xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ย้อนรอยคดีฉาวปล่อยกู้ EARTH หมื่นล้าน ผลสอบพบพนักงานกรุงไทย “ผิดทุกระดับ”

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - กำลังจะดีขึ้นอยู่แล้วเชียวสำหรับแบงก์รัฐอย่าง “ธนาคารกรุงไทย” หลังจากกรมบังคับคดีสามารถขายที่ดินแปลงใหญ่ของ บริษัท เอคิว เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ AQ หรือ บมจ.กฤษดามหานครเดิม จำนวน 4,300 ไร่ย่านสนามบินสุวรรณภูมิมูลค่า 8,914.07 ล้านบาท ให้กับบริษัท ทีอาร์เอ แลนด์ ดีเวลลอปเม้นต์ จำกัด ซึ่งบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TICON ที่มี “เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี” เป็นเจ้าของ กับบริษัท สวนอุตสหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) หรือ ROJNA และนิคมอุตสาหกรรมเอเชีย โดยจะเป็นผลดีต่อตัวเลขขาดทุนสะสมที่เกิดจากการบันทึกตั้งสำรองหนี้สิน

แต่กลับต้องมาเจอเคราะห์ซ้ำกรรมซัดอีกระลอกกับคดีปล่อยกู้ให้ “บริษัท เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ จำกัด (มหาชน)” หรือ EARTH ที่ทำให้เกิด “หนี้เสีย” สูงถึง 1.2 หมื่นบ้านบาท และธนาคารแห่งประเทศไทยมีคำสั่งให้สำรองหนี้จำนวนดังกล่าวมาก่อนหน้านี้ หลังการออกมาให้ข้อมูลของ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร ในฐานะประธานคณะกรรมการ ธนาคารกรุงไทย จำกัด( มหาชน) เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2561 ที่ผ่านมาว่า “พบการทำความผิดของพนักงานทุกระดับ” และจะมีการดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ที่สำคัญคือ นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมด้วยว่า เรื่องที่เกิดขึ้นพบทั้งความผิดจากระบบ ความผิดของพนักงาน ทั้งโดยตั้งใจทำผิด และมาจากความบกพร่อง โดยหลังจากนี้ธนาคารจะนำกรณีนี้มาปรับปรุงระบบเพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาเกิดขึ้นอีก ส่วนพนักงานที่ทำผิดก็ดำเนินการเอาผิดตามวินัย ขณะที่การทำความผิดของพนักงานได้ร่วมมือกับคนภายนอกหรือไม่ เรื่องนี้เป็นรายละเอียดขอไม่เปิดเผย

ทั้งนี้ แม้คดี EARTH จะเป็นผลลบและกระทบกับภาพลักษณ์ขององค์กร แต่ “ข้อดี” ก็คือ ทำให้เรื่องราวที่คาราคาซังมาเป็นเวลาพอสมควรมี “ความชัดเจน” และสามารถเดินหน้าเพื่อเอาผิดกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดี รวมทั้งนำไปสู่การปิดช่องว่างช่องโหว่ของระบบที่เกิดขึ้นเพื่อมิให้เกิดข้อผิดพลาดในภายหลัง

คดีดังกล่าวธนาคารกรุงไทยได้มีการกล่าวโทษร้องทุกข์ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ให้ดำเนินคดีกับผู้ที่ฉ้อโกงธนาคารโดยปลอมแปลงใบตราส่งสินค้าทางเรือ(Bill of lading-B/L)นำเข้าถ่านหินจากประเทศอินโดนีเซียของ บมจ.เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ หรือ เอิร์ธ(EARTH) และนำมาใช้เป็นหลักฐานในการกู้เงินจากธนาคารกรุงไทย ภายหลังจากที่บริษัท เอิร์ธผิดนัดชำระหนี้ตั๋วแลกเงินB/E และทยอยผิดนัดเรื่อยมา รวมทั้งมีการนำ B/Lจริงมาวนในใช้ในการกู้เงินอีกด้วย

ก่อนหน้าที่เรื่องจะ “แดง” ออกมาและก่อนที่จะตรวจพบความผิดปกติ บมจ.เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า ผิดนัดชำระหนี้ตั๋วB/Eวงเงินรวม 90 ล้านบาท ที่ครบกำหนดวันที่ 6 และ 8 มิถุนายน 2560 เนื่องจากขาดสภาพคล่อง ซึ่งส่งผลทำให้บริษัททริสเรทติ้งประกาศหั่นอันดับเครดิตจาก BBB- เป็น D ทันที ขณะที่ธนาคารเจ้าหนี้ได้ระงับการใช้วงเงินชั่วคราว และสั่งให้ลดหนี้ให้เหลือ 5,000 ล้านบาท หลังเจ้าหนี้พบว่าบริษัทได้ใช้เงินกู้ผิดวัตถุประสงค์ มีการนำไปใช้ซื้อหุ้น

นับแต่นั้น บมจ.เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธได้ทยอยแจ้งผิดนัดชำระหนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ จนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต้องขึ้นเครื่องหมาย SP เพื่อหยุดพักการซื้อขาย) เมื่อ 26 มิถุนายน 2560 ขณะที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สั่งให้มีผู้สอบบัญชีตรวจสอบเป็นกรณีพิเศษ (Special Audit) เกี่ยวกับการทำรายการจ่ายเงินล่วงหน้าค่าสินค้า และค่าจองสิทธิในการซื้อสินค้า ซึ่งต้องส่งข้อมูลนี้ภายใน 24 ก.ค. 2560

ต่อมาคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติให้บริษัทเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พร้อมยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง ในวันที่ 24 กรกฎาคม โดยแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯว่า บริษัทมีหนี้สินมากกว่าสินทรัพย์ เนื่องจากมีคู่ค้าได้ยื่นฟ้องบริษัทต่อศาล เป็นยอดหนี้ทั้งสิ้นกว่า 26,000 ล้านบาท ทำให้บริษัทมีหนี้สินรวมทั้งสิ้น 47,400 ล้านบาท เพิ่มจากหนี้สินและสินทรัพย์บริษัท ณ สิ้นไตรมาสแรกของปี 2560 ซึ่งมีอยู่ 35,725 ล้านบาท ซึ่งก.ล.ต.เห็นว่าหนี้สินที่เพิ่มขึ้นสูงถึง 1.21 เท่า ส่งผล กระทบต่อฐานะการเงินของบริษัทอย่างมาก ประกอบกับสถานะของหนี้สินดังกล่าวยังคลุมเครือไม่ชัดเจน และมีผลกระทบต่อสิทธิประโยชน์ผู้ถือหุ้นในวงกว้างต่อการตัดสินใจลงทุนได้

จากนั้น ศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่ง เมื่อวันที่ 21ก.ย.2560 ให้ฟื้นฟูกิจการของ บริษัท เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ จำกัด (มหาชน) และตั้ง บริษัท อีวาย คอร์ปอเรท แอดไวซอรี่ เซอร์วิสเซส จำกัด เป็นผู้ทำแผน ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังคงเป็นปัญหาเนื่องจากไม่ได้รับความเห็นชอบจากเจ้าหนี้

ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อว่า EARTH ซึ่งเคยมีมูลค่าบริษัท(market cap) มากสุดถึง 30,000 ล้านบาทในปี 2556วันนี้กลายเป็นหุ้นที่ซื้อขายไม่ได้ในตลาดหลักทรัพย์และเข้าสู่สภาวะล้มละลายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ส่วนการ “การทำความผิดของพนักงานทุกระดับ”ของพนักงานธนาคารกรุงไทยนั้น จากการตรวจสอบข้อมูลที่เกิดเกิดหน้านี้ พบว่า ได้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบวินัยพนักงาน และผู้บริหารธนาคาร รวม 15 คน ว่าเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องหรือสมรู้ร่วมคิดในส่วนไหนบ้าง เพื่อที่จะดำเนินคดีเอาผิดทั้งทางแพ่งและทางอาญา ซึ่งผลการสอบสวนได้ออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น และจำต้องติดตามกันต่อไปว่า จะมี “ใคร” ในธนาคารกรุงไทยต้องถูกฟ้องร้องดำเนินคดีบ้าง

ขณะที่ในส่วนของ EARTH นั้น สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้กล่าวโทษกรรมการและอดีตกรรมการบริษัท เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ จำกัด (มหาชน) (EARTH) รวม 11 ราย ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กรณียินยอมให้ลงข้อความเท็จหรือไม่ลงข้อความสำคัญเกี่ยวกับหนี้สินที่เพิ่มขึ้น 26,000 ล้านบาท เพื่อลวงไม่ให้ผู้ลงทุนและเจ้าหนี้รู้รายละเอียดที่แท้จริงของหนี้สิน

โดยผู้ถูกกล่าวโทษคือ (1) นายพิสุทธิ์ พิหเคนทร์ (2) นายขจรพงศ์ คำดี (3) นายธนาวรรธน์ ประทุมสุวรรณ์ (4) นายพิรุฬห์ พิหเคนทร์ (5) นายพิพรรธ พิหเคนทร์ (6) นายพิบูล พิหเคนทร์ (7) นางสาวกาญจนา จักรวิจิตโสภณ (8) นายสมเกียรติ ศุขเทวา (9) นายสุริยาภรณ์ บุญชัย (10) นายเอกนฤน ธรรมมารักษ์ และ (11) นายธงชัย วัฒนโสภณวงศ์

อย่างไรก็ตาม เจ้าหนี้รายใหญ่สุดของบริษัท เอิร์ธไม่ได้มีแค่ธนาคารกรุงไทยที่มียอดประมาณ 12,000 ล้านบาทเท่านั้น หากยังมีธนาคารกสิกรไทย จำนวน 2,800 ล้านบาท ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำนวน 1,800 ล้านบาท และธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า จำนวน 350 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีเจ้าหนี้ตั๋วแลกเงินระยะสั้นจำนวน 2,900 ล้านบาท หนี้หุ้นกู้ 2 ชุด รวม 5,500 ล้านบาท

และวันนี้เรื่องราวความฉาวโฉ่ของ EARTH ได้กลายตำนานของวงการตลาดทุนประเทศไทยไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ขณะที่ทาง ธนาคารกรุงไทยนั้น นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ยังคงยืนยันว่า ธนาคารจะยังคงเป้าสินเชื่อปีนี้ที่ระดับ 6-7% ตามเดิม แม้ว่า 9 เดือนแรกของปีที่เติบโตได้เพียง 2.2% เนื่องจากยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ยังไม่แน่นอนอยู่ ซึ่งอาจจะส่งผลต่อสินเชื่อของธนาคารได้ไม่ว่าจะทางเพิ่มขึ้น หรือลดลง อาทิ ความรุนแรงของสงครามการค้า ขณะที่สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของธนาคารมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง คาดการณ์สิ้นปีน่าจะต่ำกว่า 100,000 ล้านบาท จากปัจจุบันที่กว่า 110,000 ล้านบาทเล็กน้อย เช่นเดียวการตั้งสำรองอัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อเอ็นพีแอล ที่ระดับ 122% ซึ่งธนาคารพยายามจะเพิ่มขึ้นให้ใกล้เคียงกับคู่เทียบที่ 140% แต่จะเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพราะธนาคารต้องดูความสมดุลในเรื่องของผลประกอบการด้วย

ส่วนกรณีการรับชำระหนี้คืนจากการที่ดินของบริษัท AQ เอสเตท จำกัด (มหาชน) (AQ) นั้น คงจะรับรู้รายได้ไม่ทันในปีนี้ คาดว่าขั้นตอนต่างๆ จะเสร็จสิ้นประมาณเดือนกุมภาพันธ์ ปีหน้า ซึ่งจาก 8,900 ล้านบาทนั้น คงต้องรอดูว่าจะเป็นการชำระคืนทั้งก้อนหรือไม่ แต่ธนาคารธนาคารตั้งสำรองไปแล้ว 50%





กำลังโหลดความคิดเห็น