xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ซ้ายจัด “ดัดจริต”!? เบื้องลึกเกมอำมหิตเปลี่ยนประเทศไทย???

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เรียกว่า “เดือดแล้วเดือดอีก” กันเลยทีเดียว สำหรับท่าทีของ “บิ๊กแดง-พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์” ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) ที่ออกมาเปิดศึกด้วยวาทกรรม “ซ้ายจัดดัดจริต” แบบตาต่อตาฟันต่อฟัน ทำเอาอุณหภูมิการเมืองไทยร้อนฉ่าและส่อเค้าว่า อาจจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้ตลอดเวลา

ทั้งนี้ หากจับปฏิกิริยาและวาทกรรมของ “แม่ทัพแดง” ก็ย่อมต้องฟันธงได้ว่าต้องมีอะไรที่หนักหนาสาหัสไม่น้อย ไม่เช่นนั้นคงไม่ต้องออกแรงหรือเปลืองตัวขนาดนี้ และเป้าหมายที่ ผบ.ทบ.เอ่ยถึงก็มีความชัดเจนในตัวเองว่าคือบรรดา “ซ้ายตกขอบ” ที่กำลังเคลื่อนเกมเปลี่ยนประเทศไทยหลังการเลือกตั้งเสร็จสิ้นลง อันทำให้สถานการณ์ทางเมืองของไทย ณ ห้วงเวลานี้ จึงตกอยู่ภาวะ “ไต่เส้นลวด” แถมยังเป็นเส้นลวดที่ตึงเปรี๊ยะและพร้อมที่จะขาดผึงได้ตลอดเวลา

โดยเฉพาะฝ่ายที่กำลังฮึกเฮิมด้วยคะแนนเสียงของ “คนรุ่นใหม่” ที่ต้องการเปลี่ยนประเทศ ซึ่งส่งผลให้เกิด “ความขัดแย้งครั้งใหม่” ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย และสุ่มเสี่ยงที่จะจบลงด้วย “ความรุนแรง” ไม่แพ้เมื่อครั้งที่เคยเกิดขึ้นในอดีตเลยก็ว่าได้

แน่นอน “ตัวละครการเมือง” คนสำคัญเที่ยวนี้ก็คือ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่และ “ปิยบุตร แสงกนกกุล” เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งได้กลายเป็น “ศูนย์กลางของอำนาจใหม่” ที่ทรงพลังเฉกเช่นเดียวกับ “ทักษิณ ชินวัตร” พร้อมวาทกรรม “โกงเลือกตั้ง” ที่ถูกผลิตออกมาผ่านโลกโซเชียลอย่างเป็นระบบ เพื่อตอกย้ำให้เห็นถึงความอยุติธรรมและการถูกรังแกจากผู้มีอำนาจ

ธนาธร-ปิยบุตร” คงไม่ได้มี “ดีลลับ” อะไรกับนายทักษิณแม้จะไปจับมือลงสัตยาบันร่วมกับพรรคเพื่อไทยในการต่อต้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ทว่า ภูมิหลังของพวกเขาได้ทำให้ “ฝ่ายต่อต้านการสืบทอดอำนาจของทักษิณ” ไม่อาจวางใจได้ ไม่ว่าจะเป็นนายธนาธร ที่เคยให้ทุนทำนิตยสารฟ้าเดียวกัน ซึ่งผู้คนรับรู้กันดีว่า เป็นหนังสือแนวไหน หรือเคยเข้าร่วมการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ขณะที่นายปิยบุตร อดีตก็คือหนึ่งในสมาชิกคณะนิติราษฎร ที่มีธงในการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

ที่สำคัญคือ แม้ “คนรุ่นใหม่” จะเทคะแนนเสียงให้เขาไม่น้อย แต่ก็ยอมรับเช่นกันว่า คะแนนของพรรคอนาคตใหม่จำนวนมากก็เป็นผลมาจากการเทให้ของพรรคไทยรักษาชาติ(ทษช.) ที่ถูกยุบไป รวมถึงจากพรรคเพื่อไทย ในจังหวัดที่ไม่ได้ส่ง ส.ส.ลงสมัครในระบบเขต

นี่นับเป็นความเชื่อมโยงกันที่สังคมสัมผัสได้

เพราะฉะนั้น จงอย่าแปลกใจที่จะเกิดอาฟเตอร์ช็อกจากปรากฎการณ์ “อนาคตใหม่ ไฟแรงเฟร่อ”
ที่ “เสี่ยเอก” นำพาลูกหาบแปะป้าย “ว่าที่ ส.ส.” ได้กว่า 80 ชีวิต ด้วยคะแนนเสียงทั่วประเทศมากกว่า 6.2 ล้านเสียง

พลันที่ฝุ่นควันหาเสียงเลือกตั้งจางลง เรื่องเก่าๆ บาดแผลในอดีต ก็ตามมาหลอกหลอน ทั้ง “เสี่ยเอก” และคีย์แมนสำคัญอย่าง “อาจารย์ป๊อก-ปิยบุตร” เลขาธิการพรรค ทันที

โดย “เสี่ยเอก” ทายาทธุรกิจหลายหมื่นล้าน และอดีตรองประธานกรรมการบริหารเครือไทยซัมมิท ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ชั้นนำของประเทศไทย ต้องปวดหัวกับทรัพย์สินมูลค่าหาศาลของตัวเองที่รุงรังจนอาจส่งผลให้ “เสี่ยเอก” ต้องตกม้าตาย ไม่ได้เข้าสภาผู้แทนราษฎร อีกทั้งยังมีโทษจำคุก และถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองยาวถึง 20 ปีเลยทีเดียว

นั่นคือ กรณีการโอนหุ้น “บริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด” ของ “ธนาธร” และภรรยาไปให้กับ สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ มาดามใหญ่แห่งเครือซัมมิท และแม่ของธนาธรเอง เป็นกรณีที่ “สำนักข่าวอิศรา” ขุดคุ้ยขึ้นมาแล้วเกาะติดแบบกัดไม่ปล่อย

เปิดหัวด้วยสกู๊ปที่ระบุว่า “ธนาธร-เมีย” โอนหุ้น “วี-ลัค มีเดีย” จำนวน 9 แสนหุ้นให้ “สมพร” ก่อนเลือกตั้งเพียง 3 วัน ก่อนที่จะถูก ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้วินิจฉัยคุณสมบัติของหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ทันที

ย้ำว่าปัญหาของหุ้นวี-ลัคไม่ใช่มูลค่าที่ไม่มากไม่มายแค่ 9 ล้านบาท จากราคาหุ้นละ 10 บาท ที่ย่อมไม่ส่งผลให้เสี่ยหมื่นล้านอย่าง “ธนาธร” รวยขึ้นหรือจนลง หากแต่ “บริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด” จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อปี 2551 ระบุว่าประกอบธุรกิจ “สื่อนิตยสาร”

อันอาจส่งผลให้ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ขาดคุณสมบัติการเป็นผู้สมัคร ส.ส. หากพิสูจน์ได้ว่ามีการโอนหุ้นให้กันหลังวันสมัคร ส.ส. เป็นไปตามที่มาตรา 98 แห่งรัฐธรรมนูญ 2560 ระบุว่า “บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (3) เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ” ซึ่งถูกยกมาไว้ใน มาตรา 42 (3) ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ฯ ด้วย

พูดง่ายๆ จะเป็น ส.ส. นักการเมือง รัฐมนตรี อะไรก็แล้วแต่ ห้ามมีหุ้นในสื่อไม่ว่าประเภทใดนั่นเอง

ไม่ใช่แค่ “ธนาธร” ที่ถูกเพ่งเล็งในกรณีนี้ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.หลายร้อยชีวิตที่ถูก กกต.ตัดสิทธิ์ไปก่อนถึงวันหย่อนบัตร ก็มีหลายรายที่ถูกถอนชื่อออก เพราะมีหุ้นในบริษัทที่ยื่นวัตถุประสงค์การดำเนินธุรกิจด้านสื่อสารมวลชน แม้จะไม่เคยประกอบกิจการสื่อจริงก็ตาม

นับแต่นั้นมา ทั้งสำนักข่าวอิศรา-นักวิชาการ-นักกฎหมาย ต่างแสดงความคิดเห็นกรณีนี้ของ “เสี่ยเอก” กันอย่างกว้างขวาง ทุกเสียงระบุตรงกัน
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และปิยบุตร แสงกนกกุล สองคู่หูแห่งพรรคอนาคตใหม่
แค่ข้ามวัน “ธนาธร” สั่งเปิดแถลงข่าวเป็นการด่วน และนำสื่อมวลชนเดินชมสำนักงานของ “วี-ลัคมีเดีย” ที่ตั้งอยู่บนตึกไทยซัมมิท ซึ่งเป็นที่เดียวกับที่ทำการพรรคอนาคตใหม่ เพื่อยืนยันว่า บ.วี-ลัคมีเดีย มิได้ดำเนินกิจการใดๆ แล้ว และกำลังอยู่ระหว่างการรอขั้นตอนปิดกิจการ พร้อมยืนยันว่าส่วนตัวก็ได้โอนขายหุ้นให้มารดาไปตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม 2562 ก่อนวันสมัครรับเลือกตั้ง แต่ทางบริษัทอาจแจ้งต่อนายทะเบียนฯหลังวันสมัคร หรือวันที่ 21 มีนาคม 2562 ตามที่สำนักข่าวอิศราฯระบุ

ความยังไม่จบเมื่อสำนักข่าวอิศราคุ้ยต่อว่า “บ.วี-ลัคมีเดีย” แจ้งต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทฯเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2562 ว่า เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2562 ได้มีการประชุมกรรมการและผู้ถือหุ้น โดยมีกรรมการและผู้ถือหุ้นเข้าร่วมประชุม 10 คน ซึ่งเป็นจำนวนเท่าผู้ถือหุ้นเดิม จนมีความเป็นไปได้ว่า “ธนาธร- ภรรยา” ได้เข้าประชุมด้วย

ถ้าเป็นดังที่ “อิศรา” รายงานก็เท่ากับ “โป๊ะแตก” แสดงว่าวันที่ 19 มีนาคม 2562 นั้น “ธนาธร - ภรรยา” ยังมีสถานะเป็นผู้ถือหุ้นและกรรมการบริษัทอยู่

เมื่อถูกรุกไล่ใกล้จนกระดาน “ธนาธร” ก็เลือกใช้พื้นที่เฟซบุ๊กออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2562 โดยย้ำคำเดิมว่าธุรกรรมการโอนหุ้น “วี-ลัคมีเดีย” ให้กับ “สมพร” มารดา นั้นจบตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม 2562 จากนั้น “สมพร” ได้โอนหุ้นส่วนนี้ให้แก่ “หลานชาย 2 คน” ที่ถูกกล่าวถึงในแถลงการณ์ว่า “คุณเอ-คุณบี” เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2562 ส่งผลให้ผู้ถือหุ้นคงเหลือ 10 คนตามเดิม

การปรากฏชื่อ “หลานชาย 2 คน” ก็ถูกตั้งข้อสังเกตว่า เป็นตัวละครที่ถูกอุปโลกน์ขึ้นในภายหลังหรือไม่ ซึ่งน้ำหนักยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อ “ธนาธร” บอกด้วยว่า วันที่ 21 มีนาคม 2562 หรือหลังประชุมผู้ถือหุ้นเพียง 2 วัน “คุณเอ-คุณบี” ก็โอนหุ้นกลับให้ “สมพร” ตามเดิม

หนีไม่พ้นถูกตั้งคำถามว่า “โอนไป-โอนกลับ” ให้เสียค่าอากรแสตมป์เล่นๆ ทั้งที่บริษัทก็กำลังปิดกิจการ อาจเข้าข่าย “ธุรกรรมอำพราง” หรือไม่ด้วย

เมื่อนำเรื่องนี้ไปสอบถาม “ธนาธร” ก็ได้รับคำถามตอบเพียงว่า ตนไม่อาจไปล่วงรู้ถึงเหตุผลของการโอนหุ้นไปๆ มาๆ ของ “สมพร” ผู้เป็นมารดาได้

แต่สิ่งหนึ่งที่ “ธนาธร” ยืนยันได้คือวันที่ 19 มีนาคม 2562 นั้น “ธนาธร” ติดภารกิจหาเสียงอยู่ที่ จ.ภูเก็ต ไม่สามารถเข้าร่วมการประชุมของ บ.วี-ลัคมีเดีย ได้อย่างแน่นอน

ด้วยตรรกะเดียวกัน “สำนักข่าวอิศรา” จึงตั้งคำถามว่า เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2562 ก็ปรากฏข่าวโดยทั่วไปว่า “ธนาธร” ติดภาคกิจหาเสียงอยู่ที่ จ.บุรีรัมย์ เช่นกัน หากเป็นเช่นนั้นแล้ว จะสามารถทำธุรกรรมโอนหุ้นให้ “สมพร” ได้อย่างไร

ตรงจุดนี้ถือเป็นคำถามที่ยังไร้คำตอบ หากแต่พิจารณาตาม “เส้นเรื่อง” ที่ “ธนาธร” เล่าก็พอกล้อมแกล้มไปได้ว่า มีการทำธุรกรรมโอนหุ้นสื่อจาก “ธนาธร-ภรรยา” ไปก่อนวันรับสมัคร ส.ส.แล้ว อยู่ที่ว่าจะมีหลักฐานมัดแน่นหรือไม่ว่า เป็นการทำธุรกรรมหลังวันสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.จริง ก็น่าห่วงแทนตัว “ธนาธร” ไม่น้อย

แล้วยังมีข้อสังเกตจาก คำนูณ สิทธิสมาน อดีต ส.ว.ที่น่าสนใจด้วยว่า หากนำ “ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1129 วรรค 3” ที่ว่า “การโอนเช่นนี้จะนำมาใช้แก่บริษัทหรือบุคคลภายนอกไม่ได้จนกว่าจะได้จดแจ้งการโอนทั้งชื่อและสำนักของผู้รับโอนนั้นลงในทะเบียนผู้ถือหุ้น”

ก็จะเท่ากับว่ากรณีการพิจารณาของ กกต.ที่เป็น “คนนอก” นั้น การแจ้งเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นของบริษัทคงไม่เพียงพอ จำเป็นต้องแจ้งต่อนายทะเบียนฯที่กระทรวงพาณิชย์ เพื่อเป็นหลักฐานอย่างเป็นทางการด้วย

“เอกสารโอนหุ้นทำกันโดยลงวันที่ใดก็ได้ คนภายนอกจะรู้ได้อย่างไรว่าโอนจริงตามวันที่ในเอกสารหรือทำขึ้นย้อนหลัง โดยเฉพาะในกรณีนี้ที่ “คนภายนอก” เป็น “กกต.” ที่ทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญที่จะสกรีนบุคคลที่มีลักษณะต้องห้ามออกไปจากการอาสามาเป็นผู้แทนประชาชน กกต.จะรู้ได้อย่างไรว่าหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ยังถือหุ้นปัญหาอยู่หรือไม่ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2562 เพราะเอกสารที่ทางราชการรับทราบการโอนหุ้นของเขาเป็นครั้งแรกคือวันที่ 21 มีนาคม 2562” คือข้อสังเกตที่ “คำนูณ” ทิ้งท้ายไว้

กรณีการโอนหุ้นแต่งตัวเข้าการเมืองของ “ธนาธร” นั้น ทำให้ใครหลายคนนึกย้อนไปถึง “คดีซุกหุ้น” เมื่อครั้ง ทักษิณ ชินวัตร นำพรรคไทยรักไทย สร้างปรากฎการณ์ชนะเลือกตั้ง เมื่อปี 2544 ที่ “ทักษิณ” ก็มองว่าเป็นการถูกจ้องเล่นงาน ก่อนรอดตัวหลังมติ ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่า ไม่มีเจตนาปกปิดซุกหุ้น อย่างหวุดหวิด

ก่อนนำมาซึ่งวลีอมตะ “บกพร่องโดยสุจริต”

แม้ผ่านมานานหลายปีแล้ว แต่ “ทักษิณ” ก็ยังไม่เคยตอบได้ว่า เหตุใด “ครอบครัวชินวัตร” ถึงนำหุ้นมูลค่ารวมกันกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท ใส่ไว้ในชื่อ “คนขับรถ-คนรับใช้” ที่อาจจะเป็น “เดจาวู” ในกรณี “คุณเอ- คุณบี” หลานชาย 2 คนของตระกูลจึงรุ่งเรืองกิจ ที่ท้ายที่สุดอาจมีวลีประเภท “บกพร่องโดยสุจริต” ออกมาก็เป็นได้

นอกจากคดีดังกล่าวแล้ว “ธนาธร” ยังได้รับหมายเรียกจากพนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน เพื่อไปรายงานตัวในความผิดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 116 ที่ว่าด้วย “ภัยต่อความมั่นคงของประเทศ”
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เดินสายขอบคุณคนเลือกพรรคอนาคตใหม่แทบจะทุกวัน
มีรายงานว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2558 โดยขณะนั้นได้มีกลุ่มผู้ชุมนุมนำโดย รังสิมันต์ โรม แกนนำนักศึกษาสมัยนั้น ที่วันนี้มีสถานะเป็น ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคอนาคตใหม่ และพวกในนาม “คนอยากเลือกตั้ง” ชุมนุมทำกิจกรรมหน้าหอศิลปวัฒนธรรม กทม. ก่อนมาชุมนุมปิดล้อม สน.ปทุมวัน หลังการชุมนุมยุติทางตำรวจและทหารได้ออกติดตามเพื่อจับกุมบุคคลที่มีหมายจับ ซึ่งขณะที่ตำรวจและทหารจะเข้าไปจับ “รังสิมันต์” ปรากฏว่าไหวตัวทันและวิ่งหลบหนีไป จากนั้นได้มีรถตู้มารับ “รังสิมันต์” และพวกหลบหนีไป

เมื่อตรวจสอบพบว่ารถคันดังกล่าวเป็นของ “สมพร” แม่ของธนาธร โดยมี “ธนาธร” อยู่ในรถคันดังกล่าวด้วย รวมทั้งมีรายงานว่าในวันเกิดเหตุ “ธนาธร” สังเกตการณ์อยู่นบริเวณใกล้เคียงกัน

พูดง่ายๆที่พนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน ต้องออกหมายเรียก เพราะ “ธนาธร” พาผู้ต้องหาหลบหนี แล้วเป็นหมายเรียกที่ทำโดยเปิดเผย หาใช่ “อำนาจมืด” ที่ถูกกล่าวอ้างถึงใดๆ

หลังได้รับหมาย “พ่อของฟ้า” ก็ใช้พื้นที่โซเชียลฯโพสต์ฟ้องสาวกทันทีว่า ถูก “อำนาจมืด” คุกคาม ไม่ต่างจาก “ทักษิณ” ที่มักบ่นพึบมถึง “มือที่มองไม่เห็น - สองมาตรฐาน” ในเวลาที่ต้องคดีอยู่บ่อยๆ

หนักข้อไปกว่านั้น “ธนาธร” ยังขู่ฟ่อด้วยว่า “...ผมเชื่อมั่นว่ามีประชาชนหลายล้านคนที่รักความเป็นธรรม ยืนเคียงข้างผมและพร้อมจะแสดงออกว่าพวกเขาไม่ยอมทนกับอำนาจมืดที่จ้องทำลายอนาคตใหม่ แล้วพบกันครับ”

ประกาศว่ามีคนหนุนหลังเป็นล้านๆ คน ไม่ต่างจากที่ “ทักษิณ” เคยกล่าวอ้างเอาหลังพิง “สาวก” ในลักษณะเดียวมาก่อนในเวลาที่ภัยมาถึงตัว

ไม่ใช่แค่ “ธนาธร” หัวหน้าพรรคเท่านั้น “ปิยบุตร” หรือ “อาจารย์บูด” ของฝ่ายตรงข้าม ก็ไม่น้อยหน้า เมื่อในเวลาไล่เลี่ยกันถูกหมายเรียกจาก กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ (ปอท.) ในฐานะพยาน กรณีแถลงการณ์ของพรรคอนาคตใหม่กรณียุบพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) ซึ่ง “ปิยบุตร” เป็นผู้อ่านในงานแถลงข่าวเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2562

“หลังการเลือกตั้ง พรรคอนาคตใหม่ได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชน 6.2 ล้านเสียง เราเรียกร้องให้ กกต.เปิดคะแนนรายหน่วย แต่ทำไปทำมา ช่วงนี้เรากลับได้ของสะสมที่ระลึกเป็นหมายเรียกแทน” เป็นคำพูดของ “ปิยุบตร” หลังได้รับหมาย ซึ่ง “พี่น้องประชาชน 6.2 ล้านเสียง” ก็ถูกนำมาอ้างอีกครั้ง

คล้ายกับว่า ต้องการปลุกม็อบเพื่อมาปกป้องตนเองด้วยมั่นอกมั่นใจมวลชนที่มีอยู่ในมืออย่างไรอย่างนั้น

แต่นั่นก็เป็นเรื่องเด็กๆไปเลย เมื่อเทียบกับกระแสถล่ม “อาจารย์ป๊อก” อดีตอาจารย์กลุ่มนิติราษฎร์ ผู้ถูกแปะ “เครื่องหมายคำถาม” ไว้กลางหน้าผากเกี่ยวกับทัศนคติต่อ “สถาบัน” ที่เคยแสดงความคิดเห็นหลายกรรมหลายวาระ เมื่อครั้งอยู่ในคราบ “นักวิชาการ”

หลังผันตัวสู่ถนนสายการเมืองร่วมกับ “ธนาธร” ทั้งคู่ก็ถูกตั้งคำถามเรื่องนี้หลายครั้ง มีการขุดคุ้ยพฤติกรรมความเกี่ยวพันกับ “ขบวนการล้มล้างสถาบัน” อยู่เนืองๆ แต่ดูเหมือน “คู่หูอนาคตใหม่” เลือกที่จะ “หูทวนลม” ไม่ออกมาตอบโต้วิวาทะเรื่องมิบังควรตลอดฤดูกาลหาเสียง

แต่หลังปิดคูหา ผลการเลือกตั้งของพรรคอนาคตใหม่ ออกมาอย่างพลิกความคาดหมาย เป็นจังหวะเดียวกับที่คลิปบรรยายของ “ปิยุบตร” ที่กล่าวก้าวล่วงถึง “สถาบัน” ถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวาง

โดยครั้งที่ถูกโจษขานมากที่สุด คือ งานเสวนาเรื่อง การเมืองความยุติธรรม สถาบันกษัตริย์ เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2556 ที่บางช่วงบางตอนมีการยกคำกล่าวของ “นักปฏิวัติชาวฝรั่งเศส” ที่วิพากษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ของประเทศฝรั่งเศสในอดีตไว้อย่างหมิ่นเหม่-ล่อแหลม ทำคนไทยฟังแล้ว “ใจคอไม่ดี”

คลิปที่ว่าเป็นประเด็นมากขึ้น หลังศิลปินดัง “อุ๊-หฤทัย ม่วงบุญศรี” ได้วิจารณ์ตัว “ปิยุบตร” อย่างรุนแรงว่า “...การยกคำอ้างของนักปฏิวัติฝรั่งเศสที่โค่นล้มระบอบกษัตริย์ ที่บอกว่ากษัตริย์นั้นไม่ต้องไปสนใจ จะเป็นคนดีหรือคนเลว เพราะกษัตริย์คือทรราชด้วยตัวของมันเอง คำพูดแบบนี้คุณเป็นอาจารย์ คุณสอนนิสิต นักศึกษา ลูกหลานของคนไทยได้อย่างไร ... ถ้าอาจารย์ปิยบุตร ตลอดระยะเวลาที่มีการเสวนาถึงสถาบันที่มีความล่อแหลม หมิ่นเหม่ กระทบกระเทือน สั่นคลอน สถาบันหลักของชาติ ชาติก็คือชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ คุณจะเป็นคนรุ่นใหม่ คนทำงานเต็มที่ คุณทำดีมันจะดีมากต่อแผ่นดินไทยที่คุณกำเนิด แต่ขอให้เรามีความสงบสุข สันติ ระบอบประชาธิปไตยของไทยคือพระมหากษัตริย์เป็นผู้มอบให้กับปวงชนชาวไทย ไม่ใช่ประชาธิปไตยอนุญาตให้มีระบอบกษัตริย์ นี่เป็นสิ่งที่คุณปิยบุตรสอนผิดๆในตำราเรียน"

ก่อนมีการนำเรื่องดังกล่าวไปแจ้งความดำเนินคดีกับ “ปิยุบตร” ในเวลาต่อมา เช่นเดียวกับกลุ่มภาคประชาชนในนาม “กลุ่มคนไทยหัวใจตรงกันที่รักและเคารพในสถาบัน” ก็ได้เข้ายื่นหนังสือถึง “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ผบช.สตม.) ในฐานะรองผู้อำนายศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) เพื่อเรียกร้องให้ตรวจสอบพฤติกรรมของ “ปิยบุตร” เช่นกัน

ยิ่งถ้าตรวจสอบย้อนหลังไป ก็ต้องบอกว่าพฤติกรรมของ “ปิยบุตร” น่าเป็นห่วงจริงๆ ไม่ว่าการตั้งคำถามบนเวทีเสวนาแห่งหนึ่งว่า ประเทศไทยยังเป็นการปกครองระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ หรือ Absolute Monachy ใช่หรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนั้น ตัวเองจะหนีไปอยู่อื่น รวมทั้งตั้งข้อสังเกตว่าประเทศไทยไม่ควรใช้ระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ต้องเปลี่ยนเป็น ประชาธิปไตยที่อนุญาตให้พระมหากษัตริย์เป็นประมุข มากกว่า

รวมทั้งยังเคยถูกตั้งข้อหา “ชังชาติ” เมื่อโพสต์ผ่านเฟซบุ๊กเหมือนต้องการย้ายไปอาศัยในประเทศอื่น เพียงเพราะ “ภรรยาชาวฝรั่งเศส” ติดค้างกระบวนการตรวจคนเข้าเมืองที่สนามบินดอนเมืองเป็นเวลาหลายชั่วโมง

นอกจากนี้ “ปิยบุตร” ยังเคยร่วมกับเพื่อนนักวิชาการและประชาชนในชื่อ “คณะรณรงค์แก้ไข ม.112” ผลักดันให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 112 เมื่อต้นปี 2555 โดยอ้างว่า การเสนอให้แก้ไขมาตรา 112 ตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักการประชาธิปไตย และหลักนิติรัฐ และชัดเจนขึ้น เป็นต้น

เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2562 “ปิยบุตร” ได้มีตอบคำถามสื่อมวลชนและโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเกี่ยวกับกรณี “อุ๊-หฤทัย” โดยอ้างว่า คลิปที่มีการเผยแพร่เป็นคลิปเก่าเมื่อปี 2556 คลิปนั้นเป็นการเสวนาด้านวิชาการ การปรับตัวของพระมหากษัตริย์ต่อการเปลี่ยนแปลง ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับประเทศไทย และขอความเป็นธรรม เพราะคลิปที่เผยแพร่เป็นการตัดต่อนำมาแค่บางช่วง บางข้อความเท่านั้น

โดยมีข้อหนึ่งที่ระบุว่า “...ตลอดระยะเวลา 14 ปีที่ผ่านมา มีขบวนการใส่ร้ายป้ายสี กล่าวหาโจมตีโดยใช้ข้อหา “ไม่จงรักภักดี” หรือ “ล้มเจ้า” จนนำมาซึ่งความเกลียดชังกันเองในหมู่ประชาชน ทำให้สังคมแตกแยก จนเผด็จการทหารฉวยโอกาสเข้ายึดและครองอำนาจมาอย่างยาวนาน การเมืองไทยติดขัดอยู่ในความขัดแย้ง สังคมไทยถูกแบ่งขั้วอย่างร้าวลึกจนประชาชนไม่อาจหาฉันทามติในการอยู่ร่วมกันได้ การนำสถาบันกษัตริย์มาใช้โจมตีกันทางการเมืองของคนเหล่านี้ ไม่เพียงแต่สร้างความแตกแยกในสังคมแล้ว ยังไม่เป็นคุณต่อสถาบันกษัตริย์ด้วย...”

คล้ายเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม แต่บางช่วงบางตอน “อาจารย์ป๊อก” ดันกล่าวเลยเถิดไปว่า “...ทำให้สังคมแตกแยก จนเผด็จการทหารฉวยโอกาสเข้ายึดและครองอำนาจมาอย่างยาวนาน” เป็นเหตุให้ “บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ออกมาตอบโต้อย่างรุนแรง

“นิสิต นักศึกษา ครู อาจารย์ ที่ไปเรียนต่างประเทศ บางท่านได้ทุนราชการ ทุนจากในวัง ท่านเรียนระบอบประชาธิปไตยที่ใดไม่ว่า แต่ระบอบประชาธิปไตยในโลกนี้เขามีวัฒนธรรมของตัวเองแตกต่างกัน เมื่อเราไปเรียนก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับประเทศอื่นๆ ย้อนถาม คสช. เป็นเผด็จการจริงหรือ ไม่อยากจะยกตัวอย่างประเทศอื่นที่เขาเผด็จการจริงๆ นี่คือวัฒนธรรมระบอบประชาธิปไตยแบบไทยๆ ... นำความรู้ระบอบประชาธิปไตยของเขามาต้องดูด้วย ไม่ใช่พยายามเปลี่ยนแปลงระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อย่าเอาซ้ายจัดมาแล้วดัดจริต นี่คือแผ่นดินที่บรรพบุรุษเสียเลือดเนื้อ โดยขอฝากให้รักกันและหยุดวาทกรรมการเมือง ในเมื่อกรรมการตัดสินแล้วขอให้อยู่เกมใครเกมมัน เป็นไปตามครรลอง ล้างแค้นกันไปมาก็ไม่มีวันจบ…”
สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ เมื่อครั้งไปช่วย “ลูกชาย”หาเสียง
ข้อหา “ซ้ายจัดดัดจริต” ถือว่ากระแทกเต็มๆ กลับมาที่ “อาจารย์ป๊อก” ผู้จบการศึกษาปริญญาโท-ปริญญาเอก จากประเทศฝรั่งเศส อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เจ้าตัวก็ยังเลี่ยงที่จะรับว่า คนที่ถูก “ผบ.แดง” ระบุถึงคือตัวเอง แต่ก็รับนัดไปสัมภาษณ์พิเศษรายการดังที่ช่องอัมรินทร์ทีวี แก้ต่างข้อหา “ล้มล้างสถาบัน” เป็นคุ้งเป็นแคว ฟังเพลินๆ ก็พอตอบคำถามได้เกือบทุกประเด็น โดยใช้ข้ออ้างว่าเป็น “ความเห็นทางวิชาการในอดีต”

ย้อนไปไม่นานอดีตแม่ยกพรรคอนาคตใหม่ ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการเสื้อแดง ผู้หนีคดีประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่ลี้ภัยอยู่ในต่างประเทศก็โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Pavin Chachavalpongpun ถึงวลี “ซ้ายจัดดัดจริต” ไว้ว่า “...อยากรู้ไหมคะว่าลับหลัง ปิยบุตรพูดกับดิชั้นถึงเรื่อง..ว่ายังไงบ้าง? ซ้ายจัดดัดจริตติดขอบเลยคร่า”

แน่นอน ทุกอย่างอาจเป็น “ความเห็นทางวิชาการในอดีต” ไม่ใช่ใน “ปัจจุบัน” ถ้าทั้ง 2 คนรุ่นใหม่ไฟแรงเฟร่อค่อยๆ สร้างผลงานในการเป็น “นักการเมือง” ให้เป็นที่ประจักษ์แบบค่อยเป็นค่อยไป พร้อมสะสมแต้มต่อจากความผิดพลาดของรัฐบาลทหารไปเรื่อยๆ ไม่ใช่พยายามเชื่อมโยงเรื่องส่วนตัวเข้ากับเรื่องของพรรค และทำท่าว่าจะปลุกม็อบขึ้นมาเพื่อปกป้องตนเองอย่างไรอย่างนั้น

ทั้ง 2 คนรอไม่ได้เช่นนั้นหรือ

หรือมีอะไร “ลึก” ไปกว่าที่เราๆ ท่านๆ รับรู้

แต่จะว่าไป ปัญหาทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นนั้น จะไม่เกิดหรือเกิดน้อยมาก ถ้าที่ผ่านมา “รัฐบาลลุงตู่” เร่งปฏิรูปประเทศก่อนการเลือกตั้ง เพื่อปิด “เงื่อนไข” ทั้งหลายทั้งปวงให้หมดไป แต่เมื่อไม่ได้ทำอะไรอย่างที่ควรจะทำ สถานการณ์จึงพลิกผัน โดยเฉพาะ “คนรุ่นใหม่” ที่หันไปเทคะแนนให้อีกฝั่งหนึ่งด้วยหวังว่า น่าจะทำให้ประเทศไทยดีกว่าที่ผ่านๆ มา ขณะที่ “ฝ่ายการเมือง” ก็หยิบฉวยโอกาสในการปั่นกระแสเพื่อสร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้น

งานนี้ จึงไม่รู้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง “เกมอำมหิต” กันแน่.


กำลังโหลดความคิดเห็น