xs
xsm
sm
md
lg

ทุกๆ 2 วันบนโลกนี้ มีเศรษฐีพันล้านเหรียญ 1 คนเกิดขึ้น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: อ.สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร

การประชุม World Economic Forum ที่ดาวอส สวิตเซอร์แลนด์ ปี 2019
เป็นสโมสรของมหาเศรษฐีมั่งคั่งสุดของโลก ที่รับสมาชิกใหม่เข้ากลุ่มในทุกๆ 2 วัน

นั่นคือ จำนวนสินทรัพย์มหาศาลที่พิชิตมาได้ผ่านธุรกิจผูกขาดหรืออำนาจทางการเมือง ทำให้ปีที่เพิ่งหมดไป มีจำนวนเศรษฐีในสโมสรแห่งนี้ถึง 2,208 คน...นับเป็นสถิติใหม่ของโลกที่สำรวจตรวจสอบโดยองค์กร Oxfam...เป็นรายงานที่เปิดเผยออกมาตัดหน้าการประชุมประจำปีของเหล่ามหาเศรษฐี และผู้นำรัฐบาลที่มาร่วมกำหนดทิศทาง และชะตากรรมของเหล่าพลเมืองโลกเกือบ 8,000 ล้านคนขณะนี้

การประชุม World Economic Forum ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จะเริ่มในเดือนแรกของปี เพื่อเน้นทิศทางเศรษฐกิจ (และต้องไม่ทิ้งการเมืองและสังคมด้วย) ที่กำลังเกิดขึ้นบนโลกนี้ ซึ่งผู้มาร่วมประชุมจะเป็นผู้นำธุรกิจและเศรษฐกิจ (ภาครัฐ) ที่มีบทบาทสำคัญสามารถผูกขาด และกำหนดทิศทางการเดินหน้าของโลกมาตลอด ทั้งด้านการเงิน, การคลัง, พลังงาน, เทคโนโลยี, การสื่อสาร, การค้า, การลงทุน, การขนส่ง ไม่เว้นแม้แต่วิทยาศาสตร์ทุกแขนงที่มีต่อชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษยชาติ ทั้งในปีนี้และในอนาคตทั้งใกล้และไกล

Oxfam ถือเป็นหน้าที่รายงานให้เหล่าผู้เข้าประชุม WEF ได้เห็นปัญหาของโลกที่กำลังทวีความรุนแรงมากขึ้นในช่องว่างระหว่างคนรวย คนจนของทั้งโลก สมดังคำกล่าวโบราณที่ว่า คนรวยจะยิ่งมั่งคั่งขึ้น ขณะที่คนจนจะยิ่งจนลง (The Rich Get Richer : The Poor Get Poorer) นั่นหมายถึงปริมาณคนรวยสุดของโลก ที่แต่ละคนจะเพิ่มความมั่งคั่งอย่างรวดเร็วมากขึ้น และหมายถึงการมีจำนวนมหาเศรษฐีพันล้าน (เหรียญ) เพิ่มมากขึ้นจนน่าตกใจในปีที่ผ่านมา

บางคนอาจจะเถียงว่า ก็บรรดามหาเศรษฐีของโลกเหล่านี้ ส่วนใหญ่เขาก็เคยเป็นคนจนมาก่อนทั้งนั้น ก็เป็นความจริงอยู่ แต่ในไม่กี่ปีมานี้ การสร้างตัวของมหาเศรษฐีพันล้านกลับใช้เวลาสั้นๆ กว่าในอดีต แล้วเมื่อเขาเป็นมหาเศรษฐีแล้ว เขาก็จะยิ่งเพิ่มพูนความมั่งคั่งอย่างรวดเร็วกว่าในอดีต จนแทบไม่มีเศรษฐีในสโมสรคนใดตกอันดับหลุดจากสโมสรเลยก็ว่าได้ มีแต่เพิ่มจำนวนขึ้น และมีคนไทยติดใน List นี้หลายคนทีเดียว

Oxfam เรียก เศรษฐีพันล้าน (เหรียญ) นี้ว่าเป็น Mega-Wealth คือรวยล้นแบบไร้เทียมทาน ซึ่งในปีที่ผ่านไป ปรากฏว่ามี 26 คนที่เป็นเจ้าของทรัพย์สินรวมกันทั้งหมดเท่ากับทรัพย์สินรวมของพลเมืองครึ่งหนึ่ง “ของชาวโลก” คือ 3,800 ล้านคน! (ใช้ข้อมูลจาก Forbes) ซึ่งในปี 2017 ต้องใช้สินทรัพย์ของมหาเศรษฐีโลกถึง 43 คนมารวมกัน จึงจะเท่ากับสินทรัพย์ของพลเมืองครึ่งหนึ่งของโลก

แน่นอนว่า คนรวยพันล้านเหรียญ (คือประมาณ 35,000 ล้านบาท) เป็นต้นไป ส่วนใหญ่เป็นมหาเศรษฐีอเมริกัน เช่น Jeff Bezos เจ้าของธุรกิจค้าปลีกคนใหม่ใหญ่สุดของโลก Amazon, หรือ Bill Gates ของ Microsoft, Warren Buffet ของ Berkshire Hathaway’s

บทสรุปของ Oxfam คือ คนรวยมีไม้ค้ำเพื่อช่วยให้เขามั่งคั่งยิ่งขึ้นบนความทุกข์ยากลำบากยิ่งขึ้นของคนจน

การลดภาษีให้คนรวย; ทั้งส่วนบุคคลและกิจการห้างร้านของบริษัทใหญ่โตข้ามโลกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นในสหรัฐฯ ในรัฐบาลของทรัมป์, และในฝรั่งเศส ภายใต้รัฐบาลของมาครง รวมทั้งรัฐบาลอนุรักษ์ของอังกฤษตั้งแต่สมัย เดวิด คาเมรอน เลยมาถึงเทเรซา เมย์ ไม่เพียงลดภาษีให้คนรวยและบริษัทใหญ่ ด้วยหลักการ (ที่เอาไว้หลอกคนจน) ว่าจะเกิด Trickle Down Effect คือ คนรวยและบริษัทยักษ์จะใช้เงินที่ได้จากการไม่ต้องจ่ายภาษีมาก เอาไปจ้างงานเพิ่มหรือลงทุนขยายงานเพิ่ม ซึ่งโจเซฟ สติกลิตส์ และพอล ครุกแมน นักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำของอเมริกาเอง และได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ในอดีตก็ได้ออกมาชี้แล้วว่าไม่เป็นความจริง โดยเฉพาะถ้ารัฐบาลลดภาษีให้คนจน จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจจากการใช้จ่ายของคนจนมากกว่า (จะจ่ายทุกๆ สตางค์ที่รับเข้ามา เพราะผู้มีรายได้น้อยจะมีรายรับแทบไม่พอรายจ่ายอยู่แล้ว) แต่สำหรับคนรวยเขาอาจไม่จ่ายซื้อของหรือ บริษัทจะไม่ขยายงานก็เป็นได้เช่นกัน

ภาษีของคนจนคือ Vat หรือภาษีผู้บริโภคซึ่งทำให้คนจนต้องถูกรีดให้จ่ายในอัตราเท่ากับคนรวยจ่าย เพื่อซื้อสิ่งจำเป็นอุปโภคบริโภคต่างๆ ทั้งอาหาร, ยา, เสื้อผ้า, รองเท้า เป็นต้น

Oxfam เสนอเล่นๆ ว่า เอาแค่คนเพียง 1% ของอภิมหาเศรษฐีเหล่านี้ แล้วรัฐบาลขอจัดเก็บภาษีรายได้ของพวกเขาเพิ่มขึ้นเพียงแค่ 0.5% ก็จะได้เงินเข้ารัฐพอเพียงไปจ่ายค่าการศึกษาเล่าเรียน (ฟรี) ของเด็กๆ จำนวนถึง 262 ล้านคนทั่วโลก และมีเงินเหลือไปรักษาพยาบาลช่วยชีวิตคนยากจนถึง 3.3 ล้านคนทั่วโลก!

แทนที่รัฐบาลจะเพิ่มภาษีรายได้คนรวยแค่ 0.5% แต่รัฐบาลทรัมป์กลับลดภาษีรายได้ให้คนรวยถึง 15%...ทำมา 2 ปีแล้ว!!

ไม่เพียงคนรวยจ่ายภาษีต่ำกว่าคนจนอย่างที่ Warren Buffet (หรือ Buffet’s Rule) ที่ว่า เลขานุการของเขาจ่ายภาษีในอัตราโดยรวมสูงกว่าตัวเขาเสียอีก เพราะเวลาเขาได้กำไรจากการลงทุนในตลาดหุ้น เขาแทบไม่ต้องจ่ายภาษีจากกำไรการลงทุนเลย (อย่างที่เป็นที่ประเทศไทยด้วย) ขณะที่เลขาของเขาต้องจ่ายภาษีรายได้หัก ณ ที่จ่ายตามเงินเดือนของตนทุกๆ ดอลลาร์

แต่รัฐบาลหลายแห่งยังเป็นใจสมคบให้เหล่าอภิมหาเศรษฐี และบริษัทยักษ์ของเขาเหล่านี้ได้มีเกาะแก่งไว้หลบเลี่ยงภาษี คือ เอารายได้ไปแอบไว้ไม่ว่าจะเป็นเกาะบาฮามาส, เกาะเวอร์จิน หรือรัฐบางรัฐ (เช่น Delaware, Nevada) ของสหรัฐฯ เป็นต้น

และรัฐบาล (แกล้งไม่รู้ทัน) ของเหล่าประเทศที่หิวกระหายการลงทุนจากต่างประเทศ ทั้งในเอเชีย (บ้านเราด้วย), อเมริกากลาง-ใต้, แอฟริกา ต่างแข่งขันกันลดภาษีรายได้ (Tax Holidays) ให้แก่บริษัทยักษ์ของอภิมหาเศรษฐีของโลก แล้วยังควักเอาภาษีที่พวกคนจน (แบบพวกเรา) ที่จ่ายผ่านรายได้และการบริโภคของพวกเรา ไปสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานให้แก่พวกเขา ไม่ว่าจะเป็นถนนหนทาง, ทางด่วน, ท่าเรือ, ท่าอากาศยาน, ระบบคมนาคมรถไฟทุกชนิด และระบบสื่อสารโทรคมนาคม ให้แก่บริษัทยักษ์ๆ ของเหล่าอภิมหาเศรษฐีของโลก โดยอ้างการจ้างงาน (ซึ่งมีน้อยมากในปัจจุบัน เพราะใช้ระบบ AI และ Robot มาแทนที่คนงานแล้ว) ในเขตส่งเสริมการลงทุนต่างๆ

เขตส่งเสริมการลงทุนพิเศษนี้แหละ เป็นอีกไม้ค้ำที่ดูดเลือดเนื้อของคนชั้นกลางและคนจนเพื่อไปสร้างอภิมหาเศรษฐีของโลกนั่นเอง

ยังไม่นับการเปิดทางด้วยการจ่ายใต้โต๊ะระหว่างบริษัทข้ามชาติ และอภิมหาเศรษฐีโลกที่จ่ายให้กับข้าราชการชั่วๆ และนักการเมืองผู้บริหารประเทศ เพื่อเปิดทางให้พวกเขาและบริษัทของเขาเข้ามาลงทุนหรือเลี่ยงทำผิดกฎหมายหลายด้าน รวมทั้งการทิ้งสารพิษบนแผ่นดินไทยด้วย แต่กลับสร้างความมั่งคั่งให้แก่อภิมหาเศรษฐีโลกอย่างดี รวมทั้งผู้รับเงินใต้โต๊ะบางคนก็อาจติด List ของอภิมหาเศรษฐีโลกเช่นกัน
กำลังโหลดความคิดเห็น