"ปัญญาพลวัตร"
"พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"
ปรากฎการณ์สร้างขั้วและแบ่งขั้วทางการเมืองแบบ “ขั้วประชาธิปไตย” กับ “ขั้วเผด็จการ” ในสนามการเมืองและการเลือกตั้งไทยเกิดขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงปี ๒๕๓๕ แต่ความเป็นขั้วทางการเมืองแบบนั้นจางหายไปในเวลาต่อมา และไม่มีพรรคการเมืองใดนำประเด็นนี้มาใช้ในสนามการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นอีก ฃจนกระทั่งการเลือกตั้งในปี ๒๕๖๒ ได้มีกลุ่มการเมืองบางกลุ่มพยายามรื้อฟื้นและสร้างกระแสขั้วการเมืองขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
หลักเกณฑ์หยาบๆ ที่กลุ่มการเมืองใช้ในการแบ่งขั้วคือ การสนับสนุนหรือไม่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหาร หากพรรคการเมืองใดที่ไม่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหารก็จะถูกจัดให้อยู่ใน “ขั้วประชาธิปไตย” ส่วนพรรคการเมืองที่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจของรัฐประหารจะถูกจัดให้อยู่ใน “ขั้วเผด็จการ” ความเป็นประชาธิปไตยกับความเป็นเผด็จการจึงถูกลดรูปและลดทอนลงให้เหลือเพียงแค่คำว่า “การสืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหาร” เท่านั้น
ผมคิดว่าการลดรูปและลดทอนความแตกต่างระหว่างประชาธิปไตยกับเผด็จการให้เหลือเพียงเงื่อนไขเดียวเช่นนี้ โดยเนื้อแท้แล้วกลับเป็นการความพยายามสร้าง “ความเป็นเผด็จการทางความคิด” ขึ้นมา เพื่อยัดเยียดและครอบงำความคิดของประชาชนในสังคมให้เหลือทางเลือกเพียงสองทางเท่านั้นในการเลือกตั้ง
คำถามคือทำไมจึงต้องสร้างวาทกรรมแบบขั้วการเมืองเช่นนี้ขึ้นมา ผมคิดว่าผู้สร้างวาทกรรมชุดนี้ประเมินว่าประชาชนไทยส่วนใหญ่ชื่นชอบการเมืองแบบประชาธิปไตย และรังเกียจการเมืองแบบเผด็จการ หากสามารถสร้างวาทกรรมชุดนี้ให้กลายเป็นกระแสหลักครอบงำบรรยากาศการเลือกตั้งก็จะทำให้พรรคการเมืองของฝ่ายตนเองได้รับประโยชน์ และมีโอกาสชนะการเลือกตั้งสูง
หลายปีที่ผ่านมาการช่วงชิงวาทกรรม “ประชาธิปไตย” เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง พรรคการเมืองบางพรรคและกลุ่มการเมืองบางกลุ่มพยายามสร้างภาพว่าตนเองเป็นฝ่ายประชาธิปไตยและพยายามผูกขาดความเป็นประชาธิปไตยเอาไว้ในกลุ่มตนเอง จนทำให้คนในสังคมบางส่วนเกิดความรู้สึกแปลกๆต่อ “ความเป็นประชาธิปไตย” ขึ้นมา
ส่วนคำว่า “เผด็จการ” นั้นดูเหมือนเป็นคำที่ไม่มีผู้ใดชื่นชอบนัก ใครหรือกลุ่มใดที่ถูกเรียกว่าเป็นเผด็จการก็รู้สึกไม่ชอบใจ และพยายามปฏิเสธว่าตนเองไม่ใช่เผด็จการ ขณะเดียวกันก็พยายามบอกต่อสาธารณะว่าตนเองเป็นประชาธิปไตย แม้กระทั่งรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารก็รู้สึกอึดอัดหากถูกเรียกว่าเป็นรัฐบาลเผด็จการ
ในท่ามกลางความไม่ชอบที่ถูกมองและถูกเรียกว่าเป็นเผด็จการ แต่กลับมีความไม่สอดคล้องระหว่างสิ่งที่คาดหวังให้ผู้อื่นมองตนเองกับสิ่งที่ตนเองปฏิบัติหรือกระทำจริงเกิดขึ้นอยู่เสมอ โดยเฉพาะในยามที่มีอำนาจในการบริหารประเทศ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มการเมืองใดก็ตามมักมีการใช้อำนาจที่ขัดแย้งกับวิถีของประชาธิปไตยหลายอย่างเกิดขึ้นอยู่เสมอ
อย่างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งพอจะถือว่าได้อำนาจมาด้วยวิถีประชาธิปไตย อันหมายถึงเป็นรัฐบาลที่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนส่วนใหญ่ที่ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง แต่ครั้นพอใช้อำนาจในการบริหารประเทศกลับมีการกระทำหลายอย่างที่เบี่ยงเบนหรือตรงกันข้ามกับวิถีประชาธิปไตย เช่น การควบคุมบงการเพื่อสร้างอุปสรรคในการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล หรือ การใช้อำนาจและกฎหมายอย่างมีอคติไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม หรือ การละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง เป็นต้น จึงเกิดเป็นปรากฎการณ์ที่ว่า “ใช้วิถีประชาธิปไตยเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ แต่กลับใช้อำนาจเพื่อบ่อนทำลายแก่นแท้ของประชาธิปไตย” คนในสังคมไทยจึงตั้งฉายาปรากฎการณ์ทางการเมืองแบบนี้ว่า “ระบอบทักษิณ”
ส่วนรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร ถึงจะพยายามบอกชาวบ้านว่าตนเองเป็นประชาธิปไตยก็ไม่มีใครเชื่อ ได้แต่หลอกและปลอบใจตัวเองให้ผ่านไปในแต่ละวัน รัฐบาลจากรัฐประหารนั้นได้อำนาจมาด้วย “วิถีแห่งศาสตรา” “มิใช่วิถีแห่งประชา” ในแง่การได้มาของอำนาจจึงเป็น “ระบอบศาสตราธิปไตย” ครั้นบริหารประเทศก็ย่อมไม่ใช้วิถีของประชาธิปไตยเป็นบรรทัดฐาน หากแต่เป็นวิถีของเผด็จการ โดยรวบอำนาจบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการไว้ในกลุ่มบุคคลคณะหนึ่ง และมีกฎหมายมาตราพิเศษที่เป็นเครื่องมือสำหรับการใช้อำนาจแบบนี้ สำหรับในปัจจุบันคือมาตรา ๔๔
การตรวจสอบถ่วงดุลในการบริหารประเทศ การเปิดให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพทางการเมือง การใช้อำนาจตามหลักนิติธรรม และการเคารพสิทธิมนุษยชนย่อมไม่ใช่บรรทัดฐานที่รัฐบาลเผด็จการกระทำ วิถีของเผด็จการคือการใช้อำนาจที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่กล่าวมาข้างต้น สำหรับแนวปฏิบัติตามประเพณีของรัฐบาลเผด็จการของแต่ละประเทศในแต่ละประเด็นหลักย่อยอาจมีค วามแตกต่างกันบ้าง ขึ้นอยู่กับพัฒนาการและวัฒนธรรมการเมืองของประเทศเหล่านั้น
วิถีได้มาซึ่งอำนาจบริหารประเทศของไทยในปีหน้าเป็นวิถีแบบผสมผสาน ระหว่างการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรอันเป็นวิถีประชาธิปไตย และการเลือกสรรวุฒิสมาชิกอันเป็นวิถีแห่งคณาธิปไตย รัฐบาลจึงเกิดจากอำนาจผสม ระหว่าง “ประชา” + “คณา” กลายเป็น “ปรคชณาธิปไตย” อ่านว่า “ปอ-ระ-คะ-ชะ-นา-ธิบ-ปะ-ไต” ส่วนวิถีของ “ศาสตรา” นั้นไม่ได้ใช้เป็นกลไกในการใช้มาของอำนาจในปีหน้า เพราะคณะผู้ใช้ศาสตรา เปลี่ยนเป็นคณะผู้ใช้ “เงินตรา” ในการจัดตั้งพรรคการเมือง การเลือกตั้ง และใช้ “มาตรา” ตามรัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือในการได้มาซึ่งอำนาจ “วิถีศาสตรา” จึงถูกแทนที่ด้วย “วิถีเงินตรา” และ “วิถีมาตรา”
ส่วนในแง่การใช้อำนาจการบริหารประเทศในอนาคต ซึ่งยังไม่เกิดขึ้น แต่หากพิจารณาจากภูมิหลังของการใช้อำนาจระหว่าง “ระบอบทักษิณ” กับ “ระบอบ คสช.” ดูเหมือนว่ามีแนวทางส่วนใหญ่คล้ายคลึงกันอย่างยิ่ง ดังนั้นหากขั้วการเมืองใดขั้วหนึ่งได้อำนาจในการบริหารประเทศ เราก็อาจใช้อุปนิสัยและบรรทัดฐานเดิมของการใช้อำนาจเป็นรากฐานในการอนุมานถึงแนวทางการใช้อำนาจในอนาคตได้ส่วนหนึ่ง ซึ่งรูปลักษณ์ของการใช้อำนาจที่ออกมา ผมคิดว่าจะมีความโน้มเอียงไปในทิศทางที่เบี่ยงเบนจากเนื้อหาของวิถีประชาธิปไตยด้วยกันทั้งคู่
ไม่ว่ากลุ่มใดในสองขั้วนี้มีอำนาจในการบริหารประเทศ สิ่งที่เราอาจจะเห็นคือ การตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจในระบบรัฐสภาจะมีอุปสรรคและเกิดขึ้นได้ค่อนข้างยาก การบังคับใช้กฎหมายมีแนวโน้มห่างเหินจากหลักนิติธรรม มีการวางเฉยและไม่ส่งเสริมสิทธิมนุษยชน ขณะที่การส่งเสริมและเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มทุนผูกขาดจะเกิดขึ้นอย่างขนานใหญ่
เมื่อเป็นดังที่จุดนี้ เราก็มาถึงข้อสรุปที่ว่า การแบ่งขั้วทางการเมืองแบบที่เป็น “ขั้วประชาธิปไตย” และ “ขั้วเผด็จการ” นั้นจึงเป็นเพียงมายาคติ เป็นการแบ่งแบบจอมปลอม เอาไว้พลางตาผู้คนเพื่อหวังผลชนะการเลือกตั้งเป็นหลัก เพราะความจริงก็คือ “ล้วนแล้วเป็นขั้วเดียวกัน ต่างก็มีเนื้อในห่างไกลจากวิถีประชาธิปไตยด้วยกันทั้งคู่”