ท่ามกลางฝนที่ตกพรำๆ ไม่ยอมหยุด และฟ้ามืดครึ้มช่วงฝนฤดูใบไม้ผลิปลายเดือนเมษายน ประชาชนชาวญี่ปุ่นจำนวนมากหลั่งไหลกันมายืนกางร่มเนืองแน่นอยู่บริเวณสะพานด้านประตูเข้าหลักของพระราชวังแห่งจักรพรรดิ (Imperial Palace) ซึ่งจะเป็นทางผ่านเข้าพระราชวังของบรรดาพระบรมวงศานุวงศ์ และคณะรัฐมนตรี เพื่อเข้าเฝ้าสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ และจักรพรรดินีมิชิโกะ อันเป็นที่เคารพรักยิ่งของพวกเขา ในวโรกาสที่พระจักรพรรดิจะประกอบพระราชพิธีสละราชสมบัติอย่างเป็นทางการ โดยที่หน้าวังไม่มีจอยักษ์ถ่ายทอดสดพระราชพิธี; แต่ประชาชนต่างทนกางร่มยืนตากฝน; แทบทุกคนถือโทรศัพท์หรือไอโฟนเพื่อติดตามการถ่ายทอดสดของพระราชพิธีภายในท้องพระโรง เพื่อถวายอำลาอาลัยครั้งสุดท้ายในรัชสมัยเฮเซ ที่จะได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ในการกล่าวอำลา
หลายคนมาจากแดนไกล จากแดนอีสานของญี่ปุ่นที่ได้เกิดแผ่นดินไหว และสึนามิครั้งสยดสยองที่สุด จนทำให้โรงงานไฟฟ้าปรมาณูถึงกับหลอมละลาย เมื่อปี 2011 (8 ปีมาแล้ว) ซึ่งมีผู้คนล้มตายจำนวนมาก และพวกเขาซาบซึ้งที่ได้รับพระมหากรุณาจากทั้งสองพระองค์ที่รีบเสด็จไปปลอบขวัญ และให้กำลังใจแก่ประชาชนที่กำลังขวัญเสีย เพราะต้องสูญสิ้นทุกอย่างในชีวิต ทั้งบ้านและที่ทำสวน ทำไร่ของตน รวมทั้งกิจการน้อยใหญ่ต่างพังทลายอย่างสิ้นเชิง หลายคนสูญเสียผู้เป็นที่รักทั้งพ่อ, แม่, ลูก, คู่รัก
ผู้หญิงคนหนึ่งอายุปลายๆ 60 ปี ได้กล่าวกับสถานี NHK ทั้งน้ำตาว่า เธอเสียทุกอย่างในชีวิต รวมทั้งสมาชิกครอบครัว ทำให้เธอช็อกและไม่สามารถพูดแม้สักคำเดียว จนพระจักรพรรดิและจักรพรรดินีเสด็จมาเยี่ยมที่พักพิงฉุกเฉิน (ทั้งสองพระองค์เสด็จเยี่ยมให้กำลังใจประชาชน ก่อนหน้าที่นายกฯ อาเบะ จะตัดสินใจไปเยี่ยมปลอบขวัญเสียอีก; เพราะนายกฯ อาเบะถูกทัดทานโดยที่ปรึกษาว่าอย่าเพิ่งไปเยี่ยมผู้ประสบภัย เนื่องจากได้รีบเดินทางไปที่โรงงานไฟฟ้าปรมาณูที่ฟูกุชิมะทันทีในวันที่เกิดระเบิด ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์ว่า ทำให้เหล่าพนักงานและเจ้าหน้าที่ต้องวุ่นวายกับการต้อนรับและสรุปเหตุการณ์ (Briefing) ให้ฟัง แทนที่พวกเจ้าหน้าที่จะรีบบริหารจัดการกับความโกลาหลของโรงไฟฟ้าที่กำลังมีปัญหาหนัก...นายกฯ อาเบะ ก็เลยยังโอ้เอ้ไม่ได้เดินทางไปเยี่ยมผู้ประสบภัย จนสมเด็จพระจักรพรรดิได้เสด็จเยี่ยมก่อนหน้านายกฯ!)
เธอเล่าพร้อมน้ำตาว่า ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จมายืนอยู่เบื้องหน้าของเธอ และได้ก้มลงนั่งกับพื้น ตามองมาที่ตาของเธออย่างเข้าอกเข้าใจ และเห็นใจในความทุกข์สาหัสของเธอ และได้รับสั่งว่า ขอให้เธอเข้มแข็งและมีกำลังใจเพื่อผ่านความทุกข์ที่สุดครั้งนี้ให้ได้ พระองค์ให้กำลังใจด้วยการแสดงความเมตตา และเข้าอกเข้าใจอย่างจริงใจในทุกข์ยากของประชาชน เป็นการร่วมทุกข์กับประชาชนอย่างจริงใจ
สายตาและน้ำพระสุรเสียงของทั้งสองพระองค์เต็มไปด้วยความรัก และความเจ็บปวดที่ทรงเข้าถึงส่วนลึกของเธอ ซึ่งเธอประทับใจมาก และหลังจากนั้นอีกไม่นาน เธอก็สามารถทิ้งความเจ็บปวดลึกในจิตใจจนสามารถกลับมาพูดจาได้ในที่สุด และกลับมาสู้กับชีวิตอีกครั้งหนึ่งได้
ทั้งสองพระองค์นั้นมีพระเมตตาสูงยิ่ง และเห็นอกเห็นใจผู้ที่กำลังตกทุกข์ลำบาก ตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นพระคู่หมั้นหมาย ก็ได้เสด็จคู่กันไปเยี่ยมคนชรา และผู้ป่วยตามโรงพยาบาลต่างๆ และบ้านพักคนชรา รวมทั้งทรงเยี่ยมผู้ประสบภัยพิบัติทุกชนิด และแทบทุกครั้งที่เกิดขึ้นในจังหวัดต่างๆ ของญี่ปุ่น โดยเฉพาะเมื่อเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ที่บริเวณโกเบช่วง 1991
พระจักรพรรดิอากิฮิโตะ ทรงตระหนักถึงบทบาทของสถาบันกษัตริย์ญี่ปุ่นหลังการเป็นประเทศแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 และหลังจากการถูกถล่มด้วยระเบิดนิวเคลียร์ถึง 2 ลูก คือที่ฮิโรชิมา (เมื่อ 6 สิงหา) และที่นางาซากิ (เมื่อ 9 สิงหา) ปี 1945 ขณะที่พระองค์มีพระชนมายุเพียง 12 พรรษา รวมทั้งพระบิดาก็หวิดจะต้องเป็นจำเลยในฐานะผู้ก่อสงครามมหาเอเชียบูรพา และต้องรับผิดชอบต่อการถล่ม Pearl Harbor ตลอดจนชีวิตผู้คนมากมายที่ต้องตายด้วยฝีมือทหารญี่ปุ่นในสงครามโหดครั้งนั้น รวมถึงเหล่าทหารเด็กวัยรุ่นเกือบ 5,000 คนที่ถูกฝึกเป็นนักบินกามิกาเซ (Kamikaze) ที่ยอมพลีชีพเพื่อพระจักรพรรดิโดยขับเครื่องบินเล็กเข้าระเบิดเรือรบฝ่ายสัมพันธมิตรในมหาสมุทรแปซิฟิก โดยบินเข้าไปในปล่องไฟของเรือรบ และก่อนตายจะตะโกนดังลั่นว่า ขอพระจักรพรรดิทรงพระเจริญ (Kamikaze)
พระจักรพรรดิอากิฮิโตะ ได้พยายามนำประเทศญี่ปุ่นเคลื่อนเข้าสู่สันติภาพหลังสงครามโลก โดยเมื่อพระองค์ได้เข้าศึกษาด้านรัฐศาสตร์จาก Gakushuin U. ที่โตเกียว และต่อมาหลังจากได้เข้าพระราชพิธีเป็นมกุฎราชกุมารแล้ว ท่านได้พบรักกับน.ส.มิชิโกะ โชดะ ธิดาของนักธุรกิจอุตสาหกรรมแป้งทำอาหาร (ซึ่งต่อมาได้ต่อยอดเป็นขนม Nisshin ที่พวกเรารู้จักกันดีนั่นแหละ) ที่สนามเทนนิส ที่น.ส.มิชิโกะ เป็นผู้หญิงญี่ปุ่นที่ค่อนข้างสมัยใหม่ แต่เรียบร้อยจากการอบรมปลูกฝังของครอบครัวที่เก่าแก่และมั่งคั่ง เธอเรียนชั้นประถมและมัธยมจากร.ร.คาทอลิก และเรียนด้านปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยคาทอลิกที่โตเกียวด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่งในวิชาเอกคือ วรรณคดี อังกฤษ โดยสามารถพูดภาษาและเขียนภาษาอังกฤษได้ดีเยี่ยม
มกุฎราชกุมารอากิฮิโตะทรงเลือกน.ส.มิชิโกะ ซึ่งเป็นการแหวกประเพณีที่จะมีจักรพรรดินีที่มิใช่เชื้อพระวงศ์ หรือธิดาของขุนนางระดับสูง และโดยเฉพาะครอบครัวโชดะนับถือศาสนาคาทอลิกด้วย!
หลังพระมารดาของอากิฮิโตะสวรรคต จึงมีการเปิดเผยว่า พระจักรพรรดินีที่เป็นพระมารดาของพระองค์ ได้ทรงทัดทานไม่อยากให้มกุฎราชกุมารอากิฮิโตะเสกสมรสกับบุคคลนอกศาสนา
แต่มกุฎราชกุมารก็เป็นสัญลักษณ์แห่งโลกสมัยใหม่นำมาให้สังคมญี่ปุ่น เมื่อเข้าพิธีเสกสมรสกับหญิงสามัญชนที่มีการศึกษาสูง และอยู่ในขนบประเพณีที่ดีของญี่ปุ่น (ซึ่งน.ส.มิชิโก โชดะ ได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาชินโตก่อนเข้าพิธีเสกสมรส)
มกุฎราชกุมารอากิฮิโตะ ทรงเลี้ยงดูพระโอรส พระธิดาด้วยพระองค์ และพระชายา (ที่ทรงป้อนนมแบบ Breast Feeding เองด้วย) แทนการให้ทางกรมวังจัดหาแม่นมแยกออกไปเลี้ยงดู
มกุฎราชกุมาร และพระชายา เสด็จเยือนต่างประเทศในนามของสมเด็จพระราชบิดาถึงเกือบ 40 ประเทศ ซึ่งเป็นบทบาทใหม่ของสถาบันกษัตริย์ญี่ปุ่นที่จะสร้างความเข้าใจและสันติภาพแก่ประเทศต่างๆ; และภายหลังขึ้นครองราชย์ท่านได้มีพระดำรัสเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อบทบาทของญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่ว่าจะเสด็จที่จีน, อังกฤษ, ฟิลิปปินส์ เป็นต้น โดยจะย้ำถึงญี่ปุ่นปรารถนาสันติสุขและสวัสดิภาพบนโลกนี้
ท่านได้ทิ้งลูกไม้ให้หล่นใกล้ต้น คือ พระจักรพรรดินารุฮิโตะ ได้ดำเนินตามรอยพระบาทที่พระราชบิดาและพระราชมารดาได้ทำเป็นตัวอย่างไว้อย่างงดงาม