xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ถอดรหัสเด้งฟ้าผ่า “บิ๊กโจ๊ก” เปรี้ยงเดียวเสียวถึง “ลำไส้”

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ชั่วโมงนี้ ไม่มีใครรู้ว่า สุดท้ายแล้ว ชะตากรรมของ “นายพลคนดัง” อย่าง “บิ๊กโจ๊ก-พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล”  นายตำรวจคนสนิท บิ๊กป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะลงเอยในรูปลักษณ์ใด และจะมีโอกาสผ่านพ้น “วิบากกรรม” ที่หนักหนาสาหัสที่สุดในชีวิตครั้งนี้ได้หรือไม่ อย่างไร

แต่ที่ชัดเจนแล้วก็คือ การที่ “บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ใช้อำนาจ “ม.44” สั่งปลด “บิ๊กโจ๊ก”พ้นจาก “ข้าราชการตำรวจ” กลายเป็น “ข้าราชการพลเรือนสามัญ” ในตำแหน่ง “ที่ปรึกษาพิเศษ” ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยราชกิจจานุเบกษาได้ประกาศเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2562 ที่ผ่านมา ซึ่งถือว่า “ไม่ธรรมดา” เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเกิดเหตุการณ์ในลักษณะ “พิเศษ” เช่นนี้

กล่าวสำหรับสถานการณ์เด้งบิ๊กโจ๊กแบบฟ้าผ่าเริ่มมีข่าวกระเส็นกระสายออกมาในคืนวันศุกร์ที่ 5 เมษายน 2562 และแพร่สะพัดในแวดวงสีกากีอย่างรวดเร็วว่าเป็น “เรื่องจริง” เพียงแต่ยังไม่มีหลักฐานอะไรออกมายืนยันเท่านั้น

กระทั่งในวันอาทิตย์ที่ 7 เมษายน 2562 ทุกอย่างก็มีความชัดเจนหลังจากมีการเผยแพร่คำสั่งของ “บิ๊กแป๊ะ-พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา” ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ออกมาเด้ง “บิ๊กโจ๊ก” พ้นจากเก้าอี้ “ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง” และให้มาปฏิบัติราชการที่ “ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ศปก.ตร)”

คำสั่งดังกล่าวลงวันที่ 5 เมษายน 2562

 ทั้งนี้ ก่อนหน้าจะมีคำสั่งของ “บิ๊กแป๊ะ” ช่วงเช้าวันที่ 5 เมษายน  “บิ๊กโจ๊ก” ยังเข้าร่วมประชุมกับหน่วยงานความมั่นคงในการเตรียมความพร้อมดูแลรักษาความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกประชาชนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ที่กระทรวงกลาโหม โดยมี บิ๊กป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นประธาน ตามปกติ
     
จากนั้น “บิ๊กโจ๊ก” ก็กลับเข้า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงข่าวรายวัน ทั้งการจับกุมขบวนการลักลอบค้าสินค้าเถื่อนผ่านออนไลน์ กระทั่งช่วงบ่าย “ความผิดปกติ” ก็เกิดขึ้น เมื่อ “บิ๊กโจ๊ก” ไม่ได้ปรากฏตัวในการแถลงข่าวจับขบวนการแชร์ข่าวปลอมผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ที่ สน.ทุ่งสองห้อง และมอบหมายให้ พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง ผู้บังคับการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง 3 (ผบก.ตม.3) ไปทำหน้าที่แทน รวมทั้งยกเลิกภารกิจเดินทางไปจังหวัดสิงห์บุรีแถลงข่าวการปราบปรามนายทุนเงินกู้นอกระบบอีกด้วย

จากนั้นกระแสข่าวก็ปรากฏเป็นระลอกๆ ว่า นายพลคนดังโดนเด้ง เพียงแต่ยังไม่เห็นคำสั่ง กระทั่งมีความชัดเจนหลังคำสั่งย้ายของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ และตามต่อด้วยการใช้อำนาจตาม ม.44 ของ พล.อ.ประยุทธ์ปรากฏออกมาในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน

ไม่มีใครคาดคิดว่า “บิ๊กโจ๊ก” จะมีชะตากรรมเช่นนี้ เนื่องเพราะเป็นที่รับรู้ว่า “บิ๊กโจ๊ก” คือ “ลูกรัก” ที่สามารถสนองตอบการทำงานของ “นาย” ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพชนิดที่ยากจะมีตำรวจคนไหนสามารถทำได้ กระทั่งได้รับการคาดหมายว่าเก้าอี้เบอร์หนึ่งของวงการสีกากีคงไม่พ้นไปจากเขา

และแน่นอนว่า คำถามที่ตามมาก็คือ อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ “บิ๊กโจ๊ก” ต้องมีวันนี้ เพราะทำไปทำมาเรื่องทำท่าว่าจะไม่ได้จบที่นายพลคนดังคนเดียว อาจจะมีการขยายวงลามไปถึง “คนอื่นๆ” ชนิดที่ต้องใช้คำว่า “เปรี้ยงเดียวเสียวถึงลำไส้” กันเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจน แต่ก็มีกระแสข่าวลือมากมาย เช่น “ต้อง 6 คดีอาญาสำคัญ” รวมไปถึงกระแสข่าวเรื่องที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์มอบหมายให้ “พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล” รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่กำกับดูแลสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ดำเนินการสอบสวน ซึ่งเรื่องนี้ “รองศรี” ปฏิเสธแล้วว่า ไม่เป็นความจริงแต่ประการใด โดยยังไม่ได้รับการสั่งการทั้งทางวาจาและลายลักษณ์อักษรจาก ผบ.ตร.ให้มาทำหน้าที่สืบสวนคดีใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการโยกย้าย พล.ต.ท.สุรเชษฐ์

ขณะที่ตัว “นายกฯลุงตู่” ซึ่งใช้ ม.44 ปลด ก็ปฏิเสธที่จะตอบคำถามและไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ เมื่อถามถึงสาเหตุของการใช้ ม.44 ปลด “บิ๊กโจ๊ก” ให้ขาดจากความเป็นข้าราชการตำรวจในช่วงปลายอำนาจของรัฐบาล คสช.

ส่วน “บิ๊กป้อม” ที่ถูกจับตาเป็นพิเศษว่าอาจรู้เห็นถึงสาเหตุที่แท้จริงก็เกิดอาการเจ็บป่วยอย่างกะทันหันจนไม่ได้เข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) โดยอ้างว่า “ท้องเสีย” ซึ่งสังคมก็ตั้งข้อสังเกตว่าเป็นเพราะ “พี่ป้อม”ไม่ต้องการตอบคำถามเรื่อง “บิ๊กโจ๊ก” ใช่หรือไม่

ด้าน “วิษณุ เครืองาม” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาคนใหม่ของ “บิ๊กโจ๊ก” ก็ยืนยันแค่เพียงว่า ต้นเรื่องของการชงย้ายไม่เกี่ยวกับปมทุจริตประการใด

กระนั้นก็ดี ถ้าหากตรวจสอบจากคำสั่ง ม.44 ของ “นายกฯ ลุงตู่” ก็พอจะเห็นเค้าลางบางประการ เนื่องจากมีการระบุเอาไว้ชัดเจนว่า มีความเกี่ยวข้องกับ มาตรการแก้ไขปัญหาเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบและการกำหนดกรอบอัตรากำลังชั่วคราว

แปลไทยเป็นไทยก็คือ “บิ๊กโจ๊ก” มีปัญหาในการทำงานและอยู่ระหว่างการถูกสอบสวน ซึ่งสังคมรับรู้ได้ว่า “ไม่ธรรมดา” ไม่เช่นนั้น คงไม่มีคำสั่งให้ “ย้ายขาด” จากข้าราชการตำรวจเป็นข้าราชการพลเรือนและมาเข้ากรุที่สำนักนายกรัฐมนตรีอย่างแน่นอน

หลังปรากฏข่าวในวันแรกๆ สังคมรับรู้ได้ถึงความ “ผิดปกติ” จากหลายสัญญาณที่ปรากฏให้เห็น ไม่ว่าจะเป็นพจเฟซบุ๊กส่วนตัว “สุรเชษฐ์ หักพาล” ที่มีกลุ่มแอดมินทำหน้าที่โพสต์ ภาพและข้อความ แชร์ลิงก์ นำเสนอผลงานและเรื่องราวมส่วนตัวของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 2 แสนคน ได้ปิดตัวลง เช่นเดียวกับอินสตาแกรมส่วนตัว ที่ปิดตัวลงเช่นกัน หรือเพจของหน่วยงาน “สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง” กองบัญชาการที่ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ เป็นผู้นำหน่วย ในแอคเคาท์ที่ โปรโมตนำเสนอผลงานในยุคที่ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์เป็นผู้บัญชาการ ก็ปิดตัวไปพร้อมกัน โดยไม่ระบุสาเหตุ

นอกจากนี้ เพจเฟซบุ๊ก ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) หรือTICTAC ที่มี พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ เป็นรองผู้อำนวยการฯ แต่เป็นผู้ที่แสดงบทบาทมากที่สุด แม้ไม่ปิดตัวเช่นเพจอื่นๆ แต่ก็มีความเคลื่อนไหว โดยเมื่อช่วงเย็นวันที่ 6 เมษายนที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนภาพปกจากเดิมเป็นภาพ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ประกอบกราฟิก เป็นภาพกราฟิกหน่วยงานเท่านั้น ขณะที่ในเว็บไซต์วิกิพิเดีย สารานุกรมเสรี ได้ลบข้อมูลของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ออกไปเช่นกัน ก่อนจะมีความชัดเจนว่ามีคำสั่งเด้ง พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ไปศปก.ตร. เผยแพร่ในช่วงเย็นวันที่ 6 เมษายน

นับจากปรากฏเป็นข่าว ไม่มีใครได้เห็นหน้าค่าตาของ “บิ๊กโจ๊ก” จะใช้คำว่า “หายเงียบเข้ากลีบเมฆ” ก็คงจะว่าได้ กระทั่งมีรายงานเข้ามาในเวลาต่อมาว่า หลังถูก “บิ๊กแป๊ะ” เซ็นเด้ง ในช่วงค่ำของวันที่ 5 เมษายน พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ได้เข้ารายงานตัวที่ ศปก.ตร. แต่ไม่มีภาพให้เห็น มีแต่เพียงข้อมูลว่า เมื่อวันเสาร์ที่ 6 เมษายน “ลูกน้อง” ของ “บิ๊กโจ๊ก” ได้เข้าไปยังสำนักงานผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองที่ซอยสวนพลูเพื่อเก็บสิ่งของของ “บิ๊กโจ๊ก” ออกมา กระทั่งวันที่ 9 เมษายนมีรายงานข่าวแจ้งว่าในกรุ๊ปไลน์ของข้าราชการตำรวจและโซเชียลมีเดียมีการแชร์ภาพของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาลขณะพูดคุยโทรศัพท์ ในระหว่างการประชุมศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) โดย พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(รองผบ.ตร.) เป็นประธานในการประชุม วิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์กับตำรวจทั่วประเทศ โดยพล.ต.ท.สุรเชษฐ์ นั่งอยู่ฝั่งด้านซ้าย หลังห้องประชุม และมีรายงานว่าภายหลังการประชุม พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ได้เดินทางออกจาก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไปทันที

นอกจากนี้ ในวันเดียวกันกับที่ พล.อ.ประยุทธ์ใช้ ม.44 เด้งเข้ากรุที่สำนักนายกรัฐมนตรี พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ก็ได้เดินทางมายังทำเนียบรัฐบาล เข้าพบนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลงานสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อเข้ารายงานตัว และรับทราบภารกิจหน้าที่ในตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยใช้เวลาเข้าพบเพียง 10 นาที “บิ๊กโจ๊ก” เดินทางมาโดยแต่งกายในชุดธรรมดา ไม่ได้สวมเครื่องแบบ และมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีอาการเคร่งเครียดแต่อย่างใด...

อย่างไรก็ดี เมื่อประเมินสถานการณ์จากข้อเท็จจริงที่มีความเป็นไปได้ที่สุด ก็ต้องสันนิษฐานได้ว่า น่าจะมีผลมาจาก “เรื่องเก่า” ที่เคยสร้างชื่อให้ “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ” เจิดจรัสในวงการตำรวจมากที่สุด นั่นก็คือ “การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ” เพราะเป็นที่รับรู้กันว่านายพลคนดังมีส่วนสำคัญใน “บัญชีโยกย้าย” ทุกระดับ จนได้รับฉายา “ผบ.ตร.น้อย” กันเลยทีเดียว

หากยังจำกันได้ มีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวเข้ามาเป็นระยะๆ

กล่าวสำหรับเส้นทางชีวิตการรับราชการของ “บิ๊กโจ๊ก” นั้น ต้องถือได้ว่า เป็นผู้มากบารมี โดยเฉพาะในยุครัฐบาล คสช.ที่เจิดจรัสเป็นพิเศษ เพราะเขาคือ “น้องรัก” ของ “พี่ใหญ่” และใช้เวลาเพียง 20 ปี จาก “ร.ต.ต.” ก้าวขึ้นสู่ยศ “พล.ต.ท.” ถือเป็น นรต.รุ่น 47 ที่ติดยศ นายพล คนแรก แถมยังเป็นที่คาดหมายว่า มีโอกาสที่จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดขององค์กรสีกากี

ตำแหน่งสำคัญตำแหน่งแรกของ “บิ๊กโจ๊ก” ก็คือผู้บังคับการประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ก่อนขยับขึ้นเป็นผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว (ผบก.ทท.) ผู้บังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ (ผบก.สปพ.) และก้าวกระโดดขึ้น รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว (รอง ผบช.ทท.) ก่อนที่จะรั้งเก้าอี้ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ผบช.สตม.)
     
นอกจาก ผบช.สตม.แล้ว “บิ๊กโจ๊ก” ยังได้รับมอบหมายให้เป็นรองผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) อีกด้วย

ไม่เพียงแค่นี้ “บิ๊กโจ๊ก” ยังได้รับความไว้วางใจโดยได้รับการแต่งตั้งให้เป็น “กรรมการ” ของ “รัฐวิสาหกิจ” ถึง 3 แห่งด้วยกันคือ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด การทางพิเศษแห่งประเทศไทย 2 รัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงคมนาคม และบริษัท รักษาความปลอดภัย กรุงไทยธุรกิจบริการ จำกัด  บริษัทในเครือของแบงก์กรุงไทยซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงการคลัง

เรียกว่า “บิ๊กโจ๊ก” เติบโตมาแบบ “ขี่พายุทะลุฟ้า” ก่อนที่จะถูกฟ้าผ่าเปรี้ยงเด้งตกจากเก้าอี้ไปแบบแทบจะหมดสิ้นอนาคต

อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องจับตามองต่อไปก็คือ หลังจากนี้จะมี “อาฟเตอร์ช็อก” ตามมาหรือไม่ และจะขยายวง “โป๊ะแตก” ไปมากน้อยแค่ไหนอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องที่อาจส่งผลทำให้ “ขั้วอำนาจ”ของประเทศ มีการพลิกผันครั้งสำคัญ ส่วนจะถึงขั้น “ล้างขั้ว” หรืออาจทำให้ “ใครบางคน” ไม่ได้ “ไปต่อ” ในรัฐบาลหน้าหรือไม่ ไม่อาจทราบได้

รู้เพียงแค่ว่า น่าจะทำให้นอนไม่หลับกระสับกระส่ายไปอีกนานจนกว่าจะมีความชัดเจนออกมา ด้วยไม่อาจรู้ได้ว่า มี “ข้อมูลสำคัญ” ที่จะโยงใยกลายเป็นภัยมาถึงตนเองหรือไม่

งานนี้ บอกตรงๆว่า เปรี้ยงเดียวทำเอาเสียวถึงลำไส้กันเลยครับพ่อแม่พี่น้อง เพราะต่อให้อม “พระประธาน” มาสาบาน ก็ไม่มีใครเชื่อว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้น “บิ๊กโจ๊กทำตามลำพังเพียงคนเดียว” อย่างแน่นอน

ดังนั้น....โปรดอย่ากระพริบตา.


กำลังโหลดความคิดเห็น