ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ที่มาที่ไปไม่ธรรมดาสำหรับเบื้องหลัง “ภารกิจหัวใจติดปีก” บินลัดฟ้ารับหัวใจจากผู้บริจาคอวัยวะ ของ “กัปตันหนู” หรือ “เสี่ยหนู - อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ในปฏิบัติการ “เฉพาะกิจ” ที่มีชีวิตเป็นเดิมพัน
ที่สำคัญ กัปตันหนูไม่ได้ทำเพียงแค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น เพราะนับจาก “เคสแรก” กระทั่งถึงปัจจุบันก็เดินหน้าไปถึง “เคสที่ 24” และเป็นที่น่าดีใจว่า ทุกเคส “มิชชั่นคอมพลีส” เพราะสามารถช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
แน่นอน สังคมอยากรู้ว่า ภารกิจหัวใจติดปีกของ “กัปตันหนู” นั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร และวันนี้เขาจะมาบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดกับ “ผู้จัดการสุดสัปดาห์”
จุดเริ่มต้นภารกิจของ “กัปตันหนู” เกิดขึ้นหลังจากที่พรรคไทยรักไทยถูกตัดสินยุบพรรค ซึ่งนั่นส่งผลให้เขาที่นั่งแท่นเป็น “กรรมการบริหารพรรค” ต้องถูกตัดสินการเมืองเป็นเวลา 5 ปี โดยที่เขาไม่ล่วงรู้มาก่อนเลยว่า ห้วงเวลาว่างเว้นจากงานการเมืองจะเป็นจุดเริ่มต้นของ “ภารกิจหัวใจติดปีก” สวมบทบาท “กัปตันหนู” บินลัดฟ้าพร้อมคณะแพทย์เพื่อรับอวัยวะต่างๆ จากผู้บริจาค เช่น หัวใจ ไต หรือตับ เป็นต้น มาส่งต่อให้ “ผู้ป่วย” ที่รอการ “ปลูกถ่ายอวัยวะ”
“ไม่รู้จะเรียกว่าโชคดีหรือไม่ดี”กัปตันหนูเล่าด้วยรอยยิ้มอย่างมีความสุข
หลังถูกเว้นวรรคทางการเมือง กัปตันหนูที่มีเวลาว่างก็พยายามหากิจกรรมต่างๆ ทำ และมีโอกาสได้รู้จักมิตรสหายท่านหนึ่งที่ขับเครื่องบินเก่ง ชอบขับเครื่อบินไปไหนมาไหนด้วยตัวเอง และแน่นอนว่าเขามีโอกาสได้นั่งเครื่องบินของมิตรสหายท่านนี้ไปโน้นไปนี่ทั่วประเทศ
ประจวบเหมาะเมื่อมีโอกาสใกล้ชิดกับคนขับเครื่องบิน ก็พูดคุยซักถามข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับกิจกรรมที่ชื่นชอบมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ ตามประสาลูกผู้ชายที่มีความใฝ่ฝันอยากขับเครื่องบินเป็นทุนเดิม จากนั้นก็เริ่มต้นด้วยการไปสมัครเรียนเป็นศิษย์การบิน ใช้เวลาอยู่ราวๆ 2 ปีกว่า ร่ำเรียน ฝึกฝนและในที่สุดก็สอบผ่านได้ใบขับขี่ ต่อมาก็เริ่มมองหาเครื่องบินลำเล็กๆ มาเป็นของตัวเอง
เสี่ยหนู บอกว่า “การที่เรามีเครื่องบินเป็นของตัวเองเราก็จะสร้างชั่วโมงบินได้เยอะมาก ไม่ต้องไปเช่าเครื่องบิน ไม่ต้องไปรอคิวให้เสียเวลา และตัวผมเองก็อยู่ในสถานะที่สามารถซื้อเครื่องบินเป็นของตัวเองได้”
และก็เป็นธรรมเนียมผู้คนในยุคโซเชียลที่จะต้องมีการโพสต์ภาพที่ตัวเองขับเครื่องบินลงเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ฯลฯ ให้เพื่อนฝูงได้ดูกันตามประสา
แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่งนายแพทย์ซึ่งเป็นเพื่อนสมัยเรียนกันมาคือ “นพ. พัชร อ่องจริต” แพทย์หน่วยศัลยศาสตร์ทรวงอก ฝ่ายศัลยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ซึ่งมีหน้าที่ไปรับอวัยวะ เช่น หัวใจ ตับ ไต ต่างๆ จากผู้ที่กำลังจะเสียชีวิตเพื่อไปเปลี่ยนถ่ายให้กับผู้ที่เจ็บป่วยจากอวัยวะที่ไม่สมบูรณ์หรือไม่แข็งแรง ก็ติดต่อสายตรงเข้ามาสอบถามเพื่อขอความช่วยเหลือ
“ช่วยบินให้หน่อยได้ไหม มีความจำเป็นมาก หาการสนับสนุนจากสายการบินไหนไม่ได้เลย ไม่มีไฟล์ท หน่วยงานราชการก็ไม่สะดวก มีเคสต้องไปรับหัวใจจากจังหวัดอุดรธานี มากรุงเทพฯ คืนนี้ตอน 5 ทุ่มกว่าๆ พอจะสะดวกไปไหม?”
กัปตันหนู ตอบรับทันที
“แค่บอกว่า... เอาหัวใจจากคนหนึ่งที่กำลังจะสิ้นชีวิต ไปให้อีกคนหนึ่งที่กำลังจะสิ้นชีวิตเหมือนกัน เท่ากับว่า แทนที่จะตายสองคนก็มีรอดหนึ่งคน แค่นี้ก็ทำแล้ว... ไม่ถามไม่พูดพล่ามทำเพลง ถามแค่จะไปกี่โมงแล้วก็ทำทุกอย่างให้พร้อม นั่นคือจุดเริ่มต้น”
ขณะที่บินไปรับหัวใจที่ อุดรฯ มาส่งมอบผู้ป่วยในกรุงเทพฯ ใช้เวลา 1 ชั่วโมงกว่าๆ มีโอกาสได้คุยกับ นพ. พัชร ซึ่งทำให้ได้ทราบข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาของการขนส่งอวัยวะเพื่อนำมาปลูกถ่าย ยกตัวอย่างเช่นบางทีต้องทิ้งเคสไปเลย เพราะว่าถึงแม้จะมีคนบริจาคอวัยวะ แต่การเดินทางไม่เอื้ออำนวยให้ เนื่องจากหัวใจเมื่อเอาออกจากร่างคนบริจาคแล้ว จะต้องเอาไปใส่ในร่างคนใหม่ภายใน 4 ชั่วโมง ฉะนั้น ถ้าเกิดฉุก ละหุกมีกรณีฉุกเฉินตอนดึกดื่นค่ำคืนจะไม่สามารถรอไม่ได้ และหัวใจที่อยู่ในคนที่บริจาคต้องเป็นหัวใจที่ยังเต้นอยู่ เพียงแต่คนที่บริจาคจะต้องถูกยืนยันว่าสมองตาย 2 ครั้ง ซึ่งในทางการแพทย์ถือว่าเสียชีวิตแล้ว เพราะฉะนั้นทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับเวลาเป็นสำคัญ
หลังฟัง นพ. พัชร เล่าจบ กัปตันหนูก็ได้ติดสินใจและพูดออกไปว่า “ต่อไปนี้ปัญหานี้หมดไป ต่อไปนี้เพื่อนมีอะไรเพื่อนก็โทรหาเรา เราพร้อม 24 ชั่วโมง” ซึ่งนพ. พัชรได้กล่าวตอบว่า “ถ้าทำอย่างนั้นได้ จะดีใจมาก อนุโมทนาสาธุเลย”
นั่นคือจุดเริ่มต้น “ภารกิจหัวใจติดปีก” ของ “กัปตันหนู - อนุทิน ชาญวีรกูล”
“ผมได้ให้คำมั่นสัญญาว่าผมจะทำ เพราะผมขับเอง ผมไม่ได้ไปรบกวนใคร และค่าใช้จ่ายผมก็มีแค่ค่าน้ำมัน ก็อยู่ในวิสัยที่ตัวผมเองจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเหล่านี้ได้”
สำหรับ “ภารกิจหัวใจติดปีก” ใช้เครื่องบินระดับกลางที่บินเพียงคนเดียวตามใบขับขี่ฯ แน่นอนว่า ทำความเร็วได้เพียงพอที่จะพอนำชิ้นส่วนอวัยวะที่ได้รับการบริจาคมาส่งถึงผู้ป่วยในกรอบเวลา 4 ชั่วโมง อย่างไรก็ดี ภารกิจดังกล่าวไม่ใช่เรื่องง่าย และมีอุปสรรคมากมาย เช่นเรื่องสภาพดินฟ้าอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย
“วันนี้ตื่นมาก่อนตีสี่ กังวลเล็กน้อยว่าถ้าถึงเวลาตีห้าตามที่นัดหมาย อากาศไม่ดี เครื่องขึ้นไม่ได้ จะทำอย่างไร ก่อนออกจากบ้านไหว้พระขอพรให้ภารกิจวันนี้สำเร็จด้วยดี เพื่อชีวิตคนที่รอและความตั้งใจของที่คนให้จะบรรลุเป้าหมาย ผมกับลูกสาวมาถึงดอนเมืองก่อนตีห้า เล็กน้อย อากาศไม่แย่อย่างที่คิด หมอพัชร กับทีมงานพร้อมอยู่แล้ว เรารีบมุ่งหน้าไปที่เครื่องบินทันที ทุกคนประจำตำแหน่งตามที่เคยทำมา ผมประจำการที่นั่งกัปตันเครื่องบิน เหมือน 20 ครั้งที่ผ่านมา วันนี้มีลูกสาวนั่งข้างๆ เป็นกำลังใจให้พ่อ เครื่องขึ้นได้ไม่นาน ลมมา ฝนมา มองไปที่ปีกเครื่องบิน เห็นน้ำแข็งเกาะบางๆ วันนี้อากาศไม่ดีนัก แต่ผมกับทีมหมอพัชรเคยผ่านที่แย่กว่านี้มาแล้ว เรามามาทำความดี ความดีจะคุ้มครองเรา ผมคิดแบบนี้ทุกครั้ง ประมาณ 1 ชั่วโมง เราก็ถึงอุดรธานี หมอพัชรกับทีมมุ่งหน้าไปหาผู้ให้ทันที ส่วนผม พนักงานขับเครื่องบิน ก็รอหัวใจที่ยิ่งใหญ่ของคนคนหนึ่ง ที่มีให้กับคนที่ไม่เคยรู้จัก แต่เป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่มนุษย์จะให้กันได้ 3 ชั่วโมงผ่านไป หมอพัชรกับทีมกลับมาที่ลานจอดเครื่องบิน พร้อมกระติกพลาสติก สีขาว ด้วยท่าทีที่เร่งรีบ”
“ไม่ต้องบอกว่าต้องทำอะไร ผมประจำตำแหน่งรออยู่แล้ว ขับเครื่องบินกลับกรุงเทพฯ ทันที ขามาเรามา 6 คน กับหัวใจ 6 ดวง ขากลับเรากลับ 6 คนกับหัวใจ 7 ดวง ที่เพิ่มมา 1 ดวงนั้น เป็นหัวใจของเทวดา หัวใจของผู้ให้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด วันนี้คนธรรมดาอย่างผม ได้มีส่วนร่วมกับการให้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอีกครั้ง และมีส่วนช่วยให้ผู้ให้และผู้รับบรรลุเป้าหมายของพวกเขา หัวใจเพื่อหัวใจ ชีวิตหนึ่งเพื่อหลายชีวิต ด้วยจิตคารวะแด่ผู้ให้ทุกคน”กัปตันหนูโพสต์เล่าเรื่องราวเอาไว้ในเฟซบุ๊กส่วนตัว
หรือย่างเคสล่าสุด เคสที่ 24 เมื่อวันเสาร์ 17 พ.ย. 2561 ซึ่งเป็นวันที่เขาติดภารกิจทางการเมืองที่มีความสำคัญมาก ปรากฏว่า นพ.พัชรได้ต่อสายมาช่วงกลางดึกของคืนวันศุกร์บอกว่า มีเคสด่วน ซึ่งเขาพยายามขอปรับเวลาว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ที่จะขยับภารกิจออกไปจากเดิมเพื่อที่ตัวเขาเองจะได้ไม่เสียงานที่กำหนดนัดหมายล่วงหน้าเอาไว้แล้ว แต่เสียงปลายสายจาก นพ.พัชรได้ตอบกลับมาว่า “ปรับไม่ได้ ไม่เป็นไรอย่าไปกังวล เราทิ้งเคสนี้ไป เดี๋ยวก็มีเคสใหม่ อย่าไปกังวล”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสี่ยหนูตัดสินยกเลิกนัดที่มีอยู่เพื่อบินไปรับหัวใจจากผู้บริจาคในทันที
“รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องของความรับผิดชอบ เราเคยกับตัวเอง คุยไปร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำว่า ถ้าผมติดภารกิจนัดหัวใจต่อให้ผมนัดใครคุณต้องเข้าใจ ถ้าผมจะเลิกนัดแล้วไป นั่นคือเอกสิทธิ์ของเราที่จะเลือกไปทำสิ่งที่สำคัญกว่า เป็นการต่อชีวิตคนหนึ่ง”
เสี่ยหนู บอกว่าการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ใน “ภารกิจหัวใจติดปีก” เป็นความสุข ช่วยบรรเทาในเวลาที่ตนเองมีความทุกข์ การบินไปรับอวัยวะกับคณะแพทย์ ทั้งระนอง ร้อยเอ็ด อุบล เชียงราย หาดใหญ่ เชียงใหม่ ขอนแก่น นครพนม ฯลฯ แค่คิดถึงก็ทำให้มีความสุขและทำให้ความทุกข์ต่างๆ ที่แบกอยู่มันก็ผ่อนคลายลง
สำหรับความท้าทายที่ในภารกิจหัวใจติดปีกคือการทำงานแข่งกับเวลา เพราะคนไข้มีเวลารับอวัยวะบริจาคภายใน 4 ชั่วโมงเท่านั้น
“เมื่อคุณหมอได้ทำการหยุดหัวใจเปิดอกผู้บริจาคแล้ว ภาษาแพทย์ใช้คำว่าถูกตัดออกมาแล้ว สิ่งแรกที่คุณหมอต้องทำคือโทร.มาที่กรุงเทพฯ ให้ทำการเปิดอกคนที่จะรับ เพราะว่ามีเวลาเพียงแค่ 4 ชั่วโมง มีเวลาที่หัวใจดวงนั้นจะแข็งแรง ถ้าเกิน 4 ชั่วโมงไม่คุ้มค่ากับการใส่เข้าไป ผมรู้แต่เพียงว่ามีเวลา 4ชั่งโมงแต่ยิ่งเร็วก็ยิ่งดี ยิ่งเร็วหัวใจก็ยิ่งแข็งแรง หน้าที่ผลคือกลับมาให้เร็วที่สุด อย่างถ้ามีเคสไปรับที่หาดใหญ่นี่ต้องบินให้เต็มที่เลยเพราะใช้เวลาค่อนข้างเยอะเมื่อเทียบกับที่อื่น”
นพ.พัชร เคยบอกเอาไว้ว่า “ทุกอย่างอยู่ที่มือของคุณอนุทินแล้ว คนรับเปิดหน้าอกแล้ว ถ้าหัวใจไปไม่ถึง คนรับปิดหน้าอกส่งวัดอย่างเดียว”
กล่าวสำหรับ 24 เคสที่ผ่านมา ยังไม่มีเคสไหนที่ล้มเหลว ผู้รับบริจาคทุกคนเมื่อได้รับหัวใจใหม่ไปแล้วก็ใช้ชีวิตปกติและมีความแข็งแรงตามอัตภาพ
ไม่เพียงทำหน้าที่กัปตันขับเครื่องบิน เสี่ยหนู ยังลงแรงช่วยทีมแพทย์พยาบาลขนชิ้นส่วนอวัยวะที่ได้รับการบริจาค ซึ่งบรรจุอยู่ถังน้ำแข็งซึ่งมีน้ำหนักไม่ใช่เบาๆ และแต่ละเที่ยวบินไม่ได้รับมาเพียงแค่หัวใจอย่างเดียว ยังมีอวัยวะอื่นๆ เช่น ปอด ตับ ม้าม ดวงตา ฯลฯ ตามดุลพินิจของคณะแพทย์ภายใต้เงื่อนไขความสมบูรณ์ทางร่างกายของผู้บริจาค
เท่ากับว่า 24 เคส 24 เที่ยวบินที่ผ่านมา ไม่ใช่เพียงแค่ 24 ชีวิตที่ได้รับการบริจาคหัวใจ เพราะอวัยวะเหล่านั้นสามารถต่อลมหายใจผู้คนได้อีกหลายชีวิตเลยทีเดียว
เสี่ยหนูเล่าถึงข้อความที่ นพ.พัชรบอกกับเขาอยู่เสมอว่า “การขับเครื่องบินพาเขาไปต่างจังหวัดทั่วประเทศ ไม่ว่าจะยามดึกดื่นเที่ยงคืนหรือเช้าตรู่ ทุกครั้งมันคุ้มนะ บางทีคุณหมอโชคดีได้คนที่แข็งแรง ก็ไม่ได้หิ้วหัวใจกลับมาอย่างเดียว อย่างวันนี้ได้มาตั้ง 5 - 6ชิ้น ไม่ใช่เพียงหัวใจอย่างเดียว คุณอนุทินต่อชีวิตคน 6 คน นั่นเท่ากับว่าผมบินไปรับอวัยวะ หิ้วไตสองข้าง ปอดสองข้าง ตับ ลูกตา ฯลฯ มาด้วย ซึ่งก็สามารถช่วยผู้ป่วยได้หลายรายผมฟังแค่นี้ก็รู้สึกปลื้มแล้วก็บอกตัวเองว่าจะไม่พลาดสักเคส”
แน่นอน ภารกิจหัวใจติดปีกจึงต้องเตรียมตัวให้พร้อมอยู่ตลอดเวลาและพลาดไม่ได้โดยเด็ดขาด แม้ยังไม่เคยมีเคสไหนล้มเหลวแต่ นพ. พัชร ก็ย้ำเตือนกัปตันหนูอยู่ตลอดว่า อย่ามองโลกสวยเกินไป เพราะหากวันใดวันหนึ่งเฟลขึ้นมาจะกลายเป็นว่าหมดกำลังใจไม่กล้าทำต่อ
ด้วยเหตุดังกล่าว เสี่ยหนูจึงมีปณิธานแนวแน่ว่า ไหนๆ ทุกคนอุตส่าห์เหนื่อยแล้ว ไม่ว่าจะร่วมบินไฟล์ทเช้าตรู่หรือไฟล์ทกลางดึก กล่าวคือเมื่อเท้าพ้นพื้นความเสี่ยงมากมาย เพราะฉะนั้นต้องไม่ให้เกิดความผิดพลาดและให้คุ้มค่าเหนื่อย หลายครั้งสภาพอากาศแปรปรวน ทัศนวิสัยการบินไม่ดี ก็นับเป็นความท้าทายที่ต้องเอาชนะธรรมชาติให้ได้
กัปตันหนู กล่าวทิ้งท้ายถึงภารกิจหัวใจติดปีกว่า ตอนนี้ทำเท่าที่ทำได้ไม่คิดต้องตั้งมูลนิธิหรือเป็นองค์กรใดองค์กรหนึ่ง เป็นความภาคภูมิใจส่วนตัวของผม เรียกว่าไม่กล้ารบกวนคนอื่น เพราะเราไม่รู้ว่าต้นทุนต่างๆ เขาจะคิดเหมือนเราหรือเปล่า ยกตัวอย่าง นักบินอาชีพบินจะไปขอทุกครั้งได้หรือเปล่า เพราะมันคืออาชีพของเขาเขาบินทุกครั้งมีค่าใช้จ่าย หรือหากเป็นครั้งคราวก็คงพอไหว อีกทั้งเคสไม่มากมายนักยังรับมือไม่ไหว
“มันเป็นความปีติ ผมมองว่าเป็นวาสนาเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์จริงๆ ไม่ต้องให้มานั่งอภิปรายไม่ไว้วางใจว่ามันเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ ทุกคน...แม้กระทั่งคนที่ไม่ชอบเราหรือเป็นศัตรูกับเราหรืออะไรก็แล้วแต่ ต่างต้องยอมรับว่านี่คือสิ่งที่ถูกต้อง นี่คือเหตุผลที่ไม่เคยปฏิเสธเคสไหนเลย ถามว่าเคยมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า ทำเพื่อหวังผลทางการเมืองไหม ทำเพื่อสร้างภาพไหม มี แรกๆ ผมก็หวั่นอยู่เหมือนกันว่าจะทำให้จิตตก มีคนโพสต์แสดงความคิดเห็นในทำนองนี้ แต่ก็มีคนมาตอบแทนผมว่า สร้างภาพแบบนี้ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย ” อนุทิน ชาญวีรกูลบอกเล่าอย่างมีความสุขและใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มอย่างชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องทางการเมือง