ขณะที่โลกกำลังรอฟังผลการเสนอข้อตกลงระหว่างสหราชอาณาจักร (ภายใต้การนำของนายกฯ หญิง-หัวรั้น-คนที่สองของอังกฤษ) กับสหภาพยุโรป ซึ่งดูเหมือนจะตีบตันและมีแนวโน้มว่า อังกฤษจะออกจากสหภาพยุโรป โดยไม่มีข้อตกลงว่าจะสัมพันธ์กับสหภาพยุโรปในรูปใด คือ เป็น Hard Brexit ที่มีนรกรออยู่ข้างหน้า (ตามที่ประธานกรรมาธิการยุโรป นายฌอง โคลด จุงเกอร์ ได้วาดภาพให้เห็นไว้ล่วงหน้า)
มีเรื่องการทวงคำขอโทษของรัฐบาลใหม่เม็กซิโก ที่ต้องการจากประเทศผู้รุกรานเมื่อ 500 ปีที่แล้ว คือ สเปน ได้กระทำอย่างป่าเถื่อนทำลายล้างทุกๆ สิ่งของเม็กซิโกจนราบคาบ ทิ้งแต่สิ่งปรักหักพังของอารยธรรมโบราณของชนเผ่าแอซเท็ก (Aztec และ Maya) ซึ่งแม้ขณะนี้ก็ยังสืบค้นได้เพียงส่วนน้อยนิดของสิ่งที่สูญหายไป
นั่นคือ ประธานาธิบดีคนใหม่ของเม็กซิโก ซึ่งถือเป็นฝ่ายซ้ายคนแรกในรอบ 100 ปีที่สามารถชนะการเลือกตั้ง (หลังจากถูกโกงการเลือกตั้งมาถึง 2 ครั้ง 2 ครา) มาแทนที่รัฐบาลฝ่ายขวาที่เป็นนายหน้าของรัฐบาลสเปนหรือสหรัฐฯ ที่กอบโกยเอาผลประโยชน์ทรัพยากรของเม็กซิโกกลับไปประเทศแม่ ทิ้งไว้แต่ความยากจนข้นแค้นสาหัสในหมู่ประชากรส่วนใหญ่ โดยเฉพาะคือ บ่อน้ำมันของเม็กซิโกและเหมืองแร่ธาตุต่างๆ เช่น ทองคำ เป็นต้น
ปธน.คนใหม่ของเม็กซิโก มีฉายาเรียกกันติดปากว่า นายแอมโล (Amlo โดยเอาตัวอักษรแรกของชื่อยาวๆ และนามสกุลของเขามาผสมคือ Andres Manuel Lopez-Obrador) ได้เดินทางไปทำพิธีที่หน้าศาสนสถานโบราณที่ชนเผ่า Maya และ Aztec ได้สร้างไว้เมื่อพันปีที่แล้ว เนื่องในวาระประจำปีที่มีการจัดบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งได้มีการรื้อฟื้นขนบประเพณีโบราณให้มีความสำคัญเป็นแกนแห่งวัฒนธรรมปัจจุบัน
เขาได้รับเลือกเข้ามาด้วยนโยบายที่จะทำให้ความเหลื่อมล้ำระหว่างคนมีคนจนลดน้อยลง รวมทั้งการยอมรับคนพื้นเมืองที่อยู่ระดับล่างสุดของสังคมเม็กซิโก ซึ่งอารยธรรมดั้งเดิมถูกหมกซ่อนหรือกำจัดให้สิ้นซากตั้งแต่เมื่อ 500 ปีที่แล้ว ตั้งแต่ครั้งคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (ชาวอิตาลีที่ไปขอเงินสนับสนุนจากพระราชินีสเปน นำเรือไปสำรวจข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก จนไปพบแผ่นดินอเมริกาในปี ค.ศ. 1492 แล้วต่อมาก็มีกองทัพของสเปนนำโดย เฮอร์นันโด คอร์เตส (Hernando Cortes) ได้ขึ้นบกที่ชายฝั่งเม็กซิโกเมื่อปี 1519 และนำกำลังอันไม่ใหญ่โตนัก แต่ก็สามารถบุกเข้ายึดเมืองหลวงได้อย่างราบคาบในปี ค.ศ. 1521 บุกเข้าไปถึงพระราชวังที่สร้างด้วยทองคำ แล้วประหารเจ้าผู้ครองนครโบราณนั้น และฆ่าชาวพื้นเมืองที่ต่อสู้เพื่อพิทักษ์เมืองหลวงอย่างโหดเหี้ยมไร้ศีลธรรมใดๆ และหลังพิชิตเมืองหลวงได้แล้ว ก็ปกครองอย่างโหดเหี้ยมและกดขี่ รวมทั้งทำลายศาสนสถานของชนพื้นเมือง โดยเฉพาะการบังคับ (เข้ารีด) ให้ชนพื้นเมืองต้องนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกเท่านั้น ผู้ที่ขัดขืนจะถูกลงโทษอย่างสาหัสหรือถูกฆ่าอย่างป่าเถื่อน เพื่อสร้างความหวาดกลัวต่ออำนาจของสเปน
ปธน.Amlo ยังย้ำว่า เป็นการเข้ายึดครองเม็กซิโกแบบ “The Sword and the Cross” คือด้วย “ดาบและกางเขน” เข้าประหัตประหารชนพื้นเมืองที่บริสุทธิ์มาก และไม่มีวิธีการต่อสู้แบบเล่ห์เหลี่ยมของชาวสเปน ซึ่งเป็นประเทศมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของโลกขณะนั้น
จริงๆ ปีนี้ ค.ศ. 2019 เป็นปีที่ครบรอบ 500 ปีที่สเปนขึ้นบกที่เม็กซิโก และกองทัพของคอร์เตสก็ใช้เวลาแค่ 2 ปีก็ตีนครหลวงได้ ซึ่งในปี ค.ศ. 2021 คืออีกเพียง 2 ปีก็จะครบรอบ 500 ปีที่สเปนเข้ายึดครองเม็กซิโก
ปธน.Amlo จึงถือเป็นโอกาสสำคัญที่จะกดดันให้สเปนและประมุขแห่งศาสนจักรวาติกันได้กล่าวขอให้ประเทศเม็กซิโกได้ให้อภัยและอโหสิต่อการกระทำที่ไร้มนุษยธรรมในการเข่นฆ่า ปล้นสะดม ทั้งทรัพยากรมีค่าของสเปน (ทองคำ และแร่ธาตุอื่นๆ) รวมทั้งอารยธรรมและขนบประเพณีความเชื่อทางศาสนาที่ถูกทำลายอย่างราบคาบ และบังคับให้ชาวพื้นเมืองเม็กซิโกต้องนับถือศาสนาคาทอลิกด้วย ถ้าขัดขืนก็โดนฆ่า
ปธน.Amlo ได้เขียนจดหมายถึงพระเจ้าฟิเลเปที่ 6 (กษัตริย์สเปนองค์ปัจจุบัน-เคยเป็นมกุฎราชกุมารของพระราชาธิบดีฮวน คาร์ลอส ที่เพิ่งได้สละราชเมื่อเร็วๆ นี้ และเปิดทางให้พระโอรสขึ้นครองราชย์) และพระสันตะปาปาฟรานซิส ประมุขแห่งวาติกันด้วย เพื่อให้กล่าวคำขอโทษที่ได้บุกยึดดินแดนอย่างโหดร้ายทารุณในโอกาสครบรอบ 500 ปีที่ได้ยึดครอง
มีเสียงชื่นชม Amlo ที่เม็กซิโก ในความพยายามฟื้นฟูรากของประชากรส่วนใหญ่ที่เป็นคนยากจน (ทั้งๆ ที่เป็นประเทศที่มีทั้งน้ำมันมหาศาล และแร่ธาตุมีค่า เช่น ทองคำ, ทองแดง, เหล็ก เป็นต้น) และควรภูมิใจในมรดกวัฒนธรรมดูจะถูกบดกลืนไปกับเหล่าผู้มีอันจะกิน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกหลานของชาวสเปนที่อพยพมาตั้งรกรากในเมืองขึ้นใหม่ตลอด 500 ปีนี้
แต่ฝ่ายค้านของสเปนคือ พรรคฝ่ายขวาที่เพิ่งสูญเสียอำนาจบริหารไป ออกมาถล่ม Amlo โดยประณาม Amlo ว่า ตัวเขานั่นแหละก็มีปู่เป็นชาวสเปนที่อพยพมาตั้งรกราก และต่อมาก็สืบทอดกับคนพื้นเมืองด้วย ดังนั้น บรรพบุรุษของ Amlo ก็เข้าข่ายละเมิดสิทธิมนุษยชนเช่นกัน
และขณะนั้น 85% ของประชากรของเม็กซิโกนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก (เป็นประเทศใหญ่สุดในโลกลำดับที่ 2 ที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นคาทอลิก รองลงมาจากบราซิล) ดังนั้น จึงมีคอลัมนิสต์ในสื่อเอียงขวาออกมาประณาม Amlo ว่า ฟื้นฝอยหาตะเข็บ เรื่องเก่าๆ มีแต่จะลืมเสียแล้วมองไปข้างหน้ากับความสัมพันธ์กับสเปน
รัฐบาลสเปน (ซึ่งเป็นพรรคสังคมนิยมด้วย และทาง Amlo ก็น่าจะดูท่าทีว่าจะเจรจากันได้) ก็รีบออกมาปฏิเสธทันที ด้วยแถลงการณ์ว่า “การเดินทางมาถึงเม็กซิโกเมื่อ 500 ปีนั้น ไม่สมควรได้รับการตัดสินด้วยเหตุผลในปัจจุบัน ; ประเทศพี่น้องของเรา รวมทั้งสอนได้รู้วิธีอ่านและตีความประวัติศาสตร์ในอดีตที่ผ่านมา โดยไม่ใช้อารมณ์ความโกรธเข้าตัดสิน และด้วยการพิจารณาในแนวทางสร้างสรรค์เสมอมา”
ฟังดูแล้วก็คงคล้ายๆ กับที่จักรพรรดิและรัฐบาลญี่ปุ่น ไม่เคยยอมขอโทษต่อการกระทำที่โหดเหี้ยมของกองทัพญี่ปุ่นต่อประชาชนของจีน, เกาหลีใต้, เกาหลีเหนือ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง หรือที่อังกฤษไม่ยอมคืนเพชรก้อนยักษ์ที่ปล้นมาจากการยึดครองอินเดียเป็นเวลาหลายร้อยปี และไม่เคยขอโทษต่อการโหดร้ายที่กองทัพอังกฤษได้กระทำต่อคนอินเดีย, ปากีสถาน และบังกลาเทศ-รวมทั้งล่าสุดที่อิสราเอลเข้ายึดที่ราบสูงโกลันมาถึง 50 ปี ที่ได้ยึดมาจากซีเรียในสงคราม 6 วันเมื่อ 1967 แล้วปธน.ทรัมป์ได้ออกมาประกาศรับรองว่าที่ราบสูงข่มแห่งนี้เป็นของอิสราเอล ทั้งๆ ที่ยูเอ็นก็ไม่เคยรับรอง และนานาประเทศต้องการให้อิสราเอลคืนให้กับซีเรีย-รวมทั้งชาวอินเดียนแดงชนพื้นเมืองอเมริกาที่ถูกฆ่าตาย และจำกัดพื้นที่ดำรงชีพขณะนี้
ในทางตรงข้าม โลกก็ได้ชื่นชมต่อการยอมรับรู้สึกผิดที่รัฐบาลออสเตรเลียขอโทษต่อชาวพื้นเมืองอะบอริจินที่ถูกประหัตประหารฆ่าตายจำนวนมาก และศาสนสถานถูกทำลายล้าง ในช่วงการขึ้นบกตั้งถิ่นฐานของชาวอังกฤษในทวีปออสเตรเลีย รวมทั้ง รัฐบาลนิวซีแลนด์ก็เช่นเดียวกัน
ขณะนี้มีผู้สมัครเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครต 2 คนที่ต้องการแข่งเป็นประธานาธิบดี (ปี 2020) ได้เสนอนโยบายชดเชยแก่ลูกหลานทาสชาวผิวดำที่ถูกบังคับอย่างโหดร้ายให้มาเป็นทาสในสหรัฐฯ ซึ่งน่าสนใจว่าเขาจะชดเชยอย่างไรบ้าง
รวมทั้งรัฐบาลเยอรมนีหลังฮิตเลอร์ได้ออกมาขอโทษต่อชาวยิว และทั้งโลกที่ฮิตเลอร์ได้ทำลายล้างทั้งโลกอย่างป่าเถื่อน ซึ่งเขาได้ทุ่มเทเขียนรัฐธรรมนูญเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบฮิตเลอร์ได้อีก...และยังมีปธน.มาครงที่ได้กล่าวขอโทษต่อชาวแอลจีเรียในยุคที่ฝรั่งเศสโหดร้ายมากในการกำจัดผู้ต่อต้านการยึดครองของฝรั่งเศส
ในหลักการสิทธิมนุษยชนที่ถือเป็นอารยธรรมสำคัญในคริสต์ศตวรรษที่ 21 นี้ ความเป็นมนุษย์และอารยชนก็ทำให้มีการเรียกร้องหาคำขอโทษสำนึกผิดจากการกระทำที่ไร้มนุษยธรรมในอดีตไปทั่วโลก