xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ย้อนรอยมติครม. สั่งฟันขรก.มั่วใช้รถหลวง เหตุใด?? ต้องถึงขั้น "ไล่ออก ปลดออก"

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ช่วงต้นปีใหม่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ยกข้อสังเกตกรณี "ข้าราชการบางหน่วยงานนำรถยนต์ส่วนกลาง ไปใช้เสมือนเป็นรถประจำตำแหน่ง ให้ถือว่ามีความผิดวินัยร้ายแรง" แจ้งครม. ต่อมามี มติ ครม. (8 ม.ค.62) ให้ กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย และสำนักงาน ก.พ.ร. นำข้อสังเกตการใช้รถยนต์ส่วนกลาง เวียนไปยังรัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และองค์กรมหาชนด้วย หลังจากที่ข้อสังเกตนี้ไม่ได้บังคับใช้กับหน่วยงานข้างต้น 

กรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. ย้ำว่า "จะต้องถูกลงโทษสถานหนัก คือไล่ออก ปลดออก" ซึ่งได้กำชับไปแล้ว และขอเตือนทุกส่วนราชการ

เรื่องนี้มีความเป็นมาอย่างไร ย้อนกลับไป ตั้งแต่ ก.ย.59 ที่ ป.ป.ช. ได้รับเรื่องร้องเรียนว่าข้าราชการบางหน่วยงาน ซึ่งมิได้ดำรงตำแหน่งที่ราชการจัดหารถประจำตำแหน่งให้ ได้นำรถยนต์ส่วนกลางไปใช้ เสมือนเป็นรถประจำตำแหน่ง แถมเบิกจ่ายค่าน้ำมันเชื้อเพลิง จากทางราชการ

ต่อมา ป.ป.ช. มีข้อสังเกต เมื่อ 19 ก.ย.59 มายังสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้รักษาการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยรถราชการ พ.ศ. 2523 (ระเบียบตั้งแต่สมัยรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์) และที่แก้ไขเพิ่มเติม เช่น ฉบับที่ 2 ปี 2530 ฉบับที่ 3 ปี 2535 ฉบับที่ 4 ปี 2538 ฉบับที่ 5 ปี 2541 และฉบับที่ 5 ปี 2545 ให้กำกับดูแล ควบคุม และตรวจสอบ 
 
กรณีทั้งหมดทั้งมวลนี้ "ข้าราชการผู้ใดที่มิได้ดำรงตำแหน่งที่มีรถประจำตำแหน่ง จะนำรถส่วนกลางไปใช้ เสมือนเป็นรถประจำตำแหน่งมิได้" และ ข้าราชการผู้ใดกระทำการดังกล่าว "ให้ถือว่ามีความผิดวินัยร้ายแรง"ด้วย

ขณะที่ สำนักนายกรัฐมนตรี มีหนังสือแจ้งข้อสังเกตกลับไปยัง สำนักงานป.ป.ช. ว่า ได้แจ้งเวียนซักซ้อมความเข้าใจแนวทางปฏิบัติ พบว่าตามระเบียบ ปี 2523 อาจเปิดช่องให้มีการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการใช้รถราชการ และการเก็บรักษารถราชการ โดยได้แจ้งเวียน ไปยังส่วนราชการต่างๆ ที่อยู่ในบังคับระเบียบฯ ทราบ และถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดแล้ว

อย่างไรก็ตาม กรณีของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยรถราชการ พ.ศ. 2534 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ที่ใช้บังคับแก่ส่วนราชการระดับกระทรวง ทบวง กรม สำนักงาน หรือ หน่วยงานอื่นใดของรัฐ ทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค หรือในต่างประเทศ แต่ไม่คมบคุมรวมถึงรัฐวิสาหกิจ หน่วยงานตามกฎหมาย ว่าด้วยระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น หรือ หน่วยงานอื่น ซึ่งมีกฎหมายบัญญัติให้มีฐานะเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่น ซึ่งมีกฎหมาย ระเบียบ หรือข้อบังคับ เกี่ยวกับรถราชการกำหนดขึ้นใช้บังคับเองเป็นการเฉพาะ

ในคราวนั้น “นางพัชราภรณ์ อินทรียงค์”ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (ปลัดฯ คนปัจจุบัน) ที่ขณะนั้น ยังดำรงตำแหน่ง รอง ปลัดสปน. ได้ลงนามใน “สรุปรายงานผลดำเนินงานการเร่งรัดติดตามหน่วยงานของรัฐที่เกิดกรณีเงินขาดบัญชีหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐทุจริต ให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับหรือมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด”ประจำปีงบประมาณ 2560

ได้หยิบยกมาเผยแพร่ คือ "การใช้รถยนต์ส่วนกลางเป็นพาหนะไป-กลับ ระหว่างบ้านพักกับที่ทำงานได้หรือไม่”โดยตัวอย่างว่า “ข้าราชการหน่วยงานของรัฐแห่งหนึ่งได้นำรถยนต์ส่วนกลาง ซึ่งเป็นรถที่มีไว้เพื่อกิจการอันเป็นส่วนรวมของหน่วยงานไปใช้ในลักษณะรถประจำตำแหน่ง”โดยข้าราชการหน่วยงานของรัฐ จะโทรศัพท์สั่งการพนักงานขับรถโดยตรง และให้พนักงานขับรถ เป็นผู้เก็บกุญแจรถไว้ และยังให้พนักงานขับรถนำรถยนต์ดังกล่าวไป รับ-ส่ง ตนเองระหว่างบ้านพักกับหน่วยงานในช่วงเช้า และเย็นด้วย โดยไม่มีการจัดทำเอกสารควบคุมการใช้รถตามระเบียบทางราชการ

ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่า ใช้รถเพื่องานราชการ หรือไม่ หรือเมื่อเสร็จสิ้นการใช้งานในแต่ละวันได้นำรถมาเก็บรักษาที่โรงเก็บรถภายในหน่วยงานหรือไม่

กรณีนี้ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ชี้มูลว่า เป็นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยรถราชการ พ.ศ.2523 กระทำการทุจริตและใช้อำนาจหน้าที่มิโดยชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่เงิน หรือทรัพย์สินของทางราชการ โดยอาศัยโอกาสที่ตนมีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาอนุญาตใช้รถยนต์ส่วนกลาง แต่กลับนำรถยนต์ไปใช้ในลักษณะที่เป็นรถประจำส่วนตัว

การใช้รถยนต์ไป-กลับ ที่พักเป็นประจำส่วนตัว แม้จะมีระยะทางสั้นๆ หรือใช้รถยนต์ไปในสถานที่อื่นๆ เช่น ไปรับประทานอาหารกลางวันหรือไปทำธุระส่วนตัว ก็ถือว่าเป็นการใช้รถยนต์ที่ไม่เป็นไปตามระเบียบของทางราชการ และเป็นการกระทำ การทุจริต ซึ่งจะต้องถูกดำเนินการทางอาญาและทางวินัย

นอกจากคนใช้รถยนต์จะมีความผิดแล้ว เจ้าหน้าที่ฝ่ายพัสดุ เจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน และผู้อนุมัติเบิกจ่ายค่าน้ำมัน ก็จะถูกดำเนินการทางวินัยด้วย รวมทั้งเรียกเงินค่าน้ำมันทั้งหมดคืนราชการ
 
ดังนั้น การใช้รถยนต์ส่วนกลาง ต้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์ที่ทางราชการกำหนดไว้ ไม่ควรใช้ในลักษณะที่เป็นการส่วนตัว และหากมีความจำเป็นที่จะใช้นอกเหนือจากภารกิจที่ได้รับมอบหมายนั้น ก็ควรจะได้รับอนุญาตเป็นหนังสือก่อน เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายในภายหน้า

เป็นเรื่องล่อแหลมที่มีการกระทำกันแทบทุกหน่วยงานด้วยความเคยชินโดยคิดกันเองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย

ต่อมาที่ประชุมใหญ่ "คณะกรรมการ ป.ป.ช." 28 ส.ค.61 พิจารณาว่า กรณีระเบียบสำนักนายกฯ ปี 2534 นั้น มีความหลากหลาย และมีรายละเอียดแตกต่างกัน ประกอบกับ เมื่อศึกษาเปรียบเทียบระหว่างระเบียบ ปี 2523 และที่แกัไขเพิ่มเติม กับระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการใช้และรักษารถยนต์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2548 พบว่า ระเบียบฯ กฎหมายทั้ง 2 ฉบับ มีเนื้อหา ที่คล้ายคลึงกัน "ยกเว้นการกำหนดบทลงโทษ" ซึ่งระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี มีการระบุไว้อย่างชัดเจนว่า
 
"ผู้ใด กระทำการโดยจงใจ หรือประมาทเลินเล่อ ไม่ปฏิบัติตามระเบียบนี้ หรือกระทำการโดยมีเจตนาทุจริต หรือ ปราศจากอำนาจ หรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่ ถือว่าผู้นั้นกระทำผิดวินัยตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น หรือตามกฎหมายเฉพาะชองส่วนราชการนั้น" ขณะที่ระเบียบกระทรวงมหาดไทยฯ ไม่มีการบัญญัติบทลงโทษไว้แต่อย่างใด

เรื่องนี้ คณะกรรมการป.ป.ช. จึงอาศัยอำนาจตาม มาตรา 32 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 แจ้งข้อสังเกตของคณะกรรมการป.ป.ช. เกี่ยวกับการใช้รถส่วนกลางเสมือนรถประจำตำแหน่งไปยังครม. เพื่อให้ครม. สั่งการให้รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนฟ้องถิ่น และองค์การมหาชน ปฏิบัติตามข้อสังเกตนี้โดยเคร่งครัด

ประเด็นนี้ "สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา" ให้ข้อสังเกตไว้ว่า กรณีที่หากเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใด นำรถส่วนกลางไปใช้เสมือน เป็นรถประจำตำแหน่งให้ถือว่ามีความผิดวินัยร้ายแรง นั้น
 
"สมควรให้เป็นดุลพินิจของหน่วยงานแต่ละแห่ง ในการพิจารณาปรับปรุงระเบียบว่าด้วยการพรถยนต์ที่อยู่ในความรับผิดขอบของตน โดยให้คำนึงถึงความสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ เกี่ยวกับการลงโทษทางวินัยของหน่วยงานนั้นด้วย”

จริง ๆ แล้ว ประเด็นการใช้รถราชการเสมือนรถประจำตำแหน่ง ใน อปท. ผู้บริหารระดับสูงของ อปท. หลายราย เคยถูกสอบสวนมาแล้ว ร้ายแรงที่สุด คือ ถูกรมว.มหาดไทย มีคำสั่งปลดออกจากตำแหน่ง

ป.ป.ช. ระบุในเว็บไซต์ ว่า กรณีผู้บริหาร อปท. นั้นอยู่ในระหว่าง "ไต่สวนข้อเท็จจริง" จำนวนมาก ทั้งกรณีใช้ รถรถยนต์เก๋ง (จอดทิ้งไว้ที่บ้านพัก) รถบรรทุกขนาดใหญ่ (นำไปขนดินส่วนตัว) รถขนน้ำ รถจักรยานยนต์ (นำไปให้คนในครอบครัวใช้) รวมไปถึงเครื่องจักรกลทางการเกษตร มีการเบิกจ่ายค่าเบี้ยเลี้ยงพนักงานขับรถยนต์ เบิกค่าเบี้ยเลี้ยงของตนเอง โดยมิชอบ

ที่สังเกตทุกกรณี มีการ"เบิกค่าซ่อมแซม และค่าน้ำมันเชื้อเพลิง" พ่วงไปด้วย แถมบางแห่ง รถที่นำไปใช้เกิดอุบัติเหตุ และปกปิดความผิด ทำให้เกิดความเสียหายกับทางราชการ

มีหลายคดี ที่ถูกกล่าวหามากว่า 10 ปี แต่จนถึงปัจจุบัน ยังไม่ปรากฏข้อมูลชัดเจนว่าถูกชี้มูลกระทำความผิดเรื่องเหล่านี้จริงตามที่ถูกกล่าวหาหรือไม่ ?

แต่น่า จะมีแค่คดีเดียวที่มีการพิจารณาและตัดสินในชั้นศาล และล่าสุดคาดว่า กำลังอยู่ในขั้นยื่นอุทธรณ์ ฎีกา ก็คือ คดีที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค 6 พิพากษา กรณีอดีต ผอ.สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดเพชรบูรณ์ ที่ย้ายไป จ.พิจิตร มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 โดยพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 151 ลงโทษจำคุก 5 ปี

เป็นที่น่าสังเกตว่า กรณีที่เกิดขึ้น ส่วนใหญ่อยู่ในต่างจังหวัด.




กำลังโหลดความคิดเห็น