"ฝั่งขวาเจ้าพระยา"
"โชกุน"
ความตายของนักหนังสือพิมพ์คนหนึ่ง ส่งผลสะเทือนไปทั่วทั้งภูมิภาคตะวันออกกลาง
จามาล คาช็อกกี วัย 59 ปี เป็น นักหนังสือพิมพ์ชาวซาอุดิอารเบีย ซึ่งก่อนหน้านี้ เคยภักดีกับกระราชวงศ์ซาอุด แต่เมื่อเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซามาล โอรสของกษัตริย์ ซามาล ขึ้นเป็นมกุฎราชกุมาร รวบอำนาจทุกอย่าไว้ในมือคนเดียว และประกาศนโยบายปฏิรูป เขาเริ่มวิพากษ์วิจารณ์ ความคืด และนโยบายหลายๆอย่าง จนอยู่ในประเทศไม่ได้ ต้องลี้ภัยไปตั้งรกรากอยุ่ที่สหรัฐอมเรกา และได้รับการทาบทามจาก วอขิงตัน โพสต์ ให้แป็นอคลัมนิสต์
คาช็อคกี เดินเข้าไปในสถานกงสุล ซาอุดิอาระเบีย ที่กรุงอิสตันบูล ประเทศตุรกี ตอนบ่ายวันที่ 2 ตุลาคม เพื่อ ทำธุระด้านเอกสารบางอย่าง เกี่ยววกับการแต่งงานของเขากับคู่หมั้นชาวตุรกี หลังจากนั้น ก็ไม่ได้กลับออกมาอีกเลย
ในสถานกงสุล มีชายฉกรรจ์15 คน ที่เดินทางจากซาอุฯ โดยเครื่องบินเหมาลำ 2 ลำ ของบริษัทที่ เ มกุราชกุมารหรือ ชื่อย่อ เอ็มบีเอส เป็นเจ้าของ ในเช้าวันเดียวกันนั้น รออยู่แล้ว
ทางการตุรกี ให้ข่าวกับสื่ออเมริกาคือ นิวยอร์คไทมส์ และวอขิงตันโพสต์ รวมทั้งสื่อตุรกีเองว่า คาช็อกกี้ ถูกฆ่าอย่างทารุณหลังเข้าไปในสถานกงสุลไม่นาน โดยถูกมอมยา โดนทรมาน ถูกตัดนิ้ว และหั่นศพ ด้วยฝีมือของกลุ่มชายฉกรรจ์ดังกล่าว ซึ่งหนวยข่าวกรองตุรกี ตรวจสอบกล้องวงจรปิดพบภาพกลุ่มคนดังกล่าว ผ่านจุดตรวจคนเข้าเมืองที่สนามบิน บางคน อยู่ในทีมรักษาความปลอดภัย ประจำตัวมกุฎราชกุมาร
หนี่งในนั้นคือ มาเฮฮร์ อับดุลราซิส มูทริป ซึ่งตอนที่ มกุฎราชกุมาร ไปเยือนสหรัฐอมเริกา ตอนต้นปีนี้ มีรูปมูทริป ติดตามอย่างใกล้ชิดหลายวาระ แม้ทางตุรกีจะไม่เคยบอกว่า MBS คือผู้บงการการสังหารคาช็อกกี แต่การทยอยปล่อยข้อมูล ที่อ้างว่า ถูกบันทึกไว้ตอนที่คาช็อคกีถูกฆ่า และภาพจากกล้องจรปิด ของมูทริปที่เดินเข้าไปสถานกงสุลเช้าวันสังหาร ก็เป็นการบ่งบอกอยู่ในตัว ว่า การกระทำที่อุกอาจ โหดเหี้ยม ด้วยฝีมือของคนรอบๆ ตัวมกุฎราชกุมมารนี้ ใครเป็นคนสั่งให้ทำ
ทางการซาอุฯปฏิเสธตั้งแต่วันแรกที่คาช็อกกีหายตัวไปแล้ว ว่า ไม่รู้ ไม่เห็น คาชอกกี ออกไปจากสถานกงศุลตั้งแต่ยบ่ายวันนั้นแล้ว มกุฎราชกุมารเอง ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบลูมเบิร์กในทำนองนี้ สุดท้าย เมื่อเวลาผ่านไป 2 สัปดาห์ หลังจากรัฐบาลตุรกี ใช้วิธีทยอยปล่อยข้อมูลออกมา จับโกหก ดักคอ ซาอุฯ รัฐบาลซาอุฯก็ต้อง ยอมรับว่า คาซอกกี้ เสียชีวิตในสถานกงสุล จริ งแต่เป็นอุบัติหุต จากการทะเลาะมีปากเสียง และชกด่อยกัน และได้สังปลดที่ปรึกษาด้านความัม่นคง กับ ผู้บริหารระดับสูงด้านสื่อคนหนึ่ง กับคุมขังผู้ทีส่วนเกี่ยวข้องจำนวน 18 คน ซึ่งเป็นข้อออ้างที่ไม่มีใครเชื่อ แม้แต่ประธานาธิบดีทรัมป์ ยังบอกว่า เป็นการสร้างเรื่องอำพรางที่ห่วยที่สุดในโลก
ประธานาธิบดี เรเซป เทย์ยิป เออร์โดกันแหง่ตุรกี ไม่เคยพูดถึงเหตุฆาตกรรมนี้ อย่างเป็นทางการ จนกระทั่งวันอังคารที่ผ่านมา แขากล่าวกับที่ประชุมสมาชิกพรรค เอเค พี ในรัฐสภาว่า การสังหารคาช็อคกี้ เป็นการกระทำที่ป่าเถือ่น มีการวางแผนล่วงหน้าไว้ก่อน ซึ่งเป็นการตอบโต้ซาอุฯ ที่แถลงก่อนหน้าว่า คาช็อกกี ตายจากการชกต่อยกัน
เออร์โกกันไม่ได้เอ่ยชื่อ มกุฎราชกุมาร แต่เขาพูดถึงพระราชบิดา คือ กษัตริย์ซามาลว่า เขาเชื่อถือในพระองค์ แต่ต้องการให้มีการสอบสวนการฆาตกรรมครั้งนี้ อย่างอิสระ และขอให้นำเจ้าหน้าที่ ซาอุ ฯ 18 คนที่ถูกคุมตัวไว้ มาดำเนินคดี ที่ตุรกี และตุรกีจะไม่หยุดอยู่เพียเงท่านี้ แต่จะค้นหาความจริงง่า ใครคือผู้บงการ
คาข็อกกี้ รู้จักกับเออรืโดกันเป็นการส่วนตัว และมีความเห็นพ้องกันในเรื่อง กลุ่มภารดรภาพมุสลิม แต่การที่ตุรกี กัดเรื่องนี้ไม่ปล่อย คงไม่ใช่เพราะ เป็นการฆาตรกรรมนักหนังสือพิมพ์ ในดินแดนตุรกี เพราะเออร์โดกันเอง ก็ปราบปราม คุกคามสื่อตุรกีที่เห็นต่างกับตนเองอยู่เสมอ แต่เรื่องนี้ เป็นความผิดพลาดของ มกุฎราชกุมาร ที่ย่ามใจ คิดว่า เหตุเกิดในสถานกงศุลซาอุฯ ซึง่ถือว่า เป็นดินแดนในอธิปไตยของซาอุ แต่บังเอิญว่า ถูกดักฟัง และมีภาพบอดี้การ์ดของตนเข้าไปในสถานกงศุลวันที่เกิดเหตุ .ทำให้ตุรกี ใช้เป็นไพ่ตายที่จะต่อรองกับซาอุดิอารเบีย
ตุรกีกับซาอุฯ ชิงกันเป็นผู้นำโลกอาหรับมุสลิม เมื่อเอ็มบีเอส อยู่ในฐานะรัชทายาทเต็มตัว ความมขัดแย้งระหว่างสิงห์หนุ่มกับเสือเฒ่าก็รุนแรงขึ้น มกุฎราชกุมาร เป็นคนหนุ่ม ที่ เออร์โดกันเห็นว่า เป็นอันตรายสำหรับตุรกี แต่ตุรกีไม่อนยุ่ในญฐานะที่จะต่อกรอย่างเปิดเผยได้ นอกจากซาอุฯจะเป็นประเทศร่ำรวยมหาศาลแล้ว ยังเป้นมพันธมิตรที่เหนียวแน่นกับสหรัฐฯ ในยุคจของโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งต้องการใช้ซาอุฯ เ)นพวกต่อต้านอิทธิพลของอิหร่าน ผลประโยชน์ด้านการขายอาวุธ และการลงทุนอื่นๆ ในขณะที่เออร์โดกัน มีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับสหรัฐฯ แม้ว่า จะเป็นสมาชิกนาโตเหมือนกัน
มกุฎราชกุมารเองคิดไม่ถึงว่า ความตายของนักหนังสือพิมพ์คนหนึ่ง จะทำลายภาพลักษณ์นักปฏิรูปที่ตัวเองพยายามสร้างให้ชาวโลกเห็น พังทะลายลงในพริบตา กลายเป็นภาพคนหนุ่มที่อันตราย ลุแก่อำนาจ เพราะเคยชินกับการใช้อำนาจปิดปากฝ่ายตรงข้ามในแผ่นดินที่ตัวเองมีอำนาจสูงสุด
ความตายของคาช็อกกี้ ถูกเออร์โดกัน ใช้เป็นเกมทำลายชื่อเสีย งภาพลักษณ์ของเอ็มบีเอส แต่ในที่สุดแล้ว ขึ้นอยู่กับคิงซาลมานว่า จะตัดสินใจอย่างไร ซึ่งการที่พรัองคืแต่งตั้งให้ เอ็มบีเอส รับผิดชอบการปรับปรุงงานด้านความมั่นคงปและข่าวกรอง ก็แสดงว่า สถานะของเอ็มเอสบียังมั่นคง และขึ้นอยุ่กับโดนัลด์ ทรัมป์ว่า จะยอมสลัดเอ็มบีเอสทิ้งไปไหม ซึ่งเป้นเรื่องเดาใจยาก เพราะท่าทีของทรัมป์เอาแน่ไม่ได้ กลับไปกลับมา และให้ความสำคัญกับปผลประโยชน์ทางเสราฐกิจ และการเมืองในตะวันออกกลางมากกว่าเรื่องอื่นใด