นั่นคือเนื้อร้องของละครเพลงที่จัดทำตามหนังสือ les miserables ที่สั่นสะเทือนประเทศฝรั่งเศสในช่วงหลังปฏิวัติฝรั่งเศสที่ยังคุกรุ่นไปด้วยการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมของผู้คนส่วนใหญ่ที่ยังไม่สามารถลืมหน้าอ้าปากได้แม้หลังปฏิวัติทำลายคุกบาสตีย์ในปี 1789 แล้วก็ตาม
บทประพันธ์สำคัญของฝรั่งเศสและของโลกนี้ เป็นผลงานของนักคิด นักเขียนของวิกเตอร์ ฮิวโก้ ที่สะท้อนถึงความขมขื่นของประชาชนส่วนใหญ่ของสังคม (ฝรั่งเศส) ที่เป็นเหมือนเศษมนุษย์ เศษขยะที่แทบไม่มีทางเลือกในชีวิต และต้องวนเวียนอยู่ในความขมขื่นรุ่นต่อรุ่น
เนื้อร้องของเพลงนี้แทงใจผู้คนที่ทนไม่ไหว และออกมาชุมนุมต่อสู้กับฝ่ายรัฐบาลที่ไม่เคยฟังเสียงโอดครวญของพวกเขา
มันเกิดขึ้นอีกครั้งที่กรุงปารีส และอีกหลายเมืองใหญ่ของฝรั่งเศส ในปลายปี 2018 นี้เอง...โดยเริ่มจากการชุมนุมต่อต้านคำสั่งของรัฐบาลปธน.มาครง ที่ประกาศขึ้นภาษีน้ำมันตั้งแต่ต้นปี 2019 เพื่อให้ประชาชนใช้น้ำมันรถยนต์น้อยลง แล้วหันไปซื้อรถยนต์ที่ใช้ไฟฟ้าหรือใช้รถสาธารณะมากขึ้น
เสียงต่อต้านโอดครวญของประชาชนที่ต้องใช้รถยนต์ และเติมน้ำมันโดยเฉพาะดีเซลด้วยราคาลิตรละประมาณ 60 บาท ยิ่งในชนบทที่ไม่มีรถไฟใต้ดิน พวกเขาเดือดร้อนมากและมองว่า ภาษีน้ำมันก็คล้ายๆ กับภาษีผู้บริโภค (หรือภาษีมูลค่าเพิ่ม) ที่คนจนจะต้องจ่ายในราคาเดียวกันกับคนรวย ซึ่งนับว่าคนรวยจะได้เปรียบเสมอ
ปธน.มาครง ตอกตะปูว่า จะเดินหน้าขึ้นภาษีน้ำมันอย่างไม่เปลี่ยนแปลงตามแผน (ภาษีน้ำมันดีเซลนี้ได้ปรับขึ้นมา 23 เปอร์เซ็นต์ใน 12 เดือนที่ผ่านมา และในวันที่ 1 มกรานี้จะขึ้นอีก 6.5 เปอร์เซ็นต์) เพราะฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพจัดข้อตกลงโลกร้อนปารีสเมื่อ 2-3 ปีนี้เอง
เวลาผ่านไป 3 อาทิตย์ พร้อมด้วยผู้คนที่ประท้วงก็ขยายวงมากขึ้น พวกเขาสวมเสื้อกั๊กสีเหลืองเพื่อแสดงสัญลักษณ์หนึ่งเดียวของเจ้าของรถที่ต้องสวมเสื้อกั๊กนี้ (ตามกฎหมายฝรั่งเศส) เมื่อรถยนต์เกิดขัดข้องหรืออุบัติเหตุ
มีการปะทะกับตำรวจ และฝ่ายรัฐบาลก็ใช้มาตรการแข็งกร้าวเพื่อปราบฝ่ายผู้ชุมนุม ซึ่งทำให้ผู้ชุมนุมเพิ่มจำนวนมากเป็นหลายแสนกว่าคนทั่วประเทศ มีความรุนแรงพอๆ กับการประท้วงใหญ่เมื่อปี 1968
ที่ถนนแห่งแสงสี Champs Elysees ที่กำลังตกแต่งประดับไฟสวยงาม เพื่อดึงดูดให้ผู้คน ทั้งนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก และชาวปารีเซียนมาเตรียมเฉลิมฉลองฤดูจับจ่ายกินดื่มเที่ยวช่วงคริสมาสต์ และส่งท้ายปีเก่า รับปีใหม่ กลายเป็นทะเลควันจากระเบิดและเพลิงจากการจุดไฟเผารถยนต์จำนวนมาก และมีเสียงระเบิดตลอดเวลา สลับกับตำรวจฉีดน้ำแรงดันสูง และแก๊สน้ำตา
มีคนตายแล้ว 4 คน และบาดเจ็บหลายร้อย และทางการโดยนายกฯ Edouard Philippe สั่งระดมตำรวจเรือนหมื่นเข้าจัดการเด็ดขาดที่ปารีส และทั่วประเทศอีกถึง 9 หมื่นคน (ก็เฉียดๆ แสนคน) รวมทั้งมีรถถังหุ้มเกราะออกมาวิ่งเต็มไปหมด
ยิ่งทำให้หลายๆ กลุ่มออกมาเพิ่มการเรียกร้องในหลายๆ ประเด็นมากขึ้น เกินกว่าการต่อต้านภาษีน้ำมัน ไม่ว่าจะเป็นการปฏิรูปด้านแรงงานที่สหภาพแรงงานก็กำลังเผชิญหน้ากับปธน.เช่นกัน รวมทั้งนักศึกษาที่ต่อต้านการขึ้นค่าเล่าเรียน และค่าครองชีพที่สูงมาก
ผู้ประท้วงก็ขยายเป็นทั้งกลุ่มซ้ายจัด, ขวาจัด, นาซีใหม่, พวกตกงาน และพวกไม่ใช่มาประท้วงเรียกร้อง แต่ต้องการมาทำลายข้าวของอย่างเดียว รวมทั้งการทำลายร้านค้าเพื่อบุกเข้าขโมยสินค้า (แบบที่เกิดช่วงเสื้อเหลือง-แดงของไทย ที่มีพวกเสื้อแดงบุกเข้าไปขโมยขนเพชรพลอยจากห้างสรรพสินค้าที่ราชประสงค์!!)
เศรษฐกิจพังแน่นอน เพราะร้านค้าใหญ่ๆ ต้องรีบปิดประตู-ขายของไม่ได้-การท่องเที่ยวก็พังเช่นเดียวกัน นักท่องเที่ยวระงับการเดินทางไปฝรั่งเศสถึง 1 เดือนเต็ม
ในที่สุด รัฐบาลก็ยอมถอย ประกาศระงับการขึ้นภาษีน้ำมันไป 6 เดือน; หลังประท้วงรุนแรงถึงเกือบ 1 เดือน
แต่มันเป็น Too Little-Too Late สำหรับปธน.ที่ปักหลักจะไม่ยอมเปลี่ยนแปลงไปจากนโยบายแข็งกร้าวของเขา ที่ประชาชนส่วนใหญ่ถึง 66% (จากโพลหลายแห่ง) สนับสนุนผู้ประท้วง มีแค่ 22% ที่ไม่เห็นด้วย จนมาครงได้รับสมญาจากผู้ประท้วงว่า ปธน.ของคนรวย เพราะประชาชนส่วนใหญ่ได้มอบความไว้วางใจให้แก่มาครงเข้ามาอย่างถล่มทลายถึง 3/4 ของสภา แล้วประชาชนก็รู้สึกว่าตัวเองถูกหลอกอีกครั้ง เมื่อผู้นำที่พวกเขาตั้งมากับมือ กลับไปอุ้มคนรวย โดยให้คนจนเป็นคนต้องจ่ายหนัก เพื่อให้นโยบายต่อต้านโลกร้อนของเขาประสบผลสำเร็จ
การเรียกร้องของผู้ชุมนุมหลายกลุ่มขณะนี้ได้เคลื่อนไปสู่การกดดันให้รัฐบาลลาออก โดยเฉพาะปธน.มาครง ซึ่งมาครงจำต้องขอประชุมร่วมกับตัวแทนผู้ชุมนุม นำโดยสหภาพแรงงานและกลุ่มอื่นๆ ด้วย
คะแนนนิยมของมาครงตกลงมาอยู่ที่ 20% ต้นๆ เท่านั้น ทั้งๆ ที่ตอนที่เข้ามาใหม่ๆ อยู่ที่เกือบ 70% ทีเดียว
เป็นบทเรียนราคาแพงของมาครง และสำหรับทุกรัฐบาลที่ทอดทิ้งประชาชน-ส่วนใหญ่; ไม่ฟังเสียงเจ็บปวดของพวกเขา จนเกิดเหตุการณ์ Brexit และปรากฏการณ์ Trump ที่ผู้ถูกทอดทิ้งส่วนใหญ่ได้แสดงพลังจนคว่ำฝ่ายอำนาจเก่าๆ ได้อย่างไม่เชื่อ ดังเช่นเนื้อร้องเจ็บปวดของชาวฝรั่งเศสเมื่อ 200 ปีที่แล้ว สะท้อนออกมาว่า
Do You Hear the People Sing?