ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ประเดิมใบส้มกันไปแล้ว หลังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ควักแจก สุรพล เกียรติไชยากร ว่าที่ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย
หลังมีพฤติการณ์เข้าข่ายผิดพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 73 (2) เสนอให้สัญญาว่าจะให้เงินหรือทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมแก่ชุมชน สมาคม มูลนิธิ วัด สถานศึกษา สถานสงเคราะห์ หรือสถาบันอื่นใด จากภาพถวายปัจจัยในงานทอดผ้าป่า
จากพิษ"ใบส้ม" ส่งผลให้ กกต.ต้องสั่งระงับสิทธิสมัคร ส.ส.ของสุรพล และสั่งเลือกตั้งใหม่ จำนวนคะแนนดังกล่าว กกต.จะไม่นำมารวมนับเป็นคะแนนที่จะคำนวณเพื่อจัดสรร ส.ส.บัญชีรายชื่อให้กับพรรคการเมือง และยังต้องดำเนินการเอาผิดตาม มาตรา 138 โดยร้องต่อศาลฎีกา เพื่อพิจารณาสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง (ใบดำ) หรือสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง (ใบแดง) ต่อไป
เมื่อเป็นแบบนี้จำนวน ส.ส.ของฝั่งพรรคเพื่อไทย จึงหายไปอีก 1 ที่นั่ง รวมทั้งเสียงของฝ่ายที่เรียกตัวเองว่า ฝ่ายประชาธิปไตย ที่ประกาศจัดตั้งรัฐบาลลมก่อนหน้านี้หายไป 1 เสียง
แล้วยังไม่รู้ว่า กกต.จะแจกให้ใครเพิ่มอีกหรือเปล่า ตามคิวที่เสียงฝั่งนี้มีสิทธิ์หายอีกหลายคน แน่ๆ ก็ “พ่อของฟ้า”ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่ถูก กกต. เอาคอพาดเขียง มีมติแจ้งข้อกล่าวหา กรณีถือครองหุ้นสื่อหลังวันรับสมัครส.ส. ที่เป็นคุณสมบัติต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ ส่อแววจะถูกแจกใบส้มอีกคนในเปอร์เซ็นต์สูงลิ่ว
โอกาสรอดน้อยมาก เพราะธนาธร ถือเป็นคีย์แมนสำคัญของฝั่งนั้น เพราะมาก้าวพลาด เข้าทางอีกขั้วอำนาจที่จ้องจะขจัดพ้นเส้นทางอยู่แล้ว เหมือนเตะหมูเข้าปากหมา
ตอนนี้ 2 เสียงฝั่งที่เรียกตัวเองว่า ฝ่ายประชาธิปไตย อาจหายไป ไม่ได้ไปร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎรนัดแรก ส่งผลดีกับอีกฝั่ง ที่นำโดยพรรคพลังประชารัฐ ที่คะแนนเท่าเดิม ยิ้มกริ่ม เพราะกำลังคู่ต่อสู้หาย ส่งผลให้มีตัวเลข ส.ส.ในมือมากกว่า
นี่หากก่อนวันที่ 9 พฤษภาคม ที่ กกต.จะประกาศผลการเลือกตั้ง ยังมีส.ส.ฝั่งที่เรียกตัวเองว่า "ฝ่ายประชาธิปไตย" หายไปอีกสัก 4-5 คน พรรคพลังประชารัฐนั่งกินขนมรอโหวตเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร และนายกรัฐมนตรี ได้แบบสบายใจ จากตอนแรกที่คะแนนเบียดกัน จนคนนินทาหมาดูถูก ว่าพรรคพลังประชารัฐจะ"ด้านได้ อายอด" แข่งทั้งเป็นเสียงข้างน้อย ตอนนี้คงไม่ต้องแล้ว เพราะเสียงในมือเหนือกว่า
ซึ่งมันก็เป็นไปตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า ใบเหลือง ใบส้ม ใบแดง จะเป็นตัวแปรสำคัญทำให้จำนวนส.ส.ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากกว่ากัน แล้วมันก็มาตามนัด !
ไม่แปลกอะไรที่ กกต.ต้องเร่งแจกใบต่างๆ เพราะเหลืออีกสิบกว่าวัน ก็ต้องประกาศรับรองผลแล้ว แต่การที่หวยไปออกอีกฝั่ง มันก็เหมือนกับตั้งใจให้เกมออกมาแบบนี้
เพราะการประชุมสภาผู้แทนราษฎรนัดแรก ที่จะต้องเลือกประธานสภาฯ กัน มันเป็นขั้นตอนสำคัญในการถือครองอำนาจ เพราะเป็นตำแหน่งคีย์แมน ไม่ว่าจะเป็นการเป็นประธานที่ประชุมรัฐสภา เพื่อเลือกนายกรัฐมนตรี
การคุมเกมฝ่ายนิติบัญญัติ ที่จะต้องออกกฎหมายสำคัญๆ การลงมติเรื่องต่างๆ ตลอดจนการอภิปรายไม่ไว้วางใจ หากใครได้เก้าอี้นี้ไป ย่อมคอนโทรลเกมในสภาได้
พรรคเพื่อไทยเองก็คาดหวังจะชิงเก้าอี้ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติไป หลังโอกาสในการแพ้โหวตนายกรัฐมนตรีมีสูง เพราะไม่มี ส.ว. 250 คน มาช่วยเหมือนกับพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งหากพลิกเกมคว้าตำแหน่งนี้ไปได้ อย่างน้อยจะทำให้การบริหารประเทศของรัฐบาลรวน การทำงานไม่เสถียรภาพ
เพราะคะแนนที่ปริ่มน้ำอยู่ การมีคนของพรรคตัวเองไปเป็นประธานสภาฯ จะมีช่องให้ชิงน็อกรัฐบาลได้เยอะ โดยเฉพาะการลงมติเห็นชอบเรื่องต่างๆ สามารถคอนโทรลการประชุม เพื่อเอื้อให้ฝั่งตัวเองได้
พรรคเพื่อไทยเอง หมายมั่นถึงขนาดวางตัว “สมพงษ์ อมรวิวัฒน์”นักการเมืองรุ่นใหญ่ให้ทำหน้าที่นี้ เพราะโอกาสจะชิงตำแหน่งนี้พอมีความเป็นไปได้มากกว่า เพราะใช้เสียง ส.ส.อย่างเดียว ส.ว.เข้ามาจุ้นไม่ได้
ซึ่งพรรคพลังประชารัฐเองก็อ่านไต๋ออก แล้วปล่อยเก้าอี้นี้ไม่ได้เหมือนกัน เพราะหากได้คุมบริหาร แต่ฝ่ายนิติบัญญัติไปอยู่กับอีกขั้ว บ้านเมืองจะเดินไปข้างหน้าไม่ได้เลย เพราะเป็นคนละเนื้อเดียวกัน
ที่ผ่านมาประธานสภาฯ จึงมักจะมาจากพรรคแกนนำรัฐบาลเสมอ ไม่ค่อยไว้ใจคนอื่น แม้แต่คนของพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง ซึ่งจำนวนเสียง ส.ส.ของ 2 ฝั่งก็ห่างกันไม่มาก แต่พอซีกพรรคเพื่อไทยมาโดนตัดกำลัง มันก็เหมือนเสียงที่จะเอาไปแข่งหายไปอีก
พรรคพลังประชารัฐเท่าเดิม แต่อีกขั้วหาย โอกาสการันตีเก้าอี้ประธานสภาฯก่อนจะโหวตนายกรัฐมนตรีก็ทางโล่ง เพราะในการประชุมสภาฯ เพื่อเลือกประธานสภาฯ ไม่ได้ใช้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของจำนวน ส.ส.ทั้งหมด 500 คน แต่มาจากเสียงเกินกึ่งหนึ่งขององค์ประชุมในวันนั้น
วันนี้ พอมีการแจกใบส้ม เป็นการตอกย้ำว่า ในวันที่ 9 พฤษภาคมนี้ กกต.จะไม่สามารถรับรองส.ส.ได้ 100% แต่จะทำให้ได้ 95% เป็นอย่างน้อยเพื่อให้เปิดประชุมสภาฯได้ตามกฎหมาย
ต่อให้ไม่แจกใบเหลือง ใบส้ม ใบแดง ใครเพิ่ม แต่หากยังไม่รับรองในบางเขต โดยเฉพาะที่พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง ส.ส.เขต สัก 4-5 ที่นั่ง เท่านี้ก็ตัดกำลังคู่ต่อสู้ให้น้อยกว่าเสียงของพรรคพลังประชารัฐได้แล้ว เพื่อการันตีชัยชนะในการเปิดประชุมสภาฯ
นอกจากนี้ ยังส่งผลไปถึงการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ที่เสียง ส.ส.ของฝ่ายพรรคพลังประชารัฐ จะมีมากกว่า แม้ไม่ถึงกึ่งหนึ่งของจำนวน ส.ส.ทั้งหมด แต่ขอเพียงเหนือซีกพรรคเพื่อไทย ก็ถือว่ามีความชอบธรรม การที่ 250 ส.ว. มาช่วยโหวตให้เพื่อคะแนนถึง 376 เสียง ก็ไม่น่าเกลียดเท่าไหร่
ต่างจากถ้าจำนวนเสียงส.ส.น้อยกว่าพรรคเพื่อไทย แล้วไปอาศัยเสียง ส.ว. 250 คนมาช่วยเพื่อให้ถึง 376 เสียง ที่ต้องใช้คำว่า ทุเรศในทางการเมืองได้เลย
เพราะอย่าลืมว่า ส.ว. 250 คนนี้ มาจากการแต่งตั้งของ “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งทุกคนรู้หมดว่า ในการเลือกนายกรัฐมนตรี 250 ชีวิตนี้ จะโหวตให้ใคร
แต่ถ้าซีกพรรคเพื่อไทย มีคะแนนมากกว่า แล้วพรรคพลังประชารัฐมาอาศัยเสียง ส.ว.ช่วย เพื่อปาดหน้า อาจถูกครหาไม่ชอบธรรมในภายหลัง ดังนั้น ถ้าชนะตั้งแต่เสียง ส.ส.เลย อย่างนี้จะสง่างามกว่า
ปฏิบัติการแจกใบส้ม หรือจะแจกฟาล์ว “ธนาธร”มันจึงเข้าทางพรรคพลังประชารัฐ ทั้งหมด