xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

กรอบคิด ข้อเท็จจริงและเหตุผลกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

"ปัญญาพลวัตร"
"พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"

ศาสตราจารย์จอร์จ เลคอฟฟ์* นักวิทยาศาสตร์ด้านศาสตร์แห่งพุทธิปัญญาหรือการรู้คิด (cognitive science)ของมนุษย์ชาวสหรัฐอเมริกาผู้ศึกษาเกี่ยวกับกระบวนวิธีคิดของมนุษย์ พบว่า มนุษย์มีวิธีคิดหลากหลายรูปแบบ ซึ่งเกิดขึ้นและดำรงอยู่ทั้งในระดับจิตสำนึกหรือรู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ กับระดับจิตไร้สำนึกหรือไม่ตระหนักรู้ว่าตนเองกำลังคิดอะไรอยู่ บรรดาวิธีคิดเหล่านี้ก่อรูปเป็นกรอบคิด (frame) ในสมองของมนุษย์ และเป็นสิ่งสำคัญต่อการกำหนดการกระทำทางสังคมและการเมืองของพวกเขา

กรอบคิดเป็นโครงสร้างทางจิตที่กำหนดวิธีการรับรู้และเข้าใจโลกและสังคม ทำให้เรานิยามให้ความหมาย จัดกลุ่มจำแนกประเภท เปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่าง ให้เหตุผล อธิบายเชื่อมโยงความสัมพันธ์และสาเหตุ จัดลำดับความสำคัญ กำหนดเป้าหมาย นโยบายและยุทธศาสตร์ กำหนดวิธีการปฏิบัติ การจัดตั้งองค์การหรือสถาบันทางสังคม และประเมินผลลัพธ์ที่ได้จากการกระทำว่าจะส่งผลดีหรือผลเสียอย่างไรบ้าง

กรอบคิดแต่ละชุดจะมีแนวทางการปฏิบัติอยู่ชุดหนึ่งที่สอดคล้องกัน การเปลี่ยนกรอบคิดจึงนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงนโยบายและวิธีการปฏิบัติ รวมทั้งผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นตามมาด้วย ในแง่นี้การเปลี่ยนกรอบคิดจึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสังคมและการเมือง

ศาสตราจารย์จอร์จ เลคอฟฟ์ อธิบายว่า กรอบคิดเป็นนามธรรมที่เราไม่อาจเห็นหรือได้ยินด้วยประสาทสัมผัส เพราะกรอบคิดส่วนใหญ่ฝังตรึงในจิตไร้สำนึกของมนุษย์ แต่เราสามารถรู้ถึงการดำรงอยู่ของกรอบคิดในรูปของ “สามัญสำนึก” (common sense) การใช้ภาษา และการใช้คำศัพท์ที่สัมพันธ์เชื่อมโยงกับกรอบคิด เมื่อเราได้ยินคำศัพท์ใด กรอบคิดของคำนั้นที่ฝังตรึงอยู่ในสมองของเราก็จะปรากฎขึ้นอย่างอัตโนมัติ เช่น หากมีคนบอกเราว่า อย่าคิดถึงนายกรัฐมนตรี ภาพของคนที่เป็นนายกรัฐมนตรีก็จะปรากฏขึ้นในจิตของเรา หรือ หากเราได้รับการบอกว่า อย่าคิดถึงการเลือกตั้ง ภาพของการเลือกตั้งก็จะผุดขึ้นมาในความคิดของเรา

ดังนั้นยิ่งปฏิเสธกรอบคิดใด ก็ยิ่งทำให้กรอบคิดนั้นทำงานมากขึ้น และมีความมั่นคงมากขึ้นด้วย ดังเช่น หากใครพยายามบอกว่า อย่าคิดถึงเสรีภาพ หรือ อย่าคิดเรื่องการเลือกตั้ง สิ่งจะเกิดขึ้นตามมาคือผู้คนจะคิดถึงเรื่องเสรีภาพและการเลือกตั้งมากขึ้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง ยิ่งมีการใช้คำหรือภาษาที่อยู่ภายใต้กรอบคิดชุดใด ก็ยิ่งทำให้กรอบคิดชุดนั้นมีความหนักแน่นยิ่งขึ้นนั่นเอง

การปรับกรอบคิดจึงมีความเชื่อมโยงกับการปรับเปลี่ยนภาษา หากเราต้องการสร้างกรอบคิดใหม่ เราก็จำเป็นต้องใช้ภาษาชุดใหม่ที่เชื่อมโยงกับกรอบคิดใหม่ และต้องกระทำให้ภาษานั้นเป็นวาทกรรมสาธารณะโดยเผยแพร่และผลิตซ้ำอย่างกว้างขวาง ผ่านช่องทางการสื่อสารที่หลากหลายอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เกิดประสิทธิผล อย่างไรก็ตาม การปรับกรอบคิดไม่ใช่เป็นที่กระทำได้ง่ายนัก ไม่สามารถทำได้โดยการใช้คำขวัญ หรือการสรรหาถ้อยคำที่แปลกใหม่มาใช้ชั่วครั้งชั่วคราวในลักษณะที่เป็นแฟชั่น

ยิ่งกว่านั้น การเปลี่ยนกรอบคิดก็ไม่อาจกระทำให้สำเร็จเพียงการใช้ข้อเท็จจริงและเหตุผล อันที่จริงข้อเท็จจริงและเหตุผลมีพลังในการสร้างการเปลี่ยนแปลงกรอบคิดได้ต่ำมาก ยิ่งข้อเท็จจริงใดขัดแย้งหรือไม่ลงรอยกับกรอบคิด คนก็มีแนวโน้มที่จะยึดมั่นกรอบคิดมากกว่าข้อเท็จจริง สิ่งที่ตามมาคือข้อเท็จจริงที่ขัดแย้งกับกรอบคิดจะถูกละเลย ท้าทาย ปฏิเสธ และปัดทิ้งไป ความจริงจะถูกยอมรับได้ก็ต่อเมื่อมันสอดคล้องหรือสนับสนุนกรอบคิดเท่านั้น

ความเชื่ออย่างหนึ่งที่ว่า ความจริงหรือข้อเท็จจริงจะปลดปล่อยมนุษย์เป็นอิสระจากความมืดบอดทางปัญญา ขอเพียงมนุษย์ล่วงรู้ข้อเท็จจริง พวกเขาก็สามารถสรุปได้ว่าอะไรควรปรับเปลี่ยนบ้าง เพราะมนุษย์มีเหตุผลเป็นรากฐาน แต่ศาสตราจารย์ลาคอฟฟ์ชี้ว่าความเชื่อนี้เป็นมายาคติ จากผลการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์แห่งการรู้คิด ช่วยให้เรารู้ว่ามนุษย์มิได้มีวิธีคิดเช่นนั้น หากแต่มนุษย์คิดภายใต้กรอบคิด ดังนั้นสิ่งใดที่ขัดแย้งกับกรอบคิด สิ่งนั้นจะถูกขจัดออกไป

เหตุผลที่ศาสตราจารย์ลาคอฟฟ์ อธิบายคือ มโนทัศน์หรือแนวความคิดแต่ละแบบที่กำหนดการคิดนั้นดำรงอยู่ในจุดประสานประสาทในสมองที่เรียกว่า ไซแนปส์ การบอกเพียงข้อมูลข้อเท็จจริงไม่อาจเปลี่ยนมโนทัศน์ได้ เช่น การบอกข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการทุจริตของนักการเมืองบางคน ไม่อาจเปลี่ยนมโนทัศน์ที่คนจำนวนหนึ่งมีต่อนักการเมืองผู้นั้นได้ คนจะเข้าใจข้อเท็จจริงก็ต่อเมื่อสิ่งนั้นสอดคล้องกับสิ่งที่อยู่ในไซแนปส์ ปฏิกิริยาของคนที่ได้รับการบอกข้อเท็จจริงที่แตกต่างจากกรอบคิดของเขาคือ การวิจารณ์ข้อเท็จจริงเหล่านั้นว่าไม่จริงหรือไร้เหตุผล หรือไร้สาระ การต่อสู้กับกลุ่มคนที่มีกรอบคิดแตกต่างกันด้วยข้อเท็จจริงจึงมักไม่เกิดมรรคผลอะไรขึ้นมา เพราะคนเหล่านั้นไม่มีกรอบคิดที่จะทำให้ข้อเท็จจริงที่แตกต่างจากกรอบคิดของเขาเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลขึ้นมาได้

นอกจากมายาคติที่ว่า มนุษย์มีเหตุผลเป็นพื้นฐานของการคิดและการกระทำแล้ว มีมายาคติอีกอย่างที่ตกทอดจากนักปรัชญาบางกลุ่มในยุคเรืองปัญญา นั่นคือ ความเชื่อที่ว่า “การทำเรื่องที่ขัดแย้งกับผลประโยชน์ส่วนตน ถือว่าเป็นเรื่องไร้เหตุผล” ความมีเหตุผลจึงมีนัยว่า เป็นการกระทำที่อิงกับประโยชน์ส่วนตนเองเท่านั้น สำหรับการเมืองไทยความเชื่อเชิงมายาคติอย่างหนึ่งที่มีการเผยแพร่ในสาธารณะคือ ความเชื่อที่ว่า ชาวบ้านลงคะแนนเลือกผู้สมัคร ส.ส. ที่ซื้อเสียงเป็นการกระทำที่มีเหตุผล เพราะสิ่งที่ชาวบ้านทำอิงกับประโยชน์ของตนเอง

ในปัจจุบันมีนักวิทยาศาสตร์แห่งการรู้คิดจำนวนมากเสนองานวิจัยที่ท้าทายมายาคติดังกล่าว และชี้ว่าคนจำนวนมากมิได้มีวิธีคิดที่อิงอยู่กับประโยชน์ส่วนตนเป็นหลัก ศาสตราจารย์ลาคอฟฟ์ชี้ว่า ในการเลือกตั้ง คนจำนวนมากมิได้ลงคะแนนเสียงเพราะคาดว่าตนเองจะได้รับผลประโยชน์ทางวัตถุ หากแต่ลงคะแนนเสียงเพื่อประกาศและยืนยันอัตลักษณ์ เพื่อคุณค่าทางศีลธรรมบางอย่างที่ตนเองยึดถือ หรือเพื่อตอกย้ำความผูกพันทางจิตกับบุคคลที่พวกเขารู้สึกว่าเป็นพวกเดียวกับตนเอง

แต่ไม่ใช่ว่ามนุษย์จะเพิกเลยหรือละเลยการกระทำที่เป็นประโยชน์ส่วนตนเสียทั้งหมด เพียงแต่ในบางสถานการณ์มนุษย์อาจกระทำสิ่งใดๆ ด้วยเหตุผลชุดอื่น และหากการกระทำใดก็ตามที่ผู้กระทำได้ทั้งประโยชน์ส่วนตน และสอดคล้องกับอัตลักษณ์หรือความรู้สึกร่วมด้วยแล้ว โอกาสที่การกระทำแบบนั้นจะเกิดขึ้นก็ย่อมมีสูงยิ่ง

ศาสตราจารย์ลาคอฟฟ์ยังชี้ให้เห็นถึงมายาคติอีกประการ นั่นคือความคิดที่ว่า “การรณรงค์ทางการเมืองคือการตลาด” ซึ่งมีหลักคิดในการมองว่า “ผู้สมัครคือสินค้า” บุคลิก และจุดยืนของผู้สมัครในประเด็นต่างๆคือคุณลักษณะของสินค้า หลักคิดแบบนี้นำไปสู่ การนำผลสำรวจความคิดเห็นมากำหนดประเด็นการหาเสียงของพรรคและนักการเมือง ประเด็นใดที่ได้รับการระบุด้วยเปอร์เซ็นที่สูงเป็นลำดับต้นๆ มักจะถูกใช้เป็นประเด็นหลักในการหาเสียง การทำแบบนี้ ศาสตราจารย์ลาคอฟฟ์ระบุว่า เป็นกลยุทธ์ที่ไม่ได้ผล แม้อาจจะมีประโยชน์อยู่บ้างก็ตาม กลยุทธ์ที่ได้ผลในสายตาของ ศ. ลาคอฟฟ์ คือ การพูดและตอกย้ำในเรื่องอุดมการณ์ ความเชื่อและค่านิยมที่สอดคล้องกับกรอบคิดทางการเมืองของผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง

เครื่องมือทางภาษาที่ใช้ในการวางกรอบคิดใหม่ หรือการปรับกรอบคิดได้อย่างมีพลังต่อการสร้างการเปลี่ยนแปลงคือ การใช้อุปลักษณ์ (metaphor) ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบสิ่งหนึ่งกับอีกสิ่งหนึ่งที่สังคมรู้จักและเข้าใจเป็นอย่างดี เพื่อให้เกิดภาพที่ชัดเจนขึ้นในจิต โดยการนำลักษณะสำคัญของสิ่งที่ต้องการมาเทียบกันทันทีโดยไม่จำเป็นต้องมีคำเชื่อมโยง หรือ ถ้าหากว่าจำเป็นต้องมีคำเชื่อมโยงก็ใช้คำว่า “เป็น” หรือ “คือ”

กรณีการใช้อุปลักษณ์โดยไม่ใช้คำเชื่อมโยง เช่น “พรรคมาร” “พรรคเทพ” “รวยกระจุก จนกระจาย” “พลังงานสกปรก” “อากาศฆาตกร” “สวรรค์ของนายทุน นรกของประชาชน” เป็นต้น สำหรับกรณีที่ใช้คำว่า “เป็น” หรือ “คือ” เชื่อมโยง เช่น การเลือกตั้งคือสงครามชิงอำนาจ การขายเสียงคือการขายชาติ รัฐบาลคืออสุรกายที่จำเป็น ครูเป็นแม่พิมพ์ของชาติ การคอรัปชั่นคือมะเร็งของสังคม ถ่านหินเป็นพลังงานสกปรก เป็นต้น

หากเราต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมือง การรู้และเข้าใจเกี่ยวกับกรอบคิดรากฐานของตนเอง และกรอบคิดรากฐานที่เกี่ยวกับสังคมและการเมืองของคนในสังคมการเมืองนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง เพราะการใช้เพียงข้อเท็จจริงและเหตุผลแม้ว่ามีความจำเป็นอยู่ระดับหนึ่ง แต่ไม่มีพลังเพียงพอในการสร้างการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อมีการปรับเปลี่ยนกรอบคิด ซึ่งกระทำโดยการวางกรอบคิดใหม่ ด้วยภาษาแบบใหม่ วาทกรรมใหม่ และการใช้อุปลักษณ์อย่างเป็นระบบนั่นเอง

*ผู้ที่สนใจเกี่ยวกับกรอบคิดทางการเมืองและการวางกรอบคิดทางการเมือง อ่านเพิ่มเติมได้ในหนังสือชื่อ “ The All New Don’t Think of an Elephant: Know Your Values and Frame the Debates” เขียนโดย George Lakoff และ แปลเป็นภาษาไทยใช้ชื่อว่า “อย่าคิดถึงช้าง: คู่มือการสร้างการเมืองใหม่ผ่านการวางกรอบคิดและวาทกรรมสาธารณะ” โดย ฐณฐ จินดานนท์ พิมพ์โดยสำนักพิมพ์ openworlds, กุมภาพันธ์ 2561


กำลังโหลดความคิดเห็น