xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“จีน” ก็ไม่คบ “ยุโรป” ก็ไม่เอา เมื่อโลกล้อม “ยิ่งลักษณ์-ทักษิณ” เส้นทางหนี “โกง” แคบลงทุกที

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

ข้อมูลในเว็บไซต์สืบค้นข้อมูลจดทะเบียนธุรกิจบริษัทเอกชนในประเทศจีน เกี่ยวกับบริษัท ซ่านโถว ยืนยันว่ามีการแจ้งเปลี่ยนตัวประธานกรรมการใหม่ จาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็น ชาวจีนที่ชื่อว่า เฉินอุยตง จริง
ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เชื่อเหลือเกินว่า การที่ “บริษัท ซ่านโถว อินเตอร์เนชั่นแนล คอนเทนเนอร์ เทอร์มินัลส์ (Shantou International Container Terminals)หรือ SICT” (อ่านแบบจีนแต้จิ๋ว คือ ซัวเถา) ซึ่งดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับท่าเรือในมณฑลกวางตุ้งของจีน ได้เผยแพร่ข้อมูลการเปลี่ยนตัว ประธานกรรมการใหม่ จาก “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ผู้หลบหนีคำพิพากษาคดีจำนำข้าว เป็นชาวจีนที่ชื่อว่า “เฉินอุยตง” เมื่อวันที่ 12 มกราคม2562 เป็นเรื่อง “ไม่ธรรมดา”

และมีส่วนเกี่ยวข้องกับสาธารณรัฐประชาชนจีนภายใต้การนำของ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง อย่างมีนัยสำคัญ

ขณะเดียวกัน “สัญญาณ” ดังกล่าวยังสะท้อนให้เห็นว่า เส้นทางของ “ชินวัตรแฟมิลี่” ในการเคลื่อนไหวทางการเมืองกำลังตีบตันลงไปทุกที เพราะไม่ใช่แค่ “จีน” เท่านั้น หากยังมีสัญญาณออกมา กลุ่มประเทศใน “สหภาพยุโรป” อีกด้วย เมื่อมี “อียู” เดินหน้าเรียกร้องให้สมาชิกเพิ่มความเข้มข้นในการควบคุม โครงการวีซ่าทอง (Golden Visa) ในแต่ละชาติ หลังถูกฉวยประโยชน์โดยพวกคอร์รัปชัน พร้อมยกตัวอย่าง “ทักษิณ กับ มอนเตเนโกร” ให้เห็นเป็นรูปธรรมอีกต่างหาก

กล่าวสำหรับกรณีของน.ส.ยิ่งลักษณ์นั้น อดีตนายกฯ ผู้หลบหนีคดีทุจริตปรากฏชื่อเป็นประธานกรรมการของ SICT เมื่อวันที่ 12 ธันวาคมปี 2561 แต่แล้วเพียงแค่ “เดือนเดียว” เธอก็ถูกปลดจากเก้าอี้ดังกล่าว และน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่ “หนังสือพิมพ์เซาท์ ไชน่า มอร์นิ่งโพสต์” ออกมาเปิดโปงเกี่ยวกับการที่เธอใช้ “พาสปอร์ต” สัญชาติกัมพูชาในการเข้าไปประกอบธุรกรรมในฮ่องกง โดยนำไปจดทะเบียนเป็นกรรมการเพียงผู้เดียวของ “บริษัท พี.ที.คอร์ปอเรชั่น (P.T.Corporation Company)” ที่ก่อตั้งขึ้นในฮ่องกง เมื่อ 24 สิงหาคม 2561

เซาท์ ไชน่า มอร์นิ่ง โพสต์ ระบุว่า เอกสารในการเข้าบริหารบริษัทดังกล่าว ถือเป็นหลักฐานชิ้นแรก เกี่ยวกับการทำธุรกิจของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นับตั้งแต่หลบหนีออกจากประเทศไทย ก่อนคำตัดสินคดีปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว จนถึงบัดนี้ ยังไม่มีข้อมูลออกมาว่า บริษัท พี.ที.คอร์ปอเรชั่น ทำธุรกิจอะไรกันแน่ แต่หลังจากที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ก่อตั้งบริษัทดังกล่าว เพียงแค่ 4 เดือนก็มีรายงานออกมาว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้เข้าไปนั่งเป็นประธานบริหารบริษัท ซ่านโถว คอนเทนเนอร์ เทอร์มินัล บริหารท่าเรือซัวเถา มณฑลกวางตุ้ง

ขณะเดียวกันจากการตรวจสอบพบว่า ผู้จดทะเบียนก่อตั้งบริษัท P.T.Corporation ในฮ่องกง คือ บริษัท P.T. Corporation ซึ่งเป็นธุรกิจของคนในครอบครัวชินวัตร ในประเทศไทย และยังเป็นผู้ถือหุ้นเพียงรายเดียวของบริษัทด้วย นอกจากนี้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังแจ้งที่อยู่ส่วนตัว คือ บ้านเลขที่ 10 ถนน Severn 8ในเขตปกครองพิเศษฮ่องกง

ในช่วงแรกรัฐบาลฮุนเซ็นได้ออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้มีการออกให้แต่อย่างใด เนื่องจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นชาวต่างชาติ การจะออกหนังสือเดินทางให้จะต้องตราเป็นพระราชกฤษฎีกา และกษัตริย์นโรดมสีหมุนี ลงพระปรมาภิไธยเท่านั้น ทว่า ไม่นานนัก สมเด็จฯ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้ลงนามในคำสั่งยกเลิกการออกหนังสือเดินทางทางการทูตให้ชาวต่างชาติ ที่มาเป็นที่ปรึกษา หรือ ผู้ช่วยข้าราชการระดับสูงของกัมพูชา โดยหนังสือเดินทางที่ออกให้ไปแล้วนั้น ให้กระทรวงการต่างประเทศ เรียกเก็บคืนภายใน 1 เดือน ซึ่งนักวิเคราะห์ได้แสดงความเห็นว่า ท่าทีดังกล่าวนี้ น่าจะเกี่ยวข้องกับกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ใช้หนังสือเดินทางประเทศกัมพูชา เพื่อจดทะเบียนบริษัทในฮ่องกง

ความชัดเจนดังกล่าวถูกต่อจิ๊กซอว์ให้มีความชัดเจนมากขึ้นไปอีกเมื่อสำนักข่าวเอพีรายงานว่า นายกรัฐมนตรีฮุนเซน ของกัมพูชา ได้พบหารือกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และนายกรัฐมนตรีหลีเค่อเฉียงของจีน ระหว่างการเยือนกรุงปักกิ่งเป็นเวลา 4 วัน ที่ตอกย้ำถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างจีนและกัมพูชาซึ่งเป็นหนึ่งในพันธมิตรใกล้ชิดที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ทั้งนี้ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กัมพูชามีความใกล้ชิดกับจีนมากขึ้น ขณะที่รัฐบาลของฮุนเซนที่มีท่าทีออกห่างจากสหรัฐฯ ซึ่งวิพากษ์วิจารณ์การปกครองของฮุนเซน และนอกจากนั้น จีนยังเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจและทางการเมืองที่สำคัญที่สุดของกัมพูชา ที่ให้ความช่วยเหลือและการลงทุนมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ ยกเลิกหนี้ และมอบสถานะปลอดภาษีให้แก่สินค้าของกัมพูชาอีกหลายร้อยรายการ

ในทางกลับกัน กัมพูชาได้ให้ความช่วยเหลือทางการทูตแก่จีนภายในภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นการอ้างสิทธิอธิปไตยของจีนเหนือดินแดนเกือบทั้งหมดของทะเลจีนใต้
“อียู” เดินหน้าเรียกร้องให้สมาชิกเพิ่มความเข้มข้นในการควบคุมโครงการวีซ่าทอง (Golden Visa) หลังถูกฉวยประโยชน์โดยพวกคอร์รัปชัน พร้อมยกตัวอย่าง “ทักษิณ กับ มอนเตเนโกร” ให้เห็นเป็นรูปธรรม
ดังนั้น การถอนพาสปอร์ต น.ส.ยิ่งลักษณ์ของรัฐบาลฮุนเซนย่อมมีความเกี่ยวพันกับรัฐบาลสี จิ้นผิงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะแม้ “รัฐบาลฮุนเซน” จะมีความแนบแน่นกับ “ชินวัตรแฟมิลี่” สักเพียงใด แต่ก็ย่อมไม่มากกว่าผลประโยชน์ของชาติที่ได้รับจากรัฐบาลสี จิ้นผิง ขณะที่รัฐบาลจีนเองก็จำต้องรักษาสัมพันธภาพอันดีกับรัฐบาล คสช.เพราะน่าจะมีการประเมินสถานการณ์การเมืองในไทยแล้วว่า ไม่ว่าจะอย่างไร “ระบอบทักษิณ” ก็ไม่มีหวนกลับคืนสู่อำนาจได้ ดังนั้น จึงไม่อาจ “เหยียบเรือสองแคม” ได้อีกต่อไป

และเมื่อมีข่าวการใช้แผ่นดินจีน โดยใช้ผลประโยชน์ทางธุรกิจบังหน้า แต่เบื้องหลังหวังผลในการเคลื่อนไหวทางการเมืองในช่วงที่ไทยกำลังเข้าสู่โหมดการเลือกตั้ง ซึ่งถือเป็นเรื่องอ่อนไหวและจีนไม่พึงประสงค์ให้พี่น้อง “ทักษิณ -ยิ่งลักษณ์” อ้างได้ ส่วนกัมพูชาเองก็ไม่ต้องการให้ขยายเรื่องการออกหนังสือเดินทางให้ยิ่งลักษณ์ เป็นประเด็นสร้างความบาดหมางกันในภูมิภาคอาเซียน และทำให้จีนไม่สบายใจ การตัดไฟแต่ต้นลมเพื่อไปให้ลุกลามออกไปจึงเกิดขึ้น

“ท่านประธานาธิบดีกล่าวว่า ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและกัมพูชานั้นมีความพิเศษอย่างมาก เมื่อเทียบกับประเทศต่างๆ” โพสต์ของฮุนเซน ระบุ พร้อมยืนยันด้วยว่า ผู้นำแดนมังกรตอบสนองคำขอด้วยการให้คำมั่นที่จะมอบความช่วยเหลือระหว่างปี 2562-2564 ยกตัวอย่างเช่น การนำเข้าข้าว 400,000 ตัน จากกัมพูชา รวมทั้งผลักดันการค้าทวิภาคีให้ถึง 10,000 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2566 และสนับสนุนการลงทุนของจีนให้มากยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ดีสื่อวงในที่เชื่อได้ว่าเป็นสายตรงชินวัตร อย่าง “เฟซบุ๊ก กรุงเทพ กรุงเทพ” ก็โพสต์ล่าสุด เมื่อวาน (22ม.ค.) อ้างว่า “อดีตนายกฯ นกแก้ว” ยังไม่ถูกปลด โดยการเปลี่ยนแปลงที่สื่อฮ่องกงสืบมาได้เป็นเพียงการตั้งตัวแทนทางกฎหมายชาวจีนเพิ่มเท่านั้น แถมระบุด้วยว่า คนที่ซื้อหุ้นท่าเรือฯ ไม่ได้มีแค่ ยิ่งลักษณ์เท่านั้น “ลี กาชิง” มหาเศรษฐีฮ่องกง ผู้ถือหุ้นใหญ่ ยังขายหุ้นให้ครอบครัว “ประธานาธิบดี บุช” อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯอีกด้วย และ “ลี กาชิง” ยอมรับเองว่า ดีลนี้ เป็นธุรกรรมที่มี “ผลประโยชน์ทางการเมือง” มากกว่าผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ

แต่ช้าก่อน เพราะเมื่อได้มีการตรวจสอบข้อมูลในเว็บไซต์สืบค้นข้อมูลจดทะเบียนธุรกิจบริษัทเอกชนในประเทศจีน เกี่ยวกับบริษัท ซ่านโถว ก็พบข้อมูลยืนยันว่า มีการแจ้งเปลี่ยนตัวประธานกรรมการใหม่ จาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็น ชาวจีนที่ชื่อว่า เฉินอุยตง เมื่อวันที่ 12 ม.ค.2562 ที่ผ่านมา หลังจากที่เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 12 ธ.ค.2561 จริง มิได้เป็นไปตามที่ “เพจลิ่วล้อตระกูลชิน” กล่าวอ้างประการใด

ที่เด็ดไปกว่านั้นก็คือ ตัวละครสำคัญในเรื่องนี้คือ หุ้นส่วนที่จัดตั้งบริษัทร่วมกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่ชื่อ “ถังอี้กัง” นักธุรกิจชาวสิงคโปร์ ที่ว่ากันว่าเป็นคนที่เดินเกมในดีลครั้งนี้นั้น “ฉาวโฉ่” ไม่แพ้สองพี่น้องชินวัตร

ถังอี้กัง ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในสิงคโปร์ ฮ่องกง และสหรัฐฯ เขาเป็นนักธุรกิจที่ร่ำรวยอันดับที่ 32 ในสิงคโปร์ และสนิทสนมกับตระกูลชินวัตร ถึงขนาดที่บ้านพักของทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ในฮ่องกงก็เป็นที่อยู่เดียวกับถังอี้กัง

นอกจากนั้น ถังอี้กังยังสนิทสนมกับครอบครัวของอดีตประธานาธิบดีจอร์จ บุช แห่งสหรัฐฯ โดยจัดตั้งบริษัททำธุรกิจร่วมกัน และยังเคยบริจาคเงินมากถึง 13,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อสนับสนุนนายเจบ บุช น้องชายของอดีตประธานาธิบดีจอร์จ บุช ในการหาเสียงเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันชิ่งตำแหน่งผู้นำสหรัฐ

สื่อฮ่องกงระบุว่า ถังอี้กังและภรรยาที่ชื่อว่า เฉินหวายตัน สนิทกับตระกูลชินวัตร ตระกูลบุช และคนเด่นคนดังมากมาย แต่กลับไม่ปรากฏข้อมูลทางการมากนัก โครงสร้างการถือหุ้นในธุรกิจต่างๆ ก็ซับซ้อนอย่างยิ่ง

แต่ความลับไม่มีในโลก เมื่อตรวจสอบพบว่าในช่วงปี 2001-2002 บริษัทของถังอี้กังเคยถูกรัฐบาลจีนตรวจสอบคดีสินค้าหนีภาษีที่เมืองซัวเถา พนักงานของบริษัทหลายคนถูกดำเนินคดี บริษัทถูกยึดทรัพย์ แต่ถังอี้กังรอดพ้นการถูกดำเนินคดี

ทั้งนี้ คดีหนีภาษีที่หุ้นส่วนของ น.ส.ยิ่งลักษณ์เกี่ยวข้อง เกิดขึ้นในช่วงปี 2001 รัฐบาลจีนที่กรุงปักกิ่ง ตั้ง “ชุดเฉพาะกิจ 815” เดินทางลงใต้ไปเมืองซัวเถา เพื่อตรวจสอบขบวนการหนีภาษี 4 บริษัทใหญ่ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือบริษัทของถังอี้กัง

การลงดาบจากปักกิ่งทำให้ผู้บริหารบริษัทเหล่านี้หนีกระเจิดกระเจิง มีเพียงพนักงานปลาซิวปลาสร้อยที่ต้องรับโทษ โดยมีรายงานว่าบริษัทของถังอี้กังลักลอบนำสินค้าหนีภาษีเป็นมูลค่าสูงถึง 4,000 ล้านหยวน และมีรายงานบางกระแสอ้างว่า หลังจากนั้นในปี 2007 เขาได้ยอมรับผิดต่อศาลของจีน และถูกตัดสินโทษรอลงอาญา

อย่างไรก็ตาม ในการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อเมื่อปี 2016 ถังอี้กังปฏิเสธคดีหนีภาษีที่ซัวเถา และบอกว่าเขาไม่เคยมีประวัติทำผิดอาญาใดๆ แต่ต่อมาเขากลับ “กินปูนร้อนท้อง” โดยเสนอจะมอบเงิน 200,000 เหรียญฮ่องกงให้ผู้สื่อข่าวเพื่อแลกกับการไม่พูดถึงเรื่องคดีหนีภาษี แต่ผู้สื่อข่าวปฏิเสธรับเงินสินบน

กิจการท่าเรือถือเป็นธุรกิจยุทธศาสตร์ของประเทศต่างๆ การที่ท่าเรือซัวเถามีผู้ถือหุ้นใหญ่ที่เคยมีประวัติความด่างพร้อย จึงเป็นเรื่องที่รัฐบาลปักกิ่งรับไม่ได้อย่างแน่นอน ยิ่งเมื่อเรื่องถูกขยายผลทางการเมืองจากความเกี่ยวข้องของตระกูลชินวัตร ยิ่งทำให้ทางการจีนต้องตัดไฟแต่ต้นลม

ไม่เพียงแต่ในจีนและกัมพูชาเท่านั้น หากแต่ “พี่น้องชินวัตร” น่าจะเผชิญกับความยากลำบากในการใช้ชีวิตและการเคลื่อนไหวทางการเมืองหนักขึ้นเรื่อยๆ เมื่อ คณะกรรมาธิการยุโรป ซึ่งเป็นองค์กรบริหารของสหภาพยุโรป (อียู) เผยแพร่รายงานเรียกร้องให้ชาติสมาชิกจำกัดการให้สัญชาติหรือสิทธิผู้พักอาศัยแก่ชาวต่างชาติที่มีฐานะร่ำรวย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนจีน, รัสเซีย และอเมริกัน เพื่อแลกกับเงินลงทุน

เนื้อหาในรายงานฉบับนี้ระบุว่า โครงการลักษณะนี้ก่อให้เกิดความเสี่ยงหลายประการ ทั้งในด้านความมั่นคง, การฟอกเงิน หรือแม้แต่การเลี่ยงภาษี ซึ่งหากชาติสมาชิกไม่เข้มงวดกฎเกณฑ์และมีความโปร่งใสมากขึ้น คณะกรรมาธิการก็จะดำเนินการถ้าจำเป็น

หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทม์ส อ้างเนื้อหาของรายงานฉบับร่าง ระบุว่า โครงการมอบสิทธิพลเมืองและถิ่นที่อยู่แก่นักลงทุน “ได้ก่อความเสี่ยงต่างๆ นานาแก่รัฐสมาชิก และแก่สหภาพยุโรปทั้งมวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเสี่ยงด้านความมั่นคง ในนั้นรวมถึงความเป็นไปได้ที่จะมีการแทรกซึมเข้ามาขององค์กรอาชญากรรมนอกอียู เช่นเดียวกับความเสี่ยงของการฟอกเงิน, คอร์รัปชัน และ เลี่ยงภาษี”
สมเด็จฯ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาขณะเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยเชื่อกันว่า เป็น “มูลเหตุ” สำคัญในการตัดสินยกเลิกพาสปอร์ตให้กับต่างชาติ ซึ่งรวมถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ อดีตนายกรัฐมนตรีผู้หนีคดีทุจริตของไทย
ทั้งนี้ การมอบวีซ่าทองแก่บุคคลและองค์กรต่างๆ ซึ่งเป็นที่สงสัยเคยถูกทาง The Organized Crime and Corruption Reporting Project หรือOCCRP เปิดโปงมาแล้วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ยกตัวอย่างเช่นไซปรัสที่มีรายได้มหาศาลจากการมอบสิทธิพลเมืองแก่นักลงทุนต่างชาติ 1,685 คนนับตั้งแต่ปี 2008 หลายคนมาจากประเทศอดีตสหภาพโซเวียต, จีน, อิหร่าน และ ซาอุดีอาระเบีย ในนั้นรวมถึง โอเล็ก เดริปาสกา มหาเศรษฐีชาวรัสเซีย ผู้มีความใกล้ชิดกับประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน

OCCRP ระบุด้วยว่า มอนเตเนโกรก็เป็นอีกหนึ่งแหล่งหลบภัยของมหาเศรษฐีกระเป๋าหนัก ได้มอบสิทธิพำนักอาศัยแก่บุคคลต่างๆ ในนั้น รวมถึง ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ผู้ถูกพิพากษาว่า มีความผิดฐานคอร์รัปชัน หลังหลบหนีออกนอกประเทศในปี 2008 และ โมฮัมเหม็ด ดาห์ลาน อดีตนายกรัฐมนตรีปาเลสไตน์ ซึ่งถูกกล่าวหาฉ้อโกงเงินหลวง

ดังนั้น ต้องถือว่า ทักษิณเป็นผู้บุกเบิกการซื้อพาสปอร์ตของโลกก็ได้

อย่างไรก็ดีการได้มาซึ่งสิทธิดังกล่าวก็ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยนักโทษชายหนีคดีผู้นี้ต้องฝากเงิน 15 ล้านยูโรกับธนาคาร First Bank of Montenegro แลกกับการเป็นชาวมอนเตรเนโก ซึ่งธนาคารนี้เป็นของ Aco Djukanovic น้องชายของนายกรัฐมนตรีมอนเตรเนโกรซึ่งขณะนั้นกำลังมีปัญหาสภาพคล่อง

ขณะเดียวกันสิทธิการเป็นพลเมืองมอนเตรเนโกรของทักษิณ ยังต้องแลกมาด้วย เงินลงทุน 24 ล้านยูโร ซื้อที่ดินขนาดเท่าสนามฟุตบอล 4 สนาม บนเกาะเซ็นต์ นิโคล่า ในปี2017 จาก เพื่อนสนิทของMilo Djukanovic ชื่อ Stanko Cane Subotic ซึ่งกู้เงินจาก First Bank of Montenegro มาซื้อที่ดินผืนนี้ เมื่อปี 2007

องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ และ โกลบอล วิทเนส พบว่า ตลอดช่วง 10 ปีหลังสุด รัฐต่างๆ ของอียูทำเงินจากโครงการวีซ่าทองเกือบ 29,000 ล้านดอลลาร์ โดยสหราชอาณาจักร, สเปน และ โปรตุเกส อยู่ที่ลำดับต้นๆ ของผู้โกยรายได้สูงสุดจากโครงการนี้ ด้วยพวกเขาแต่ละชาติทำการขายวีซ่าแก่บุคคลต่างๆ มากกว่า 10,000 ราย

...หลายปีก่อน มีการพูดกันว่า “ทักษิณ” จะใช้แผน “โลกล้อมประเทศ” ในการเคลื่อนไหวทางการเมือง แถมยังคุยโวโอ้อวดอ้วยว่า แม้ตัวเองจะเข้าประเทศไทยไม่ได้ แต่ก็ไปที่ไหนก็ได้ทั่วโลกในฐานะ “ฝ่ายประชาธิปไตย” แต่กลายเป็นว่า วันนี้โลกของ “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์” รวมถึงบรรดา “ญาติโกโหติกา” ที่กำลังลุ้นระทึกในชะตากรรมของตนเองจนแทบกินไม่ได้นอนไม่หลับกำลัง “แคบลง” เรื่อยๆ

หรือสรุปได้ว่า เมื่อ “จีน” ก็ไม่คบ “ยุโรป” ก็ไม่เอา แถม “ฮุนเซน” ก็ทำตัวเหินห่าง เส้นทางหนี “โกง” ของ “ยิ่งลักษณ์-ทักษิณ” ก็เหลือน้อยลงทุกที.


กำลังโหลดความคิดเห็น