ผู้จัดการสุดสัดาห์ - กลับมาเป็นที่น่าจับตามองอีกครั้งสำหรับ “พรรคชาติไทยพัฒนา(ชทพ.)” ในยุคที่มี “หนูนา-กัญจนา ศิลปอาชา” บุตรสาวของนายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกรัฐมนตรี เเป็นหัวหน้าพรรค เพราะทำท่าว่าจะเกิด “ปัญหาภายใน” ที่เข้าขั้นรุนแรงไม่เบา และนำมาซึ่งคำถามว่า อนาคตของพรรคนั้น จะ “รุ่ง” หรือจะ “ร่วง” กันแน่
แรกเริ่มเดิมที ภายหลังการขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคของ “หนูนา” พร้อมกับเปิดตัวกรรมการบริหารและสมาชิกใหม่นั้น สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า ทิศทางของพรรคดูจะ “รุ่งเรือง” อยู่ไม่น้อย เพราะน่าจะอยู่ในขั้วของฝ่ายที่คุมเกมในการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง และพร้อมรับสภาพ “นั่งร้าน” เหมือนเช่นทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา
โดยเฉพาะการกลับเข้ามาของ “ประภัตร โพธสุธน” พร้อมๆ กับการดึงก๊วนใหม่เข้ามาร่วมทีมอย่าง “กลุ่มสะสมทรัพย์” นำโดย “อนุชา สะสมทรัพย์” อดีต ส.ส.นครปฐม เขต4 พรรคเพื่อไทย และกลุ่มมาตุภูมิที่นำโดย “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ซึ่งในทางการเมืองและการเลือกตั้งแล้วถือเป็น “สูตรสำเร็จ” ที่ลงตัวไม่น้อย
ทั้งนี้ ในการประชุมใหญ่เพื่อเลือกหัวหน้าและคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ผลปรากฏว่า ที่ประชุมมีมติเลือก น.ส.กัญจนาเป็นหัวหน้าพรรค ขณะที่นายประภัตรเป็นเลขาธิการพรรค นายนิกร จำนง เป็นผู้อำนวยการพรรค
ส่วนกรรมการบริหารพรรคในตำแหน่งอื่นที่น่าสนใจก็อย่างเช่น เก้าอี้รองหัวหน้าพรรค 5 คน ได้แก่ อนุรักษ์ จุรีมาศ, อนุชา สะสมทรัพย์, วิจิตร พรพฤฒิพันธุ์, สัมพันธ์ แป้นพัฒน์ ยุทธพล อังกินันทน์ รองเลขาธิการพรรค 3 คน ได้แก่ นายนิติวัฒน์ จันทร์สว่าง นายพันธุ์เทพ สุลีสถิร และ น.ส.ทัศน์ลักษณ์ ปัตตพงศ์ภัช ส่วน นางพวงรัตน์ ชัยบุตร เป็นเหรัญญิกพรรค และ นายพิสิษฐ์ พิทยฐากุลเจริญ เป็นนายทะเบียนสมาชิกพรรค ขณะที่กรรมการบริหารอื่นของพรรค จำนวน 6 คน ได้แก่ นายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์, นายนพดล มาตรศรี, นายสุรชัย ทิณเกิด, นายอภิวัชร บัวพันธ์, นายณรงค์ นุ่นทอง และ นายเสน่ห์ ขาวโต
ในครั้งนั้นสปอร์ตไลท์ก็ฉายไปที่ “ลูกท็อป-วราวุธ ศิลปอาชา” ผู้เป็นน้องชาย เพราะก่อนหน้านี้ได้รับการคาดหมายว่าจะได้รับเลือกขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรค พร้อมๆ กับ “กลุ่มเลือดใหม่” มาตลอด โดยจะมีกลุ่มอดีต ส.ส.อาวุโสในพรรค ทำหน้าที่พี่เลี้ยง ทว่า สุดท้ายผลก็ออกมาอย่างที่รู้กัน
และจากนั้น “รอยร้าว” ก็เริ่มปรากฏให้เห็นมาเป็นลำดับ
เริ่มจาก “เสี่ยโต้ง” สิริพงศ์ อังสกุลเกียรติ” ที่เคยถูกวางตัวไว้เป็นเลขาธิการพรรค ก็ประกาศอำลาพรรคพร้อมกับย้ายสังกัดไปซบพรรคภูมิใจไทยของ “เสี่ยหนู-เสี่ยเน” เพื่อชิงเก้าอี้ ส.ส.ศรีสะเกษ
“ที่ผ่านมาก็ได้มีการพูดคุยกับผู้ใหญ่ในพรรคชาติไทยพัฒนาหลายท่าน ซึ่ง ผู้ใหญ่ก็บอกว่าอยากจะให้ช่วยพรรคชาติไทยพัฒนาก่อน แต่ส่วนตัวมองว่าไม่ใช่แนวทางของตัวเองอีกต่อไปแล้ว วันนี้ไม่สามารถที่จะทำงานกับพรรค ในสภาพที่ตัวเองเป็นแบบนี้ หมายถึงความคิดของตัวเองจะไม่เหมาะกับพรรคนี้อีกต่อไปแล้ว ยืนยันเรื่องของการย้ายพรรคไม่เกี่ยวกับความขัดแย้ง แต่เป็นเรื่องของแนวทางในแต่ละบุคคล”นายสิริพงศ์ให้เหตุผลถึงการออกจากพรรค
ที่น่าสนใจคือ ในระหว่างที่นายสิริพงศ์เข้ายื่นใบลาออก ได้ปรากฏร่างของนายภราดร ปริศนานันทกุล และนายกรวีร์ ปริศนานันทกุล อดีต ส.ส.อ่างทอง พรรคชาติไทยพัฒนา มาให้กำลังใจ ขณะที่นายสิริพงศ์มีน้ำตาคลอเบ้ากับการจากลาในครั้งนั้น และเป็นที่จับตาว่า จะมีอะไรตามาหลังจากนั้นอีกหรือไม่
จากนั้นพรรคชาติไทยพัฒนาของ “หนูนา” ก็ดังเปรี้ยงอีกครั้งเมื่อ “เฮียตือ" สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ประกาศอำลาพรรคไปแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย และตามมาด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า พรรคกำลังมีปัญหาภายใน เนื่องจากนายสมศักดิ์นั้นถือว่าเป็นขุนพลข้างกายนายบรรหารมาอย่างต่อเนื่อง และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาร่วม 30 ปีก็ไม่เคยย้ายไปอยู่พรรคไหน ร่วมหัวจมท้ายกับพรรคแม้จะเกิดปัญหาสารพัดสารพันก็ตาม
ทั้งนี้ แม้นายสมศักดิ์จะชี้แจงเหตุผลที่อำลาว่า เพราะถูกตัดสิทธิทางการเมืองและเกรงว่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้พรรคถูกยุบเหมือนกรณีพรรคเพื่อไทยกับนายทักษิณ ชินวัตร จึงตัดสินใจออกมาและใช้ชีวิตกับครอบครัวที่ จ.อ่างทอง แต่ก็ไม่มีใครเชื่อว่านั่นจะเป็นเหตุผลที่แท้จริง
ขณะที่ “หนูนา” ก็ยืนยันว่า ไม่ได้เกี่ยวกับกับปรับโครงสร้างพรรค โดยบอกว่า “ถือว่านายสมศักดิ์เห็นแก่ส่วนรวม แม้ว่าไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค แต่ก็ยังลดบทบาทตัวเองลงไปอีก ความเป็นสมศักดิ์ ปริศนานันทกุลกับครอบครัวศิลปอาชาเป็นมากกว่านักการเมืองร่วมพรรค เพราะเป็นเหมือนครอบครัวเดียวกัน นายสมศักดิ์เป็นหนึ่งในขุนพลคู่ใจนายบรรหาร ศิลปอาชา ไม่ว่ายามเป็นรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน หรือเวลาที่ท่านบรรหารถูกโจมตีทางการเมือง นายสมศักดิ์อยู่เคียงข้างกันมาตลอด”
ทว่า แม้ทั้งสองคนจะปฏิเสธว่าไม่มีปัญหาทางใจระหว่างกัน แต่ก็ปรากฏข่าวลือที่ดังกระหึ่มขึ้นอีกครั้งว่า นายภราดร และนายกรวีร์ ปริศนานันทกุล อดีต ส.ส.อ่างทอง พรรคชาติไทยพัฒนาบุตรชายทั้ง 2 ของนายสมศักดิ์กำลังตัดสินใจ “ย้ายค่าย” โดยมีเปอร์เซ็นต์สูงที่จะไปซบ “เสี่ยหนู-เสี่ยเน” ตามรอย “เพื่อนโต้ง” ที่นำทางไปก่อนหน้านี้
“ยอมรับว่าสถานะใน ชทพ.มีความอึดอัดเกิดขึ้นตั้งแต่การปรับเปลี่ยนโครงสร้างผู้บริหารชุดใหม่ที่เปลี่ยนไปจากเดิม จากคนรุ่นใหม่ที่เคยหารือกันและวางแนวทางชัดเจนในการสร้างพรรคให้เป็นสถาบันทางการเมือง”แบ็ท-ภราดร ปริศนานันทกุลกล่าวอย่างมีนัยสำคัญและไม่ได้เดินทางเข้ามาร่วมต้อนรับสมาชิกใหม่ของพรรคระหว่างการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคเมื่อวันที่ 7 พ.ย.ที่ผ่านมาแต่อย่างใด
ส่วน “เสี่ยท็อป-วราวุธ ศิลปอาชา” น้องชายของ “หนูนา” นั้น ซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่มเลือดใหม่และก่อนหน้านี้ได้รับคาดหมายว่าเป็นหัวหน้าพรรคนั้น ไม่มีใครรู้ว่า “เขารู้สึกอย่างไร” แต่ที่แน่ๆ คือล่าสุดได้รับการคัดเลือกให้เป็นประธานคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์ของพรรค พร้อมกับนายอนุรักษ์ จุรีมาศที่เป็นประธานคณะกรรมการกฎหมายและการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร นายธีระ วงศ์สมุทรที่เคยถูกเสนอชื่อเป็นหัวหน้าพรรคพร้อมกับหนูนาแต่ถอนตัวในเวลาต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นประธานคณะกรรมการดำเนินกิจกรรมของพรรค สาขาพรรคและตัวแทนพรรคประจำจังหวัด นายธรรมา ปิ่นสุกาญจนะเป็นประธานคณะกรรมการมาตรฐานทางจริยธรรม และนายนิกร จำนงเป็นประธานคณะกรรมการประชาสัมพันธ์และเทคโนโลยีสารสนเทศ ควบเก้าอี้ผู้อำนวยการพรรค
แต่ไม่ว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นอย่างไร เมื่อพิจารณาทิศทางของพรรค ชทพ.ก็พบว่ายังคง “เนื้อหอม” และมีผู้สนใจเข้าร่วมงานกับพรรคไม่น้อย เช่น นายสมคิด บาลไธสง อดีต ส.ส.หนองคาย พรรคเพื่อไทย นายภักดีหาญส์ หิมะทองคำ อดีตรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และสมาชิกพรรคเพื่อไทย พล.ต.ต.พินิต มณีรัตน์ อดีตโฆษกเมืองพัทยา เป็นต้น
ขณะที่ “อนาคต” นั้น ดูทรงแล้ว คงไม่ต่างจากในยุคของนายบรรหาร เพราะ “พร้อม” ที่จะเข้าร่วมกับทุกขั้วการเมืองในการจัดตั้งรัฐบาล ไม่ว่าขั้วไหนจะชนะการเลือกตั้ง ทั้งขั้วเพื่อไทย ขั้วประชาธิปัตย์-หรือขั้วพลังประชารัฐ ดังที่ “หนูนา” ประกาศเอาไว้ว่า “วันนี้นายบรรหารได้จากไปแล้ว แต่ยังทิ้งเลือดความเป็นนายบรรหารไว้ในตัวของตนเองและน้องชาย ทั้งเรื่องการถือสัจจะและการสร้างมิตรมากกว่าศัตรู”
อีกไม่นานคงรู้กัน.