยู่กับงานสาธารณะมาตลอดชีวิต เวลาจะปลีกวิเวกไปอย่างนั้นผมว่าเป็นเรื่องที่ยากพอสมควร เพราะว่าองค์ความรู้ต่างๆ ที่เรามีสั่งสมประสบการณ์เยอะแยะมากมายมันอาจจะทำให้อยู่เฉยไม่ได้ เวลาชาวบ้านเดือดร้อนวิ่งมาหาเราก็ต้องรับเป็นภาระ ให้ความช่วยเหลือตราบชีวิตจะหาไม่


กำลังโหลดความคิดเห็น