xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

เชือดสองนายพลจีนทุจริตค้าอาวุธ รู้ยัง “ป๋าป้อม” ไม่เกี่ยว แต่อาจเอี่ยว “รถไฟสุดอืด-เรือล่มทัวร์หนี”

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

ภาพของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ขณะให้การต้อนรับ พล.อ.ฝาง เฟิงฮุย ณ ศาลาว่าการกลาโหม ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ระหว่าง 28-31 พ.ค. 2560 ในฐานะแขกของกองบัญชาการกองทัพไทย
ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - จู่ๆ ก็ตูมสนั่น ณ ตำบลกระสุนตก ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นเป้าหมาย หลังจากเซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ รายงานอ้างอิงสื่อจีนว่า ทางการจีนออกแถลงการณ์สั่งปลดนายพลอาวุโส 2 คน พลเอกฝาง เฟิงฮุย ประธานกรมเสนาธิการร่วม คณะกรรมาธิการทหารกลาง สาธารณรัฐประชาชนจีน และพลเอกจาง หยางออกจากตำแหน่งในกองทัพพร้อมทั้งขับไล่ออกจากการเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีน ด้วยข้อหาพัวพันกับการทุจริตคอร์รัปชันในกองทัพและร่ำรวยผิดปกติ

เป็น พลเอกฝาง เฟิงฮุย ซึ่งเคยมาเยือนไทย ขณะที่ยังดำรงตำแหน่งประธานกรมเสนาธิการร่วมของกองทัพจีนและได้เข้าพบพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เมื่อเดือน พ.ค.ปี 2560

พลันที่มีข่าวคราวเกิดขึ้น พล.อ.ประวิตร จึงถูกจับจ้องและลากโยงเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยว่าดีลซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จากจีนของกองทัพไทยนั้น พล.อ.ประวิตร คือหนึ่งในคนออกหน้าให้การสนับสนุน อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประวิตร ออกมาปัดไม่รู้จักสองนายพลจีน ที่ผ่านมามีคณะหารือกันจากจีนเป็นร้อยคณะ ใครจะจำได้หวาดไหว

“ยืนยันว่าไม่รู้จัก จำไม่ได้ บอกว่าไม่รู้จักก็ไม่รู้จัก ตั้งแต่เข้ามาทำงาน 4 ปี ได้หารือกับทางจีนเป็นร้อยคณะ และกรณีนี้เขาก็ไม่ใช่แขกของเรา ....

“.... บุคคลดังกล่าวเป็นคนละคนกับที่เคยเดินทางมาพูดคุย คนที่มาคือ นายเมิ่ง เจี้ยน จู้ ซึ่งเกษียณอายุราชการไปแล้ว เรื่องดังกล่าวเราไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย และการเจรจาซื้อ-ขายอาวุธ ทำในรูปแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ไม่ได้ดำเนินการผ่านบริษัท ที่เราสนิทคือ นายเมิ่ง เจี้ยน จู้ อดีตกรรมการประจำคณะกรรมการกลาง และเลขาธิการคณะกรรมการการเมืองและกฎหมายพรรคคอมนิวนิสต์จีนคนเดียว ส่วนสองคนนั้นเราไม่รู้จัก สื่อชอบเอาเรื่องของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ไปเขียนเลอะเทอะ ชอบทำให้ตนเป็นตำบลกระสุนตก มันไม่ใช่เรื่องจริง แล้วสื่อชอบพูดเรื่องไม่จริงให้เป็นจริง ....

“ผมไม่เกี่ยว เพราะไม่ได้เล่นการเมือง และ คสช.ไม่เคยทำอะไรที่ผิด ทุกอย่างที่ทำมีการประชุมร่วมกัน ทำไปตามตัวบทกฎหมาย” พล.อ.ประวิตร ให้สัมภาษณ์ หลังปรากฏข่าวคราวดังกล่าวขึ้น และยังตอบคำถามทำไมมีข่าวออกมาแบบนี้ว่า “เพราะคนมันจะบิดเบือนว่ารู้จักคนระดับสูงใน คสช. ยืนยันการจัดซื้ออาวุธเป็นแบบจีทูจี เราไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย เป็นเรื่องของกองทัพ ไปพิจารณาว่าจะเอาอะไร ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราเลย”

แต่ยิ่งปัดพวกนักเลงไซเบอร์ก็ยิ่งคุ้ยแคะ เอารูปมาโชว์เตือนความจำว่าเคยเจอกันจริงๆ นะ ไม่ได้มโนหรือบิดเบือน โดยหนึ่งในนั้นมีภาพ พล.อ.ประวิตร ให้การต้อนรับ พลเอก ฝาง เฟิงฮุย ณ ศาลาว่าการกลาโหม ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ระหว่าง 28-31 พ.ค. 2560 ในฐานะแขกของกองบัญชาการกองทัพไทย ในคราวเดียวกัน พลเอก ฝาง เฟิงฮุย ยังได้เข้าเยี่ยมคารวะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล อีกด้วย โดยมีข้อมูลว่าการหารือครั้งนั้นเพื่อแสดงความเชื่อมั่นว่าทั้งสองประเทศจะมีช่องทางในการเสริมสร้างและพัฒนาความร่วมมือทางทหารระหว่างกันทุกระดับ

บิ๊กเบิ้มจีนยุค ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง เอาจริงเอาจังกับการล้างทุจริตแบบไม่ไว้หน้า คดีการทุจริตครั้งนี้มีทหารในกองทัพจีนพัวพันมากกว่า 300 นาย มีจำนวนเงินที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตกว่า 100 ล้านหยวน

และคดีทุจริตในกองทัพจีนที่ถูกกวาดล้าง เป็นจังหวะประเหมาะกับที่กองทัพไทย มีดีลซื้อรถถัง VT-4 จำนวน 3 ล็อต 48 คัน มูลค่าประมาณ 8,000 กว่าล้านบาท และสั่งซื้อเรือดำน้ำลำแรกจากจีน มูลค่า 13,500 ล้านบาท ซึ่งช่วงนั้นสังคมวิพากษ์วิจารณ์ถึงความจำเป็นในการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ดังกล่าวรวมถึงความโปร่งใสในการจัดซื้อ แม้ว่าจะเป็นการซื้อระบบจีทูจีหรือรัฐต่อรัฐก็ตาม

ดีลรถถัง VT-4 นั้น เป็นการทำข้อตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลจีน โดยบริษัท Norinko เป็นผู้ผลิต และขายให้ประเทศไทย เป็นประเทศแรก เช่นเดียวกันกับเรือดำน้ำจากจีนที่ขายให้กับไทยเป็นประเทศแรกของโลกเหมือนกัน

พล.ต.วันชาติ ผลไพบูลย์ ผู้บัญชาการศูนย์การทหารม้า จ.สระบุรี กล่าวในวันที่กองทัพบกจัดการทดสอบสมรรถนะของรถถัง VT4 ที่รับมาไว้ที่ศูนย์การทหารม้าฯ จำนวน 28 คัน เมื่อเดือนม.ค. 2561 ว่า กองทัพบกมีแนวทางบรรจุรถถัง VT4 ไว้ให้เป็นยุทโธปกรณ์หลักของกองพลทหารม้าที่ 3 ในพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 ซึ่งประจำในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยพิจารณาจากสภาวะภัยคุกคาม สภาพภูมิประเทศที่เหมาะสมกับการใช้งาน และแผนการพัฒนาและเสริมสร้างหน่วยของกองทัพบก ทั้งนี้ ตามแผนการจัดหารถถัง VT4 คือ ปีงบประมาณ 2559 จำนวน 28 คัน เป็นจำนวนเงิน 5,020 ล้านบาท ปีงบประมาณ 2560 จำนวน 10 คัน และปีงบประมาณ 2561 จำนวน 10 คัน และยังมีรถหุ้มเกราะล้อยาง VN-1 "เสือดาวหิมะ" จำนวนอีก 34 คัน อีกด้วย
  ฝัง เฟิงฮุย (ขวา) และจาง หยัง ในการประชุมสมัชชาใหญ่ผู้แทนประชาชน ณ มหาศาลาประชาคม กรุงปักกิ่ง เมื่อเดือนมี.ค. 2017 (ภาพ เอพี)
ส่วนการจัดซื้อเรือดำน้ำดีเซล-ไฟฟ้า รุ่น yuan class S26T จากประเทศจีน คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติให้จัดซื้อ เมื่อวันที่ 18 เม.ย. 2560 ด้วยงบประมาณ 13,500 ล้านบาท แบ่งชำระเงินเป็น 7 ปี รวม 17 งวด ประเดิมงวดแรกปี 2560 จำนวน 700 ล้านบาท ส่วนปีที่ 2561-2566 จะชำระเฉลี่ยปีละ 2,100 ล้านบาท

ตามแผนการจัดหาเรือดำน้ำจากจีนนั้น พล.อ.ประวิตร อธิบายในช่วงที่ครม.อนุมัติให้จัดซื้อว่า “.... เราจะซื้อทีละลำ เพราะกว่าจะได้ลำหนึ่งใช้เวลา 5-6 ปี จึงได้วางแผนระยะยาว ซึ่งโครงการนี้จะใช้เวลาทั้งหมด 11 ปี กว่าจะได้ทั้งหมด 3 ลำ ยืนยันว่าทุกอย่างดำเนินการตามขั้นตอน ไม่น่าจะมีอะไรที่น่าสงสัย ในเรื่องการจัดซื้อจัดหาก็จะต้องทำให้โปร่งใส ซึ่งครั้งนี้เป็นการซื้อในลักษณะรัฐบาลต่อรัฐบาล (จีทูจี) โดยตรง .... ทั้งหมด 36,000 ล้านบาท ในจำนวน 3 ลำ ส่วนรายละเอียดจะแบ่งจ่ายอย่างไรสื่อไม่จำเป็นต้องรู้ เอาเป็นว่าใช้เวลาทั้งหมด 11 ปี เป็นการทยอยจ่าย....”

จะโปร่งใส ไม่โปร่งใส จะเกี่ยว ไม่เกี่ยว สังคมคงได้แต่ตั้งข้อสงสัย ไม่ต่างไปจากกรณีนาฬิกาหรูยืมเพื่อนของ “บิ๊กป้อม” รวมทั้งกระแสข่าวร่ำลือถึงค่าหัวคิวบิ๊กโปรเจกต์ต่างๆ ที่มีออกมาเป็นระยะๆ

ส่วนการลงดาบเชือดสองนายพลจีนครั้งนี้ จะมีการย้อนศรสืบสาวมาถึงต้นตอของเงินทุจริต เกี่ยวพันมาถึงโครงการจัดซื้อจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์กับรัฐบาลไทยด้วยหรือไม่ ตอบล่วงหน้าได้เลยว่า ไม่ และคงตัดจบจำกัดเฉพาะฝั่งของจีนเท่านั้น เรื่องนี้จำกัดแรงสั่นสะเทือนได้ไม่ยาก ที่สำคัญคือรัฐบาลจีนได้ประโยชน์จากการขายอาวุธยุทโธปกรณ์ให้ไทย คงไม่พิรี้พิไรให้เสียลูกค้าที่กำเงินรอซื้อของอยู่อีกหลายหมื่นล้านเป็นแน่

จะว่าไปกรณีล้างทุจริตของจีนที่กระทบชิ่งมาถึงบิ๊กคสช.ของไทย เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย เมื่อเทียบกับกรณีเรือสำราญล่ม ทำทัวร์จีนหาย เพราะปากของบิ๊กคสช.นั้นสร้างผลกระทบในวงกว้างมากกว่า และจนบัดนี้ยังไม่อาจควบคุม “แรงสั่นสะเทือน” ให้บรรเทาเบาบางลงได้

เหตุการณ์เรือสำราญฟีนิกซ์ ล่มกลางทะเลภูเก็ต ตั้งแต่วันที่ 5 ก.ค. 2561 จนทำให้นักท่องเที่ยวจีนเสียชีวิต 47 คน สร้างความไม่พอใจให้กับทางการจีนซึ่งทวงถามถึงสาเหตุแห่งโศกนาฏกรรม แต่จนบัดนี้ล่วงเลยมาเป็นเวลากว่า 3 เดือนแล้ว แต่ผลการสอบสวนหาสาเหตุยังไม่มีความชัดเจน เช่นเดียวกันกับการกู้ซากเรือที่ยังไม่สำเร็จ

ล่าสุด เมื่อวันที่ 24 ต.ค. 2561ที่ผ่านมา นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา คาดว่าจะสามารถกู้เรือได้ภายในเดือน ต.ค.นี้ และต้องให้ความสำคัญต่อการหาสาเหตุเรือล่มเนื่องจากขณะนี้นักท่องเที่ยวจีนมีความกังวลเพราะต้องการทราบสาเหตุเรือล่มเกิดจากอะไร ถ้าเรายังกู้ซากเรือไม่ได้เราจะตอบเรื่องนี้ไม่ได้

นอกจากจะตอบคำถามถึงสาเหตุเรือล่มและการตายของนักท่องเที่ยวชาวจีนยังไม่ได้แล้ว ยังมีเหตุการณ์ "ตบจริง" นักท่องเที่ยวจีน จากที่มีการโพสต์ข้อความและแชร์วิดีโอผู้โดยสารจีนถูกทำร้าย ถูกพาเข้าห้องดำ พร้อมถูกรีดไถเงินค่าทิป และโดนบังคับขู่เข็ญ ไม่คิดว่าคนไทยจะปฏิบัติต่อคนจีนอย่างนี้ ทำให้สถานทูตจีนสอบถามมายังผู้ใหญ่ในรัฐบาลของไทย จนกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา

ขณะที่การสอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นของบมจ.ท่าอากาศยานไทย (ทอท.) ตัดจบแบบปัดให้เป็นความผิดเฉพาะบุคคลและลงโทษรปภ.ที่ทำเกินกว่าเหตุเท่านั้น ส่วนผู้บริหารในระดับที่สูงกว่านั้น ต่างลอยนวล ดังที่ทอท.มีคำสั่งพักงาน น.ท.สุธีรวัฒน์ สุวรรณวัฒน์ ผอ.ท่าอากาศยานดอนเมือง และนายสาธิต เดชะคุค ผอ.ฝ่ายรักษาความปลอดภัย ท่าอากาศยานดอนเมือง ในขณะนั้น เป็นเวลา 30 วัน พร้อมตั้งกรรมการสอบสวน โดยให้ชะลอการโยกย้าย น.ท.สุธีรวัฒน์ ไปเป็นผอ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ส่วนนายสาธิต ไปเป็น ผอ.ฝ่ายรักษาความปลอดภัย ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ไว้ก่อน แต่สุดท้าย น.ท.สุธีรวัฒน์ ก็ไปนั่งเป็น ผอ.ท่าอากาศสุวรรณภูมิ ทั้งที่พักงานยังไม่ครบด้วยซ้ำ
  รถถัง VT-4 จำนวน 3 ล็อต 48 คัน มูลค่าประมาณ 8,000 กว่าล้านบาทจากจีนเดินทางมาประจำการในประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
  เรือดำน้ำรุ่นหยวนคลาสที่ไทยซื้อจากจีน
นายอิทธิฤทธิ์ กิ่งเล็ก ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) ยอมรับว่าสองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสะเทือนอารมณ์นักท่องเที่ยวจีนอย่างมากและยังไม่สามารถเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมา สทท.ที่เคยตั้งเป้านักท่องเที่ยวทั้งปี 2561 ไว้ที่ 39 ล้านคน ได้ปรับเป้าลดลงเหลือ 35 ล้านคน รายได้วูบ 1 แสนล้าน จากเดิมตั้งเป้าไว้ที่ 3 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นรายได้นักท่องเที่ยวต่างประเทศ 2 ล้านล้านบาท จะปรับลดลงเหลือ 1.9 ล้านล้านบาท และรายได้จากนักท่องเที่ยวในประเทศ 1 ล้านล้านบาท โดยเป้าที่ปรับลดลง 4 ล้านคนนั้นเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีนกว่า 2 ล้านคน

ประธาน สทท. ยังประเมินว่า เหตุการณ์ดังกล่าวจะกระทบยาวไปถึงปีหน้า 2562โดยเฉพาะช่วงตรุษจีนในเดือนก.พ. ซึ่งเป็นวันหยุดยาวของชาวจีนนั้นคาดว่ายอดนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางเข้ามาจะลดลง 15-20% เนื่องจากตลาดยังไม่กระเตื้อง และมาตรการต่างๆ ที่ออกมากระตุ้นคงไม่ช่วยอะไรได้มากเพราะไม่ใช่ยาแรงที่จะแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้อย่างทันทีทันใด

การหดหายของนักท่องเที่ยวชาวจีน จะเป็นมาตรการ “สั่งสอน” จากพี่เบิ้มจีนหรือไม่ คงสรุปไม่ได้ชัดเจนขนาดนั้น แต่ที่แน่ๆ คือไม่สร้างผลดีต่อเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพิงรายได้สำคัญจากการท่องเที่ยว แม้จะมีการมองว่าผลประโยชน์แท้จริงตกอยู่กับกลุ่มคนจีนที่เข้ามาทำมาหากินกับทัวร์จีนครบวงจร ไม่ได้มาถึงคนไทยสักเท่าใดนักก็ตามที

ผลประโยชน์ต่างตอบแทนที่ไทยกับจีนแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันที่ดูเหมือนกำลังสั่นคลอน ยังต้องมองไปยังโครงการใหญ่รถไฟไทย-จีน กรุงเทพฯ-นครราชสีมา ระยะทาง 253 กม. เงินลงทุน 179,412 ล้านบาท ซึ่งกดปุ่มก่อสร้างไปเมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 2560 ในช่วงแรกจากสถานีกลางดง-ปางอโศก ระยะทาง 3.5 กม. ซึ่งปรากฏว่า ล่าช้ากว่ากำหนดอยู่ไม่น้อย โดยเวลานี้อยู่ในระหว่างขั้นตอนการออกแบบรายละเอียดก่อสร้างที่ฝ่ายจีนยังอยู่ระหว่างดำเนินการตลอดทั้งเส้น

ส่วนระยะที่ 2 นครราชสีมา-หนองคาย ระยะทาง 350 กม. ฝ่ายไทยจะดำเนินการเองทั้งศึกษาความเหมาะสมและการออกแบบรายละเอียด มีจีนเป็นที่ปรึกษาและขอมีส่วนร่วมออกแบบรายละเอียดและตัวรถ โดยไทยจะเร่งศึกษาให้เสร็จในปี 2561 เริ่มสร้างปี 2562 เพื่อเปิดบริการพร้อมกันทั้งโครงการในปี 2566

อะไรต่อมิอะไรที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีนที่ออกมาคล้ายกับตกอยู่ภายใต้บรรยากาศรักร้าวหรือรักเราเก่าแล้ว ผสมโรงปนเปกันไปแบบมาไม่หยุดหย่อนเช่นนี้ ใช่เป็นแท็กติกในการเจรจาต่อรอง เร่งรัด ในเกมรุกทางการเมือง เศรษฐกิจ และความมั่นคงของจีนตามยุทธศาสตร์ Belt and Road /One Belt One Road (OBOR) หรือที่เรียกว่า ยุทธศาสตร์เส้นทางสายไหมใหม่ เพื่อสร้างอิทธิพลและความมั่งคั่งของพี่เบิ้มจีนหรือไม่ จึงชวนให้ติดตามยิ่งนัก ด้วยว่าไทยแลนด์แดนสยาม ถือเป็นหนึ่งในแลนด์ลิงก์สำคัญที่จีนต้องปักหมุดโครงข่ายคมนาคมให้ราบรื่น




กำลังโหลดความคิดเห็น