xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ศึกสายเลือด “ณรงค์เดช” (ยกล่าสุด) บนกลเกมโกงหุ้น “วินด์ เอนเนอร์ยี่”

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ศึกสายเลือด “ตระกูลณรงค์เดช” ฉากล่าสุดที่ 3 พ่อลูก “เกษม-กฤษณ์-กรณ์” ออกมารุมถล่มชายกลาง “ณพ ณรงค์เดช” ปมร้อนปลอมลายเซ็นโอนหุ้น วินด์ เอนเนอร์ยี่ - WEH พร้อมงัดเอกสารหลักฐานซัด ลั่นเดินหน้าเอาผิดอย่างถึงที่สุด ใช่หมายถึงศึกสายเลือดที่ถึงขั้นตัดพ่อตัดลูกตัดสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องกันจริงๆ หรือเป็นเพียงเกมลับ ลวง พราง ในการเข้าฉกหุ้น WEH ก็ยังเป็นปริศนาคาใจโดยเฉพาะในแวดวงนักเลงหุ้นที่มองว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำชวนสงสัยทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง

ฉากต่อมหากาพย์ศึกสายเลือดตระกูลณรงค์เดชระหว่างพ่อ-ลูก พี่ชาย-น้องชาย เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. 2561 ที่ผ่านมา นำโดย นายเกษม ณรงค์เดช บิดานายณพ ณรงค์เดช พร้อมด้วยนายกฤษณ์ ณรงค์เดช (พี่ชายคนโต) และนายกรณ์ ณรงค์เดช (น้องชายคนสุดท้อง) ตั้งโต๊ะแถลงข่าวร่วมกันพร้อมกับทีมทนายความ กรณีคดีความฟ้องร้องในข้อหาปลอมแปลงลายเซ็นในการโอนหุ้นบริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด หรือ WEH ถือเป็นไฮไลท์อีกซีนที่ชวนติดตาม

โดยนายเกษม ณรงค์เดช ผู้ก่อตั้งกลุ่มบริษัท เคพีเอ็น พร้อมด้วยทนายความสำนักงานกฎหมายเบเคอร์ แอนด์ แม็คเค็นซี่ ชี้แจงว่า ได้มีการปลอมแปลงลายเซ็นของตนเองในการมอบอำนาจและโอนหุ้นที่ถือครองอยู่ใน วินด์ เอนเนอร์ยี่ ให้กับ คุณหญิงกอแก้ว บุณยะจินดา โดยเป็นการร่วมมือกันระหว่าง นายณพ ณรงค์เดช และ นายสุรัตน์ จิรจรัสพร ซึ่งมีการกล่าวอ้างว่า ตนเป็นผู้ป่วยที่อยู่ในสถานะไม่สมบูรณ์พร้อม และไม่สามารถควบคุมดูแลกิจการต่อไปได้

“.... จากการตรวจรับรองสุขภาพของศูนย์โรงพยาบาลกรุงเทพ ทางคณะแพทย์ได้ให้ใบรับรองลงความเห็นในใบประเมินสุขภาพ เมื่อวันที่ 13 พ.ย.2561 ว่ามีความปกติทุกประการ สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติวิสัย สามารถทำนิติกรรมทุกอย่างได้ และสามารถเขียนลายมือชื่อของตนเองได้ตามปกติ ไม่ได้หลงลืมหรือป่วยเป็นโรคสมองเสื่อม และลายเซ็นการโอนหุ้นให้แก่ คุณหญิงกอแก้ว บุณยะจินดา ที่ปรากฏในสื่อตามที่นายณพ นำมาแสดงนั้น เป็นหลักฐานปลอมที่นายณพ และพวก ร่วมกันสร้างขึ้นทั้งสิ้น” นายเกษม กล่าว

นอกจากนี้ นายเกษม ยังได้นำลายมือชื่อที่แท้จริงของตน และรายงานการตรวจพิสูจน์จากผู้เชี่ยวชาญของศาลยุติธรรม และผู้เชี่ยวชาญของต่างประเทศเปรียบเทียบกับลายมือชื่อปลอมให้ผู้สื่อข่าวดูด้วย

สำหรับลายมือชื่อที่ปรากฏในเอกสารทั้งหมดนั้น นอกจากนายเกษม จะยืนยันว่าไม่ใช่ลายมือชื่อของตนแล้ว ผู้เชี่ยวชาญการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อของศาลยุติธรรมที่มีประสบการณ์ในด้านการตรวจพิสูจน์เอกสารมานานถึง 48 ปี มีความเห็นยืนยันว่า ลายมือชื่อที่ปรากฏอยู่ในเอกสารเหล่านั้น ไม่ใช่ลายมือชื่อของนายเกษม ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของผู้เชี่ยวชาญจากสหรัฐอเมริกา ที่มีประสบการณ์ในด้านการตรวจพิสูจน์กว่า 55 ปี ได้จัดทำรายงานการตรวจพิสูจน์ตามหลักมาตรฐานสากลกว่า 190 หน้า พร้อมภาพสีกราฟิกเทียบเคียงตัวอย่างลายมือชื่อที่แท้จริงของนายเกษม จำนวน 52 ลายมือชื่อ กับลายมือชื่อที่ปรากฏอยู่ในเอกสารปลอมต่างๆ พบว่ามีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

ทำไม นายเกษม และลูกชายทั้งสอง จึงออกมาโต้ปมลายเซ็นปลอม นั่นก็เนื่องจากว่า ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนส.ค. 2561 นายเกษม บิดาของนายณพ ฟ้องศาลอาญาให้ดำเนินคดีกับนายณพ และคุณหญิงกอแก้ว บุณยะจินดา ฐานร่วมกันปลอมลายเซ็นเพื่อโอนหุ้นดังกล่าวและร่วมใช้เอกสารปลอม ในคดีหมายเลขดำที่ อ.2497/2561 และต่อมา เมื่อวันที่ 30 พ.ย. 2561 ศาลอาญารัชดา อ่านคำตัดสิน ตามคดีหมายเลขแดงที่ อ.3518/2561 พิพากษายกฟ้องนายณพ และคุณหญิงกอแก้ว เพราะโจทก์พิสูจน์ข้อเท็จจริงไม่ได้ ซึ่งตอนนี้มีข่าวว่าคุณหญิงกอแก้ว จะฟ้องกลับด้วย

นายเกษม และลูกชายทั้งสอง จึงจำต้องตั้งโต๊ะแถลงแสดงเอกสารหลักฐานพิสูจน์การปลอมแปลงลายเซ็นเพื่อพยายามล้างมลทินและกอบกู้ชื่อเสียงจากการซื้อขายหุ้นวินด์ฯ ที่อื้อฉาว โดยนายเกษม ได้มอบหมายให้ทนายความเตรียมยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาดังกล่าวข้างต้นต่อศาลแล้ว

แต่ถ้าหากถามความรู้สึกลึกๆ นายเกษมว่า ตอนนี้รู้สึกยังไงกับลูกชายที่ชื่อ ณพ นายเกษม ตอบว่า "ยอมรับว่าโกรธ เจอแล้วอยากจะเตะ(อมยิ้ม) แต่ยังไงขึ้นชื่อว่าเป็นลูก เขาก็เป็นลูกเราอยู่ดี ซึ่งตอนนี้ คิดอย่างเดียวว่า มันอาจจะเป็นกรรมเก่าที่เราเคยทำไว้ก็ได้ ทำให้ต้องมาเจอปัญหาอะไรแบบที่เป็นอยู่ในขณะนี้"

ขณะที่ตัวแทนทนายความสำนักงานกฎหมายเบเคอร์ แอนด์ แม็คเค็นซี่ ที่รับว่าความให้กับนายเกษม ระบุว่า สำหรับคดีที่นายเกษม ยื่นฟ้อง นายณพ และคุณหญิงกอแก้ว กรณีการใช้เอกสารปลอมในการโอนหุ้นวินด์ฯ ทีมทนายความจะใช้สิทธิยื่นอุทธรณ์ต่อศาลตามขั้นตอนทางกฎหมายแน่นอน มั่นใจว่าหลักฐานที่มีอยู่ในขณะนี้ มีความหนักแน่นเพียงพอ โดยเฉพาะการตรวจสอบลายเซ็นของนายเกษมของจริง เพื่อนำไปใช้เปรียบเทียบกับลายเซ็นในเอกสารหลักฐานการโอนหุ้นต่างๆ ที่เป็นของปลอม ก็ได้รับการยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญทั้งในไทยและต่างประเทศ ว่า ไม่ตรงกัน รวมไปถึงข้อสังเกต เงื่อนเวลา ความสมเหตุสมผลในการโอนหุ้นช่วงเวลาต่างๆ ด้วย

“แม้ศาลชั้นต้นจะตัดสินไม่รับฟ้อง แต่ศาลไม่ได้ระบุว่าลายเซ็นนายเกษมที่ปรากฎอยู่ในเอกสารเป็นของจริงแต่อย่างใด ซึ่งถ้าหากคดีนี้ นายเกษม เป็นฝ่ายชนะ ก็จะทำให้การโอนหุ้น ในช่วงที่ปรากฏชื่อนายเกษมเป็นผู้รับหุ้น และถูกโอนต่อไปยังบริษัทในฮ่องกง และการเปลี่ยนชื่อผู้ถือหุ้นเป็นคุณหญิงกอแก้ว เป็นโมฆะ การโอนหุ้นที่เกิดขึ้นจริง จะมีเฉพาะแค่ช่วงที่หุ้นวินด์ ถูกโอนมาอยู่ในบริษัทครอบครัวณรงค์เดช ช่วงแรกเท่านั้น” ตัวแทนทีมทนายความ กล่าว

เมื่อถามว่า ถ้าหุ้นกลับมาอยู่ในชื่อครอบครัว ณรงค์เดช จะยอมชำระเงินค่าซื้อหุ้น ให้กับเจ้าของเดิม หรือไม่ ตัวแทนทนาย บอกว่า “โดยหลักการ เมื่อเราซื้อหุ้นมาแล้ว ก็ต้องจ่ายค่าหุ้นที่ค้างอยู่ให้เขา แต่สิ่งที่จะต้องไปเจรจาต่อรองกันก็คือค่าปรับ ที่มีตัวเลขค่อนข้างสูงอันนี้ เมื่อถึงเวลาก็ต้องไปว่ากัน”

ขมวดปมเป้าประสงค์ใหญ่ในการแถลงข่าวครั้งนี้ของนายเกษม คือ หนึ่ง ยืนยันว่าตนเองไม่ได้เจ็บป่วยมีสติสัมปะชัญญะสมบูรณ์ สอง มีการปลอมแปลงลายเซ็นของตนเองในการโอนหุ้นของ วินด์ เอนเนอร์ยี่ ให้กับคุณหญิงกอแก้ว บุณยะจินดา (แม่ยายของนายณพ ณรงค์เดช) และ สาม ยืนยันความถูกต้องที่แท้จริงของการโอนหุ้นวินด์ฯ คือช่วงที่หุ้นวินด์ฯ ถูกโอนมายังบริษัท เคพีเอ็น เอนเนอยี โฮลดิ้ง จำกัด (KPNEH) ของตระกูลณรงค์เดช เท่านั้น ส่วนการยักย้ายถ่ายโอนหุ้นในภายหลังเป็นการปลอมแปลงลายเซ็นของนายเกษม ทั้งสิ้น

หลังจาก 3 พ่อลูก “ณรงค์เดช” ตั้งโต๊ะแถลงในช่วงเช้า ตกบ่าย ลูกชายคนกลาง “นายณพ ณรงค์เดช” ก็ให้สัมภาษณ์ว่า เหตุการณ์ต่างๆ เป็นเรื่องในครอบครัวที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น เรื่องบางเรื่องอยู่ในกระบวนการยุติธรรม ส่วนบางเรื่องไม่ได้เกี่ยวข้องกับตน แต่ไปพาดพิงถึงบุคคลที่สาม ซึ่งถ้าหากพูดไปอาจจะไปกระทบกระเทือนรูปคดีของคนอื่น จึงไม่เหมาะสมถ้าให้ข้อมูลออกไปในขณะนี้

“ส่วนกรณีที่หลายคนบอกว่า สงสารคุณพ่อ ทุกคนก็สงสารหมด ไม่มีใครอยากให้เกิด ซึ่งผมเองแต่งงานออกมาอยู่ข้างนอกนานแล้ว ยอมรับว่าไม่ได้อยู่กับคุณพ่อตลอดเวลา ผมเองก็รักคุณพ่อ และรู้ว่าคุณพ่อรักผมที่สุด ผมยังมั่นใจอย่างนั้น ถึงแม้จะมีความไม่เข้าใจกันเกิดขึ้น สำหรับความจริงนั้นวันหนึ่งไม่นานเกินรอ ทุกอย่างจะปรากฏออกมาเอง” นายณพ กล่าว

กล่าวสำหรับ“บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด (WEH) ผู้ประกอบการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานกังหันลมรายใหญ่ที่สุดของประเทศและภูมิภาคอาเซียนนั้น ต้องบอกว่า ชื่อนี้ไม่ธรรมดา และเชื่อว่าสังคมยังคงไม่ลืม โดยเฉพาะอดีตประธานกรรมการบริหารที่ชื่อ “เสี่ยนิค-นพพร ศุภพิพัฒน์” หนึ่งในมหาเศรษฐีที่อายุน้อยที่สุด ติดอันดับ 31 ใน 50 ของมหาเศรษฐีประจำปี 2557 ที่จัดขึ้นโดยนิตยสาร ฟอร์บส์ ไทยแลนด์ (FORBES THAILAND) โดยร่ำรวยจากธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานลม และมีมูลค่าทรัพย์สินกว่า 25,600 ล้านบาท ซึ่งต่อมาตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลทหารกรุงเทพ เลขที่ 138 /2557 ลงวันที่ 1 ธ.ค. 2557 ด้วยความผิดตาม ม.112 โดยเกี่ยวพันกับ “พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์” อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางและพวก

ทั้งนี้ ในช่วงปี 2558 นายณพและครอบครัวณรงค์เดชได้ลงทุนเข้าซื้อหุ้น บริษัท วินด์เอ็นเนอร์ยี่ โฮลดิ้งส์ จำกัด จนกระทั่งในช่วงต้นปี 2561 สมาชิกในครอบครัว อันประกอบไปด้วยนายเกษม และนายกฤษณ์ ได้รับหมายศาลว่าถูกฟ้อง เป็นคดีอาญาร่วมกับนายณพ ฐานโกงเจ้าหนี้ สืบเนื่องจากการที่นายณพ ไปผิดสัญญาซื้อขายหุ้นและไม่ชำระเงินค่าหุ้นให้กับผู้ถือหุ้นเดิม( บริษัทเน็กซ์โกลบอล อินเวสเมนท์, บริษัท ไดนามิค ลิ้งค์ เวนเจอร์ และ บริษัทซิมโฟนี่ พาร์ทเนอร์ ผู้ถือหุ้นเดิมของ บริษัทรีนิวเอเบิล เอนเนอร์ยี่ หรือ อาร์อีซี ปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท เคพีเอ็น เอนเนอร์ยี่ ประเทศไทย) จนถูกฟ้องร้องดำเนินคดีและนำมาซึ่งคำสั่งห้ามจำหน่ายจ่ายโอนหุ้น WEH พร้อมบริษัทที่เกี่ยวข้อง

ทั้งหมดนั้นคือต้นสายปลายเหตุของศึกสายเลือดณรงค์เดช และยังคงต้องติดตามกันต่อไปว่า บทสุดท้ายจะลงเอยอย่างไร


กำลังโหลดความคิดเห็น