ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ใครจะปรามาสไว้อย่างไรก็ช่าง
นาทีต้องบอกว่า “พรรคพลังประชารัฐ” ดูเหมือนจะมีความพร้อมมากที่สุดในการลงสนามเลือกตั้ง ทั้งที่ก่อนหน้าโดนค่อนขอดว่าเตาะแตะต้วมเตี้ยมไม่สมกับฐานะ “พรรครัฐบาล”
แต่ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา หลังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประทับตรารับรองความเป็นพรรคการเมืองอย่างสมบูรณ์แบบ กลายสภาพ “เสือหมอบแมวเซา” กลับกลายเป็น “เสือติดปีก” โดยเฉพาะการเสริมทัพ เปิดตัวสรรพกำลังที่ได้ชื่อว่า “ของจริง-เกรดเอ” ออกมาเป็นรายวัน
เรียกว่า เลี้ยงกระแส ยึดพื้นที่สื่อ ไล่เรียง “ผู้ร่วมอุดมการณ์” แห่แหนมาสมัครสมาชิก เสนอตัวลงสมัคร ส.ส.อย่างต่อเนื่อง ตลอด 10 กว่าวันที่ผ่านมา จน “พรรคอื่น” ได้แต่เคือง
ไม่ว่าจะเป็นชุด “ผู้ร่วมก่อตั้งพรรค” ที่เห็นหน้าคร่าตากันก่อนแล้ว ทั้งกลุ่ม 4 รัฐมนตรี อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะหัวหน้าพรรค สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะเลขาธิการพรรค สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในฐานะรองหัวหน้าพรรค และ กอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะโฆษกพรรค
เหล่าเซเลปบริตี้คนดัง นำโดย “มาดามเดียร์” วทันยา วงษ์โอภาสี อดีตผู้จัดการทีมฟุตบอลทีมชาติไทยชุดเล็ก หรือ “เสี่ยบ๊วย” เชษฐวุฒิ วัชรคุณ อดีตนักกีฬารักบี้ทีมชาติไทย และดารา-พิธีกรชื่อดัง เป็นต้น
กระทั่งกลุ่มนักการเมือง-นักเลือกตั้ง ทั้งกลุ่มอดีต กปปส. “เสี่ยตั้น” ณัฐพล ทีปสุวรรณ รองหัวหน้าพรรค “เสี่ยบี” พุทธิพงศ์ ปุณณกันต์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี รวมไปถึง “เสี่ยจั้ม” สกลธี ภัททิยกุล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.) ที่พกดีกรีอดีต ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ และได้ออกหน้าทาบทามสมัครพรรคพวกจากค่ายเก่ามาได้หลายคน
หรือกลุ่ม “บูราพาทิศ” ภาคตะวันออก ทั้งกลุ่มพลังชลทายาท “กำนันเป๊าะ” สมชาย คุณปลื้ม นำโดย “นายกฯติ๊ก” อิทธิพล คุณปลื้ม อดีตนายกฯเมืองพัทยา และกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงท่องเที่ยว ปัจจุบัน มานั่งเป็นผู้อำนวยการพรรค ประสานงานกับ “เสี่ยต้น” สรวุฒิ เนื่องจำนงค์ ทายาทตลาดดัง อดีต ส.ส.ชลบุรี ที่ไขก๊อกจากค่ายประชาธิปัตย์ มาร่วมกันฟอร์มทีมเหมาที่นั่งเมืองชลฯทั้ง 7 เขต เสริมด้วยพื้นที่ “จันทบุรี” ที่ได้ ส.ส.ลายคราม ธวัชชัย อนามพงษ์ พ่วงด้วย ยุคล ชนะวัฒน์ปัญญา จากพรรคประชาธิปัตย์มาเช่นกัน
ขณะที่ชื่ออื่นๆ ก็วางตาไม่ได้ ทั้ง สุพล ฟองงาม อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และอดีตเลขาธิการพรรคพลังประชาชน ที่นำพรรคพวกมาร่วมหลายสิบ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า นักธุรกิจคนดังผู้มากคอนเนกชั่น ก็มารับหน้าเสื่อดูแลพื้นที่ภาคเหนือตอนบนให้ หรือกลุ่มเพชรบูรณ์ ของ สันติ พร้อมพัฒน์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ หรืออย่าง วิรัช รัตนเศรษฐ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ก็ยกทีมมาเจาะพื้นที่ “เมืองย่าโม” จ.นครราชสีมา ที่มีเก้าอี้ ส.ส.เขตให้ช่วงชิงถึง 14 ที่นั่ง ให้โดยเฉพาะ
แล้วก็มาตามนัดสำหรับ “กลุ่มสามมิตร” ของ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ-สมศักดิ์ เทพสุทิน ที่ยกทัพมาร่วม เฉพาะผู้สมัคร ส.ส.ก็มากกว่า 70 ชีวิต ปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พรรณสิริ กุลนาถศิริ นายกองค์การบริหาส่วนจังหวัดสุโขทัย และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ภิญโญ นิโรจน์ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จำลอง ครุฑขุนทด อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการศึกษาธิการ มณเฑียร สงฆ์ประชา อดีต ส.ส.ชัยนาท บุญยิ่ง นิติกาญจนา อดีต ส.ส.ราชบุรี จักรวาล ชัยวิรัตน์นุกูล อดีต ส.ส.สุโขทัย รวมทั้ง “เสี่ยแฮงค์” อนุชา นาคาศัย แห่งเมืองชัยนาท ที่ร่วมเป็นกรรมการบริหารพรรคด้วย เป็นต้น
รวมถึง “คณะบ้านริมน้ำ” ของ สุชาติ ตันเจริญ อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่ส่ง รณฤทธิชัย คานเขต อดีต ส.ส.ยโสธร กับผู้สมัคร ส.ส.ของกลุ่ม มานำร่องก่อน 30 คน ส่วนตัว “สุชาติ” มาสมัครเป็นสมาชิกพรรคภายหลัง ปักธงลง ส.ส.เขตที่บ้านเกิด “แปดริ้ว” จ.ฉะเชิงเทรา เช่นเคย
และที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้ก็คงเป็นกรณีของ “ตรีนุช เทียนทอง” และ “ฐานิสร์ เทียนทอง” อดีต ส.ส.สระแก้ว หลานของ “ป๋าเหนาะ-เสนาะ เทียนทอง” ที่ก่อนหน้านี้ยื่นใบลาออกจากพรรคเพื่อไทย และล่าสุดพูดเสียงดังฟังชัดว่าจะสมัครเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐเช่นกัน ซึ่งงานนี้เล่นเอา ทั่นประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย ถึงกับพูดไม่ออกบอกไม่ถูกกันเลยทีเดียว
ขณะที่ “เจ๊แดง เยาวภา วงศ์สวัสดิ์” ก็กระอักเลือดไม่แพ้กัน เมื่อปรากฏว่า “เดชนัฐวิทย์ เตริยาภิรมย์” บุตรชาย บุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในสมัยของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งก่อนหน้านี้มีการสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ได้ทำหนังสือลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยและจะเดินทางไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เช่นเดียวกับ “วราเทพ รัตนากร” แกนนำกลุ่มวังบัวบาน และกลุ่มอดีต ส.ส.กำแพงเพชร ของพรรคเพื่อไทย เช่น อนันต์ ผลอำนวย ปริญญา ฤกษ์หร่าย รวมไปถึง นายไผ่ ลิกค์ หรือ ไผ่ วันพอยท์ เป็นต้น ก็จะมาลงสมัคร ส.ส.กำแพงเพชร ในนามพรรคพลังประชารัฐด้วย
น่าสนใจไม่น้อยกับคำประกาศของ “สุริยะ” ในการสลาย “กลุ่มสามมิตร” เพื่อความเป็นเอกภาพ-อันหนึ่งอันเดียวกันของ “พลังประชารัฐ” ทันที และจากหน้าตา “ขุนศึกประชารัฐ” ที่พรั่งพร้อมเช่นนี้ ทำเอา “สุริยะ” อดีตเลขาธิการพรรคไทยรักไทย ถึงขั้นนิยามว่า “คุณภาพคับแก้ว” และบลัฟไปถึง “อดีตนายเก่า” ทักษิณ ชินวัตร ด้วยว่า ความร่วมมือหนนี้ “ยิ่งใหญ่กว่าสมัยไทยรักไทย” เสียอีก
เป็นความคึกคักที่ปลุกเร้าให้ 4 รัฐมนตรี ที่ถูกขนานนามว่าเป็น “4 กุมาร” สามารถสลัดความเก้ๆ กังๆ ด้วยภาพลักษณ์ “นักบริหาร-นักวิชาการ” เริ่มปรับโหมดสวมวิญญาณ “นักการเมือง” กันอย่างไม่ขวนเขิน
ทั้ง “หัวหน้าอุตตม” กับสมญานาม Political Startupที่ไม่ใช่หน้าใหม่ทางการเมืองอย่างที่คิดกัน ถือเป็น “ศิษย์เอก-มือขวา” ตลอดจน “มันสมอง” ของ “เฮียกวง” สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ มาตั้งแต่เป็นขุนพลเศรษฐกิจของรัฐบาลไทยรักไทย และนับเป็นมือบริหารที่มีภาพลักษณ์ “ความเป็นผู้นำ” ที่หาตัวจับยากคนหนึ่ง หากแต่ที่ผ่านมาติดขัดภารกิจในราชการ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม จึงยังไม่ได้สวมหมวกหัวหน้าพรรค โชว์กึ๋น-ออกแอ็กชั่น มากนัก
ทำนองเดียวกับรัฐมนตรีรายอื่นๆ ที่มาร่วมตั้งไข่ “พลังประชารัฐ” ทั้ง “สุวิทย์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ที่เน้นภาพความเป็น “นักวิชาการ” ที่ดูโดดเด่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หรืออย่าง “กอบศักดิ์” ก็เริ่มปรับลุคส์ เปลี่ยนภาพจำจาก “เด็กเนิร์ด” กระเถิบเข้าโหมด “เด็กแนว” ผุดแคมเปญ “พี่กอบ เอฟซี” บุกตลาดเยาวชน-คนรุ่นใหม่ ล่าสุดก็ได้ “มาดามเดียร์ - เสี่ยบ๊วย” มาเสริมทีมด้วย
ท้ายสุดที่ “สนธิรัตน์” ในฐานะแม่บ้านพรรค ดูจะกลมกลืนไปกับบทบาทนักการเมืองได้อย่างไร้ที่รอยต่อ บู๊บุ๋นได้หมด ด้วยประสบการณ์ด้านธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ เก่งกาจในแง่ทั้งนักการขาย-นักการตลาด ที่ยอมรับกันทั่วทั้งวงการ
อีกทั้งยังมีความ “ยืดหยุ่น-กล้าตัดสินใจ” เห็นๆ กันแล้วกับปม “สิทธิบัตรกัญชา” ที่ค้างคามาร่วมสิบปี “สนธิรัตน์” ตัดจบได้ภายในสัปดาห์เดียว แล้วยังมีนโยบายกระทรวงพาณิชย์ทำคลอดออกมาไม่ยั้ง ปากท้องเรื่องใหญ่ งัดเอา “เถาเป่าวิลเลจโมเดล” ของ มิสเตอร์แจ๊ค หม่า แห่งอาลีบาบา มาใช้ในไทย หวังลุยแก้ปัญหาความยากจน ช่วย “คนตัวเล็ก” ให้รู้จักค้าขายผ่านออนไลน์-อีคอมเมิร์ซ ที่น่าจะเป็นผลงานทิ้งทวนก่อนเข้าสู่โหมด “นักการเมือง” เต็มตัว
จุดเด่นที่สุดของ “สนธิรัตน์” หนีไม่พ้น ความเป็น “นักประสานสิบทิศ” มีคอนเนคชั่นกว้างขวางในแทบทุกวงการ ว่ากันว่าเหล่าอดีตรัฐมนตรี-อดีต ส.ส. กระทั่งเซเลบคนดัง ที่แห่แหนมาร่วมงานกับ “พลังประชารัฐ” นอกจากจะ “เสน่ห์แรง” ตัวแบรนด์ที่ขายได้อยู่แล้ว ยังต้องยกเครดิตให้ “แม่บ้านพรรค” ที่ออกปากทาบทามตามจีบด้วยตัวเอง เป็นผลงาน “มือประสานสิบทิศยุค 4.0” จนคว้า “ดาวเด่น-ดาวฤกษ์” มาได้แบบ “ชุดใหญ่ไฟกะพริบ”(*อ่านบทสัมภาษณ์เรื่อง สัมผัสตัวตน “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” “คีย์เมกเกอร์ทางการเมือง”เบื้องหลัง “พลังประชารัฐ” คลิก)
ขณะที่ลีลาขึ้นเวทีปราศรัยในช่วง “อุ่นเครื่อง” ก็ใช่ย่อย อย่างวันประชุมใหญ่ต้อนรับ “กลุ่มสามมิตร” ควงไมค์ปลุกใจสมาชิกได้ราวกับ “นักพูด-นักการเมืองอาชีพ” เปิดหัวด้วยการ “แซะ” ตัวเอง อย่ามองว่าเป็นเพียง “4 กุมาร” แต่ต้องดูให้ดีว่า “หลัง 4 กุมารมีนินจา” อยู่ด้วย
พร้อมประกาศโพล่ง เห็นหน้าค่าตา “เพื่อนร่วมอุดมการณ์” ล้วนแล้วแต่ “คุณภาพคับแก้ว” แบบนี้ปล่อยตัวลงแข่ง เหมาหมด “350 เขตเลือกตั้ง” สิ้นคำเรียกเสียงเฮอึกทึกครึกโครมไปตามเรื่อง
จนตัวเลข 350 เก้าอี้ กลายเป็น “หัวข่าวใหญ่” ฝ่ายตรงข้ามก็สะดุ้ง หยิบจับบางช่วงบางตอนมาโจมตี คิดเอารัดเอาเปรียบ ชนะยกประเทศ พูดแล้วไม่คืนคำ แต่กลัวจะถูกขยายความไปในทางที่ผิด “แม่บ้าน พปชร.” ลงทุนลากิจเลี่ยงเวลาราชการ แจกแจงให้เคลียร์คัทชัดเจนดีกว่า ปล่อยให้เป็น “ดรามาเคล้าน้ำเน่า” ที่ฝ่ายการเมืองถนัด
เอากันให้ชัดๆ ตัวเลข “350” พูดจริง แต่ก็พูดกับสมาชิกพรรค-ผู้สมัครบางส่วน กระชุ่นให้มีกำลังใจฮึกเหิม ในการทำงานทั้ง 350 พื้นที่ ไม่ได้หมายความว่า “พลังประชารัฐ” จะชนะซิวเก้าอี้กวาด 350 เขตทั้งประเทศ เรื่องแบบนี้ไม่ต้อง “เซียนการเมือง” ใครก็ดูออกว่า “อิมพอสซิเบิล”
อย่างไรก็ตามคำของ “สนธิรัตน์” ที่ว่า “หลัง 4 กุมารมีนินจา” ก็ถูกนำมาตีความต่างๆนานาเช่นกัน หากแต่ดูสถานะของ 4 รัฐมนตรีในรัฐบาล จะว่า “นินจา” คือ “เฮียกวง” สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ เศรษฐกิจ ก็คงไม่ถูกซะทีเดียว ด้วยแกนนำพลังประชารัฐ เคยระบุว่า ขอยกตำแหน่ง “ที่ปรึกษาทางใจ” ให้ไปแล้ว
ส่วนจะเป็น “นายกฯตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล หรือไม่ก็คงไม่ชัด เพราะบทบาทของ “นายกฯตู่” ไม่ได้ใกล้เคียงกับ “นินจา” หากจะเทียบน่าจะไปทาง “ซานตาครอส” มากกว่า
โดยเฉพาะ “โค้งสุดท้าย” ในการทำงานของ “รัฐบาลลุงตู่” ที่ใส่เกียร์ห้า เร่งฝีเท้า ผลักดันงานแก้ไขปัญหาประเทศออกมาไม่หยุดหย่อน โดยเฉพาะ “วาระแก้จน” ที่ระดมออกมาผ่านกลไกรัฐ ทั้งกระทรวงพาณิชย์ ในการส่งเสริมการค้าการลงทุนต่างๆ หรือ กระทรวงอุตสาหกรรม ที่เน้นหนักการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจของ “สตาร์ทอัพ - รายย่อย - รายใหญ่” ตลอดจนเข็นนโยบายที่ “ฝ่ายตรงข้าม” จ้องจับผิดว่าเป็นการหาเสียงออกมาเป็นระยะ
ทั้งนโยบายดูแลราคาพลังงานไม่ให้สูงเกินไป พร้อมมอบส่วนลดราคาพลังงานหลายๆ ชนิดให้กลุ่มประชาชนฐานราก-ผู้มีรายได้น้อย โดยใช้ฐานข้อมูลจาก “บัตรสวัสดิการประชารัฐ” ที่ขึ้นทะเบียนกับกระทรวงการคลัง
ล่าสุดเฮกันลั่นประเทศ เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ “แพคเกจของขวัญปีใหม่” ช่วยเหลือ “ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” จำนวน 14.5 ล้านคน วงเงินดำเนินการทั้งสิ้น 3.87 หมื่นล้านบาท ผ่าน 4 มาตรการ คือ ได้แก่ 1. มาตรการบรรเทาภาระค่าไฟฟ้าและน้ำประปา ซึ่งจะส่งผลให้ผู้มีรายได้น้อยมีภาระค่าครองชีพลดลง โดยกำหนดให้กรณีค่าไฟฟ้า ให้ใช้ไฟฟ้าในวงเงินไม่เกิน 230 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน กรณีน้ำประปาให้ใช้ได้ในวงเงินไม่เกิน 100 บาทต่อ ครัวเรือนต่อเดือน โดยมาตรการดังกล่าว มีผลตั้งแต่ ธ.ค. 61 ถึง ก.ย.62 รวมระยะเวลา 10 เดือน ครอบคลุม 8.2 ล้านครัวเรือน งบประมาณดำเนินการทั้งสิ้น 2.7 หมื่นล้านบาท
2. มาตรการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในช่วงปลายปีให้แก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ในการซื้อสินค้าและบริการเพิ่มเติมในเดือน ธ.ค.61 เป็นเงิน 500 บาทต่อคน (รับครั้งเดียว) กลุ่มเป้าหมายคือ ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐทั้ง 14.5 ล้านคน งบประมาณดำเนินการ 7.25 พันล้านบาท
3. มาตรการช่วยเหลือค่าเดินทางไปรับการรักษาพยาบาล และค่าใช้จ่ายอื่นเกี่ยวกับสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย จำนวน 1,000 บาทต่อคน (รับครั้งเดียว) โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือ ผู้มีรายได้น้อยที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป จำนวน 3.5 ล้านคน ระยะเวลาดำเนินการ ธ.ค. 61 ถึง ก.ย.62 ใช้วงเงินดำเนินการทั้งสิ้น 3,500 ล้านบาท
และ 4. มาตรการช่วยเหลือค่าเช่าบ้านสำหรับผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย จำนวน 400 บาท ต่อคนต่อเดือน ระหว่างเดือน ธ.ค.61 ถึง ก.ย.62 สำหรับผู้สูงอายุ ที่ถือบัตรสวัสดิการ ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 2.2 แสนคน และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 2.3 แสนคน ในเดือน ก.ย.62 โดยใช้วงเงินดำเนินการทั้งสิ้น 920 ล้านบาท
ถัดมาเป็นคิวของ “เกษตรชาวสวนยาง” โดย ครม.อนุมัติโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง วงเงินรวม 18,604 ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยจ่ายเงินช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางไร่ละ 1,800 บาท ไม่เกิน รายละ 15 ไร่ รวมเป็นเงิน 27,000 บาท แบ่งเป็นจ่ายให้เจ้าของชาวสวนยาง 1,100 บาท และคนกรีดยาง 700 บาท มีเกษตรกรได้รับการช่วยเหลือเกือบ 1 ล้านราย และคนกรีดยาง 3 แสนกว่าราย พื้นที่ 10 ล้านไร่
พร้อมทั้งช่วยเหลือความเดือดร้อนของ “พี่น้องชาวสวนปาล์ม” โดยอนุมัติ “งบกลาง” วงเงิน 525 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่มให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่จะรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบ 1.6 แสนตัน ใช้ผลิตไฟฟ้าในราคากิโลกรัมละ 18 บาท ช่วงเดือน พ.ย.61-ก.พ.62 โดยจะทำให้สต็อกปาล์มน้ำมันในประเทศที่มีเกินอยู่ 2.4 แสนตัน ให้ลดลงได้ เพื่อทำให้ราคาในตลาดดีดตัวสูงขึ้น
กลุ่มที่ได้เนื้อๆเน้นๆ หนีไม่พ้น “ข้าราชการบำนาญ” ผ่าน 2 มาตรการช่วยเหลือหนึ่ง ข้าราชการบำนาญสามารถนำบำเหน็จตกทอด 30 เท่าของเงินเดือน มาใช้เป็นบำเหน็จดำรงชีพได้เป็นครั้งที่ 3 อีก 1 แสนบาท มีผู้ได้สิทธิ 6.59 แสนคน วงเงินดำเนินการ 2 หมื่นล้านบาท และ 2.เติมเงินข้าราชการบำนาญที่ได้บำเหน็จต่ำกว่าเดือนละ 1 หมื่นบาท ให้เป็น 1 หมื่นบาท จำนวน 5.27 หมื่นคน วงเงินดำเนินการ 559 ล้านบาทต่อปี
แล้วยังมีการอนุมัติให้ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) จัดทำโครงการบ้านล้านหลัง วงเงิน 6 หมื่นล้านบาท ให้ผู้มีรายได้น้อย กลุ่มคนวัยทำงาน กลุ่มผู้สูงอายุ วงเงินสินเชื่อรายย่อย 5 หมื่นล้านบาท สำหรับซื้อบ้านราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท ผ่อนนาน 40 ปีอีกด้วย
เรียกว่าปูพรมทั่วประเทศ ฝนตกทั่วฟ้า จัดเต็มส่งท้ายปลายปี ยิงสลุตออกมาในช่วงที่เผอิญงวดเข้าใกล้การเลือกตั้งฤกษ์แรก 24 ก.พ.62 ทำเอาพรรคการเมืองโวยกันลั่น ออกมาดิสเครดิตว่า “รัฐบาล คสช.” พยายาม “หาเสียง” ผ่าน “บัตรคนจน” หรือแก้ไขปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตรแบบเกาไม่ถูกที่คัน
แต่โวยไปก็เท่านั้น ด้วยต้องยอมรับว่าอำนาจอยู่ในมือใคร แล้วชาวบ้านได้ประโยชน์อย่างไรด้วย ซึ่งนาทีนี้พูดได้เลยว่า เป็น “ยุทธศาสตร์ทางการเมือง” ที่ได้ผลตรงเป้าและตรงประเด็นจนเป็นการบ้านให้พรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามต้องแก้เกมกันจ้าละหวั่น เพราะไม่เช่นนั้นไอ้ที่เคยโม้ๆ ไว้ก็จะกลายเป็นลมที่พ่นออกจากปากเท่านั้น
เมื่อจับทิศทางลม การแต่งตัวเตรียมความพร้อมของ “พรรคพลังประชารัฐ” รวมไปถึงพัฒนาการในฐานะนักการเมืองของ “4 กุมาร”
กระทั่งมาตรการอัดฉีดเอาใจคนไทย ที่ออกมาจาก “ซานตาตู่” ที่คาดกันว่าจะมีชื่ออยู่บนลิสต์เบอร์ 1 ผู้เสนอตัวเป็นนายกรัฐมนตรีหลังเลือกตั้งของพรรคพลังประชารัฐด้วยแล้ว
คงพูดได้ไม่ผิดว่า นาทีนี้ขุมกำลัง “4 กุมาร” ผสานกับ “ซานตาตู่” พร้อมสุดๆสำหรับการลุยศึกเลือกตั้งใหญ่ 2562.