ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เหตุไฟไหม้ “หมู่บ้านชาวมอแกน” หมู่เกาะสุรินทร์ อ.คุระบุรี จ.พังงา เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผลาญวอดกว่า 61 หลังคาเรือน ถือเป็นอัคคีภัยที่สร้างความเสียหายรุนแรง และเป็นความเสียหายครั้งร้ายแรงที่ชาวเลมอแกนต้องเผชิญอีกครั้ง หลังจากเกิดเหตุการณ์สึนามิเมื่อปี 2547 ซึ่งชาวมอแกนได้รับความเดือดร้อนถ้วนหน้า จนต้องอพยพมารวมกันอยู่บนเกาะใหญ่
โดยเหตุเกิดในช่วงค่ำคืนของวันที่ 3 ก.พ. 2562 สร้างความเสียหายรุนแรง 61 หลังคาเรือน จากจำนวนทั้งหมด 81 หลัง และที่ทำการสาธารณสุขชุมชน 1 หลัง เคราะห์ยังดีไม่มีผู้เสียชีวิต มีเพียงผู้บาดเจ็บเล็กน้อย 1 คนเท่านั้น อุบัติเหตุครั้งนี้ได้ส่งผลให้มีผู้ประสบภัยถึง 237 คน จากชาวมอร์แกนทั้งหมด 375 คน
ส่วนต้นเพลิงมีสาเหตุมาจากตะเกียงน้ำมันล้มจนเกิดไฟลุกลาม เกิดอุบัติเหตุบริเวณใต้ถุนบ้านซึ่งมีเครื่องปั่นไฟ ที่ใช้ร่วมกัน 3 บ้าน ได้เกิดน้ำมันหมด เจ้าของบ้านจึงได้รีบถือตะเกียงน้ำมันไปนำน้ำมันมาเติม แต่เกิดอุบัติเหตุสะดุดล้มเสียก่อน เป็นเหตุให้ทำให้เปลวไฟจากตะเกียงติดกับน้ำมันเกิดเพลิงไหม้ไฟลุกท่วม
หมู่บ้านชาวมอแกนก่อสร้างด้วยไม้ หลังคามุงด้วยจาก สร้างบ้านเป็นหลังติดๆ กันไป ประกอบกับเป็นช่วงที่มีกระแสลมแรง จึงทำให้ไฟลุกไหม้อย่างรวดเร็ว เคราะห์ยังดีแม้บ้านเรือนเสียหายหลายหลัง แต่อุบัติเหตุเพลิงไหม้ครั้งนี้ไม่มีผู้เสียชีวิต มีเพียงผู้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย 1 คน
อย่างไรก็ตาม หลังเกิดเหตุเพลิงไหม้ความช่วยเหลือจากทั่วสารทิศมุ่งตรงไปยัง “หมู่บ้านชาวมอแกน” ในทันที กองทัพเรือ เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ ได้เข้าช่วยเหลืออพยพชาวบ้านออกจากที่เกิดเหตุ นำมาพักที่อุทยานฯ อีกหลายฝ่ายทั้งภาครัฐภาคเอกชนประชาชน ร่วมบริจาคทรัพย์และสิ่งของจำเป็นต่างๆ นำอาหาร น้ำดื่ม เสื้อผ้า ยารักษาโรค ฯลฯ ให้กำลังใจบรรเทาความทุกข์ร้อนที่เกิดขึ้นกับชาวเลมอแกน
ต่อมา นายศิริพัฒ พัฒกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา ได้ประกาศให้หมู่บ้านชาวมอร์แกน เป็นเขตให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินอัคคีภัย ลำดับถัดไป ดำเนินการสร้างบ้านให้สอดคล้องกับวิถีชีวิต เนื่องจากเป็นพื้นที่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ ทางอุทยานฯ จะร่วมกับชาวมอแกนในการวางผังแนวเขตของบ้านแต่ละหลัง
ประมาณการไว้ที่หลังละ 50,000 บาท ซึ่งจะมีงบของจังหวัดหลังละ 33,000 บาท จำนวน 61 หลังคาเรือน รวมประมาณ 2,013,000 บาท ส่วนที่ขาดเหลือ ที่จะทำไฟฟ้า ประปาและอื่นๆ ก็จะมีการขอกราบบังคมทูล ขอพระราชทานความช่วยเหลือ ผ่านศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสา อีกหลังละ 17,000 บาท จำนวน 61 หลังคาเรือน เป็นเงินประมาณ 1,037,000 บาท โดยจะให้ทางอำเภออำเภอคุระบุรี มีการเบิกจ่ายเป็นค่าวัสดุ มาใช้ในการ สร้างบ้าน
ดร.นฤมล อรุโณทัย นักวิชาการจากสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเคยวิจัยโครงการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตในชุมชนชาวมอแกน อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ เปิดเผยข้อมูลไว้ว่าก่อนเกิดเหตุไฟไหม้ หมู่บ้านชาวมอแกนอยู่กันอย่างแออัด ต่างจากวิถีชีวิตในอดีตที่อยู่กระจัดกระจายกันตามอ่าวต่างๆ เป็นหย่อมๆ ตามเครือญาติ หลังเกิดเหตุสึนามิชาวบ้านทั้งหมดถูกให้มาอยู่รวมกัน โดยกรมอุทยานฯ จัดสรรพื้นที่ 6 ไร่ เกาะบอนใหญ่
เหตุการณ์ในครั้งนี้ “ต้องพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส” โดยหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องและชุมชนควรร่วมกันหารือเพราะพื้นที่นี้เป็นพื้นที่พิเศษที่อยู่ในความดูแลของอุทยานฯ และไม่ควรรีบสร้างบ้านให้เสร็จจบๆ ไป สิ่งที่ควรทำคือช่วยกันฟื้นฟูวิถีชุมชนของชาวเล เปิดโอกาสให้เขาได้ร่วมหารือพูดคุยว่าปัญหาเฉพาะหน้าคืออะไร และอนาคตชุมชนเขาอยากเห็นอะไร อีกทั้งอนาคตหากมีการสร้างชุมชนขึ้นมาใหม่ ควรสร้างแนวกันไฟหรือเว้นระยะห่างระหว่างบ้านให้มากขึ้น ไม่ใช่อยู่ติดกันอย่างแออัดพอเกิดไฟไหม้ก็เลยถูกเผาไปด้วยกันหมด
ขณะที่ ไมตรี จงไกรจักร ที่ปรึกษาเครือข่ายชาวเล เปิดเผยหลังจากร่วมพูดคุยกับเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ เพื่อในการสร้างบ้านสอดคล้องกับวิถีชีวิตเดิมถึงแผนในการสร้างบ้านใหม่ ซึ่งคาดก่อสร้างประมาณ 2 เดือน โดยชาวเลเห็นตรงกันว่าพวกเขาต้องการบ้านที่มากกว่าบ้าน กล่าวคืออยากให้มีการปรับผังชุมชนและอาจให้ชาวบ้านมาร่วมออกแบบ
ไมตรี ให้สัมภาษณ์ผ่าน Thai PBS ความว่า ชาวมอแกน หมู่เกาะสุรินทร์ เป็นชาวเลดั้งเดิม ที่มีวิถีชีวิตผูกพันกับท้องทะเล ทำมาหากินเก็บหอย หาปลา ทำประมง เพื่อเลี้ยงปากเลี่ยงท้องกินในครอบครัว และบางส่วนถ้าเหลือจะนำมาแลกเป็นของใช้อื่นๆ ต่อมาเมื่อมีการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ ทำให้มอแกน ที่เคยอาศัยตามเกาะน้อยใหญ่ เช่น เกาะบอนเล็ก เกาะบอนใหญ่ เริ่มมีข้อจำกัดในสิทธิ์ที่ดิน เพราะถูกจัดให้มาร่วมกันอยู่บนเกาะบอนใหญ่ที่เพิ่งถูกไฟไหม้ วิถีมอแกนที่เคยมีอิสระในการหาปลาหาหอย ก็ถูกจำกัดแค่เฉพาะหากิน ดำน้ำจับปลาเพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะช่วง 15 ปีที่ผ่านมา วิถีของมอแกนต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลมากมาย
ชาวมอแกนชาย ต้องหาอาชีพอื่นๆ เช่น ช่วยทำงานในอุทยานฯ พายเรือให้กับนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวเกาะ ส่วนชาวมอแกนหญิง และเด็กๆ จะนั่งรอนักท่องเที่ยวที่เข้ามาชมวิถีชีวิตในหมู่บ้าน ด้วยการขายผลิตภัณฑ์แกะสลัก เช่น เรือไม้ เต่าทะเล ถักสร้อยข้อมือที่พวกเขาผลิตเองมาวางขาย
“การท่องเที่ยวชมหมู่บ้านมอแกน เป็นหนึ่งในทริปที่บริษัททัวร์ต้องจัดให้นักท่องเที่ยวเข้าเยี่ยมชมประมาณ 1 ชั่วโมง แต่ละวันจะมีนักท่องเที่ยวเข้าไปวันละมากกว่า 500-1,000 คนนักท่องเที่ยวบางคนยังมีอคติว่าถ้าไปเกาะสุรินทร์ ต้องไปชมมอแกน คล้ายกับไปดูสวนผีเสื้อไม่ได้ซึมซับและเคารพในวิถี”
ข้อเสนอจากเหตุไฟไหม้ครั้งนี้ เครือข่ายชาวเลอยากให้กรมอุทยานฯ จัดผังชุมชนหรือโซนนิ่งพื้นที่บนเกาะบอนใหญ่ให้เหมาะสมกับวิถีชีวิตของมอแกน เพราะพื้นที่ตรงนั้นทั้งอ่าวควรจะขยายพื้นที่ให้ชุมชนได้อยู่อาศัยที่ดี
“อยากให้กันขอบเขตให้ชัดเจนด้วยการประกาศพื้นที่คุมครองวัฒนธรรมมอแกน เพื่อให้สิทธิกับมอแกนในการอยู่อาศัยบนพื้นที่นี้ โดยมีอุทยานเป็นที่ปรึกษาทำงานกับมอแกน ซึ่งเราพยายามให้จัดการเรื่องนี้ตามมติคณะรัฐมนตรี 2 มิ.ย. 2553 เรื่องแนวนโยบายในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเล เพื่อให้เขาอยู่แบบปลอดภัย” ไมตรี จงไกรจักร ที่ปรึกษาเครือข่ายชาวเล กล่าว
สำหรับ หมู่บ้านชาวเล หรือ ชาวมอแกน เกาะสุรินทร์ เป็นหมู่บ้านชาวเลดั่งเดิม อาศัยตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณอ่าวบอน เกาะสุรินทร์ใต้หมู่ 4 ต.เกาะพระทอง จ.พังงา ชาวเลกลุ่มนี้เป็นชนเผ่าที่มีวิถีการดำรงชีวิตแบบดั้งเดิม หาเลี้ยงชีพโดยการงมหอย จับปลา ผูกพันอยู่กับทะเลมาตั้งแต่บรรพบุรุษนับร้อยปี
ชาวเลมอแกน หมู่เกาะสุรินทร์ พูดภาษายาวีและภาษาไทย คุ้นเคยกับทะเลตั้งแต่ยังเด็ก เด็กบางคนว่ายน้ำได้พร้อมๆ กับที่เดินได้ พ่อแม่จะปล่อยให้เด็กเล็กๆ พายเรือเล็กเล่นโดยลำพังโดยไม่ต้องมีใครดูแล
เป็นที่รู้จักกันในนาม “ยิปซีทะเล” สืบเชื้อสายมาจากโปโตมาเลซึ่งร่อนเร่อยู่ในทะเลอันดามัน มากว่า 100 ปี อาศัยอยู่ตามหมู่เกาะ มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการเดินเรือดูทิศทางโดยอาศัยดวงดาว คลื่น ลม มีรูปแบบของวิถีชีวิต ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม ความเชื่อ รวมทั้งค่านิยมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะเป็นของตนเอง
แต่เดิมชาวมอแกน ใช้ชีวิตเดินทางเคลื่อนย้ายถิ่น ทำมาหากินอยู่ในบริเวณเขตทะเลอันดามัน ชีวิตส่วนใหญ่ อาศัยอยู่บนเรือเรียกว่า “ก่าบาง” หากินกับทะเล งมหอย ตกปลา จับปู และสัตว์ทะเลต่างๆ ดำเนินวิถีชีวิตสอดคล้องกับฤดูกาล ในช่วงมรสุมจะอพยพขึ้นมาสร้างบ้านเรือนตามเกาะ หรือบริเวณชายหาดที่มีอ่าวกำบังคลื่นลมเพื่อหลบลมพายุ
ไม่เพียงความเสียหายรุนแรงจากเหตุการณ์ไฟไหม้ “หมู่บ้านชาวมอแกน” เมื่อค่ำคืนวันที่ 3 ก.พ. ที่ผ่านมา ชาวเลเหล่านี้ยังต้องเผชิญผลกระทบจากการพัฒนาพื้นที่อันดามัน การพัฒนาสู่การเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวระดับโลก และการประกาศเป็นเขตพื้นที่อุทยานทางทะเล ส่งผลกระต่อวิถีชีวิตดั่งเดิมอย่างเลี่ยงไม่ได้