xs
xsm
sm
md
lg

ทรัมป์คำราม- จะประกาศภาวะฉุกเฉินก็ได้นะ

เผยแพร่:   โดย: อ.สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา
ถ้าเป็นประเทศไทยหรือหลายๆ ประเทศในแอฟริกา การประกาศภาวะฉุกเฉินทางการเมืองนับเป็นเรื่องธรรมดามาก อย่างของไทยนี่ ถ้านับจากปี 2475 เป็นต้นมา การประกาศภาวะฉุกเฉินทางการเมืองน่าจะมีความถี่มากกว่าการประกาศกฎอัยการศึก หรือการปฏิวัติรัฐประหาร เพราะการประกาศภาวะฉุกเฉินเป็นขั้นตอนน้องๆ เบื้องต้น ก่อนจะตามมาด้วยการประกาศกฎอัยการศึก และท้ายสุดคือ การทำรัฐประหาร

อย่างที่สหรัฐฯ นั้น แทบจะนับครั้งได้ที่จะมีการประกาศภาวะฉุกเฉิน แม้เวลาที่บางมลรัฐเผชิญภัยพิบัติร้ายแรงชนิดเฮอริเคน หรือแผ่นดินไหวใหญ่ๆ อย่างมากก็จะประกาศเป็นเขตภัยพิบัติ (Disaster Area) เพื่อจะได้รับงบประมาณฉุกเฉินมาช่วยด่วนจากรัฐบาลกลาง, รวมทั้งจะได้กองกำลังรักษาดินแดน (National Guards) มาระดมช่วยประชาชนในเขตภัยพิบัติ; ส่วนใหญ่เขาจะทำหลังพายุถล่มแล้ว จนเกิดความเสียหายแล้วจะมาตั้งเสาไฟฟ้าใหม่ หรือช่วยประชาชนที่ลอยคอหรืออพยพอยู่บนหลังคาเมื่อเจอพายุ และ Storm Surge; ถ้าก่อนพายุถล่ม เขาจะไม่ส่งกองกำลังมากมายหรือเงินมาจากรัฐบาลกลาง เพราะรัฐบาลท้องถิ่นจะมีงบฉุกเฉินพอควรที่จะช่วยตัวเองได้ แต่เขาจะประกาศเตือนผู้คนให้อพยพออกจากพื้นที่ที่กำลังจะถูกพายุถล่ม...นี่รวมถึงไฟป่าที่รัฐแคลิฟอร์เนียด้วย

สำหรับการประกาศภาวะฉุกเฉินนั้น ส่วนใหญ่เป็นประเด็นด้านความมั่นคงทางการเมือง เช่น การปะทะกันระหว่างคนผิวขาวกับคนผิวดำ ที่รัฐทางตอนใต้ทั้งในยุค 1960’s และช่วงปลายของรัฐบาลโอบามา; สมัยต่อต้านสงครามเวียดนาม และสมัยที่ดร.มาร์ติน ลูเธอร์ คิงส์ นำเดินขบวนอย่างสงบที่รัฐอลาบามา รวมทั้งช่วง 9-1-1; และที่รัฐแคลิฟอร์เนียที่เมืองแอลเอ ก็เคยมีการประท้วงตำรวจของชาวผิวดำ และชาวเกาหลีที่มีการสวมรอยและเกินกว่าจะควบคุมได้ ถึงกับมีการปล้นสะดมร้านค้าและจุดไฟเผาร้านค้า และรถยนต์ตำรวจ เป็นต้น การประกาศภาวะฉุกเฉินจะเป็นอำนาจของประธานาธิบดี และสามารถประกาศห้ามออกนอกบ้านยามวิกาลด้วย เพื่อให้ทางการตรวจตราได้สะดวก และป้องกันการขยายตัวทางฝ่ายก่อการร้าย

สำหรับปธน.ทรัมป์ เขาเหลือเวลาน้อยมากหลังการเลือกตั้งกลางเทอมเมื่อ 6 พฤศจิกา เพราะสภาล่างใหม่ที่จะเริ่มสาบานตนเข้าทำหน้าที่ในวันที่ 3 มกราคมนี้ ทำให้ทรัมป์เร่งเครื่องเพื่อสร้างคะแนนกับฐานเสียงเดิมของเขา-ที่ได้ส่งให้เขาได้เข้ามาทำเนียบขาว-และเขาหวังว่าฐานเสียงเดิมที่เป็นชายและหญิงผิวขาวส่วนใหญ่ที่อยู่ทางตอนกลางของประเทศสหรัฐฯ-จะช่วยส่งเขากลับเข้ามาในทำเนียบขาวในวาระที่ 2 ในปี 2020 นี้

ดังนั้น เขาก็เลยตั้งแง่ว่า งบประมาณที่จะผ่านสภา และนำมาให้เขาลงนามในช่วงกลางธันวา 2018 นั้น จะต้องตั้งงบที่เขาบอกว่า เป็นงบที่จำเป็นมาก และเขาได้หาเสียงเอาไว้ตั้งแต่ประกาศตัวสมัคร คือ ต้องสร้างกำแพง (แบบกำแพงเมืองจีน) ที่แน่นหนา แข็งแรง และสูงเป็น 10 เมตรทีเดียว ไม่สร้างรั้วโปร่งๆ แบบลวดหนามหรือท่อเหล็กที่สร้างติดต่อกัน เพราะกำแพงนี้จะทำหน้าที่ป้องกันการลักลอบหนีเข้าเมืองจากทางตอนใต้ของสหรัฐฯ ผ่านทางเม็กซิโก ขนาดเขาพูดเป็นตุเป็นตะว่า รัฐบาลเม็กซิโกต้องเป็นคนจ่ายเงินค่ากำแพงนี้ โดยเขาจะหักจากเงินมหาศาลที่เม็กซิโกได้เปรียบดุลการค้าจากสหรัฐฯ

จริงๆ งบประมาณการสร้างรั้วกั้นเขตแดนทางใต้ของสหรัฐฯ นั้น มีอยู่ในงบประจำปีอยู่แล้ว ทั้งด้านการสร้างต่อเติมรั้ว (ไม่ใช่กำแพง) และการบำรุงรักษารั้วที่บุบสลายลง รวมทั้งงบเพื่อจ่ายหน่วยงานตรวจตราเขตพรมแดน (Border Patrol Police) และศูนย์กักกันผู้อพยพเข้าพรมแดนอเมริกาอย่างผิดกฎหมาย (เพื่อรอการสอบสวนว่า อาจอยู่ในข่ายปลอดภัยพอที่จะอนุญาตให้เข้ามาทำงานในสหรัฐฯ แบบชั่วคราวได้ หรือถ้ามีประวัติอาชญากร-ก็จะส่งกลับ เป็นต้น) จำนวนผู้ได้รับอนุญาตให้สามารถเข้าเมืองได้ในแต่ละปี (รวมทั้งการจับสลากลอตเตอรี่เข้าเมือง) จะเหยียบแสน เพื่อมาเป็นคนงานระดับล่างที่ทำงานที่คนผิวขาวไม่ทำ ไม่ว่าจะทำความสะอาดห้องน้ำ, เช็ดกระจกในตึกสูง รวมทั้งภาคเกษตรที่ปลูกและเก็บผัก ผลไม้ ยังไม่รวมกลุ่มด้านวิชาชีพทางไอที, นักแสดงที่เข้ามาทำงานในอเมริกาอย่างถูกกฎหมาย

วันที่ 21 ธันวาเป็นวันที่เริ่ม Shutdown เพราะปธน.ทรัมป์ ไม่ยอมลงนามในกฎหมายงบประมาณที่ได้ผ่านทั้ง 2 สภาแล้ว ซึ่งจะมีงบด้านรักษาเขตแดนที่ติดกับเม็กซิโกเพียงเล็กน้อย แต่ทรัมป์บอกเขาต้องการ 5,000 ล้านเหรียญ เพื่อสร้างกำแพงและการเจรจายืดเยื้อมาสู่อาทิตย์ที่ 3 ในต้นเดือนมกรานี้ โดยทั้งปธน.ทรัมป์และสภาล่าง (นำโดยพรรคเดโมแครต) ต่างไม่ยอมกันแม้แต่น้อย ขนาดทรัมป์ส่งรองปธน.ไปเจรจาถึง 2 รอบ ก็ไม่มีอะไรคืบหน้า

วันศุกร์ที่ 4 มกรา เป็นวันที่ทรัมป์งัดคำขู่ร้ายแรงออกมาว่า ถ้าสภาล่าง (โดยพรรคเดโมแครต) ยังไม่ยอมให้งบสร้างกำแพงแก่เขา-ซึ่งตัวเลขดิ้นไปดิ้นมา จาก 5,000 เหลือ 2,600 เหลือ 1,300-เขาจะประกาศภาวะฉุกเฉินในอำนาจปธน. ซึ่งสามารถนำงบฉุกเฉินด้านการทหารออกมาใช้ได้ 5,000 ล้านเหรียญ โดยเขาอ้างว่า เหตุการณ์ที่ชายแดนใต้อยู่ในภาวะวิกฤต มีผู้ก่อการร้าย (เช่น พวก ISIS แฝงตัวเข้ามา-นอกเหนือจากพวกอาชญากรและนักข่มขืนจากอเมริกากลาง อเมริกาใต้-ซึ่งเขาได้ปูพื้นเอาไว้ก่อนหน้าแล้วว่า เป็นพวกผู้อพยพอันตรายที่จะเข้ามา invade หรือครอบครองแผ่นดินอเมริกา!) เข้ามาเป็นเรือนแสน ทั้งๆ ที่ตัวเลขอย่างเป็นทางการของผู้อพยพอยู่อย่างผิดกฎหมายจะผ่านเข้ามาทางเรือบิน และรถยนต์เป็นส่วนใหญ่ บางคนเริ่มจากเข้ามาอย่างถูกต้องแล้ว Overstay

สำหรับผู้ก่อการร้ายประเภท ISIS นั้น แทบไม่มีสถิติอย่างเป็นทางการการลักลอบเดินเท้าแฝงตัวเข้ามาทางดินแดนตอนใต้เลย แต่ทรัมป์และนางSarah Huckabee Sanders โฆษกทำเนียบขาว ก็เดินสายไปออกทีวี รวมทั้งทรัมป์ไปออกทีวีสดที่สถานี Bloomberg เพื่อกล่าวโกหกว่า มีผู้ก่อการร้ายจำนวมากแฝงมา ซึ่งฐานเสียงเดิมของเขาก็เชื่อในคำพูดของเขา โดยไม่ตรวจสอบคำโกหกเหล่านี้

จากการสร้างความกลัวมาเป็นเหตุผลให้ประชาชนเชื่อ แล้วจะกดดันสภาล่าง (โดยพรรคเดโมแครต) ให้ยอมตั้งงบสร้างกำแพงให้กับทรัมป์ ปรากฏว่า ประธานสภาล่างคนใหม่คือ ผู้หญิงแกร่ง ส.ส.แคลิฟอร์เนีย ที่ทำลายสถิติเป็นประธานสภาคนแรกที่สามารถกลับมารับตำแหน่งได้ แม้จะเสียตำแหน่งไปถึง 8 ปี-เธอพูดว่า จะไม่ให้งบสร้างกำแพงแม้แต่เหรียญเดียว เพราะมีความเร่งด่วนด้านโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐาน, การรักษาพยาบาล และสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการรักษาความมั่นคงด้านอื่นๆ ที่จำเป็นเร่งด่วนกว่า...เธอพูดล้อเล่นว่า อาจให้แค่ 1 เหรียญสำหรับสร้างกำแพงให้ทรัมป์

ทรัมป์ก็เลยออกมาขู่ย้ำอีกด้วยในวันอาทิตย์ที่ 6 มกราว่า เขาน่าจะทำแน่ๆ คือ ประกาศภาวะฉุกเฉินเลย

มีการคาดการณ์กันว่า อาจมีการลดราวาศอกจากทั้ง 2 ฝ่าย ก่อนวันอังคารที่ 29 มกรา ซึ่งเป็นวันที่ประธานสภาได้เชิญปธน.ทรัมป์ไปกล่าวสุนทรพจน์ประกาศสภาวะ และนโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ

มีหลายวิธีที่จะเจรจาถอยกันคนละก้าวสองก้าว เช่น เดโมแครตยอมให้งบ (ไม่ถึง 5,000 ล้านเหรียญ) แก่ทรัมป์ เพื่อแลกกับการปลดปล่อยพวก DACA คือเด็กๆ ลูกผู้อพยพที่เข้าเมืองผิดกฎหมาย ให้มีสถานะถูกกฎหมาย ก็เป็นไปได้ หรือเปลี่ยนชื่อ “กำแพง (Wall)” ของทรัมป์เป็นสิ่งปลูกสร้างกั้นพรมแดนที่แข็งแรง เป็นต้น

จะต้องมีทางลงเพื่อกู้หน้าทรัมป์พอสมควร แต่ทรัมป์จะเป็นฝ่ายได้น้อยมาก เพียงแต่เขาจะคุยโวว่า เขาเป็นฝ่ายชนะเท่านั้น
นางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐอเมริกา
กำลังโหลดความคิดเห็น