xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

IMF - ADB ปรับ GDP ไทยพุ่งปรี๊ด “เฮียกวง” สั่งลุยบิ๊กโปรเจกต์

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - มีข่าวดีๆ สำหรับรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาช่วยหนุนส่งเรตติ้งอีกแล้ว คราวนี้เป็นการปรับเพิ่มตัวเลขอัตราการเติบโตททางเศรษฐกิจหรือจีดีพีของประเทศไทยที่พุ่งขึ้นสวนทางเศรษฐกิจโลกกันเลยทีเดียว นี่คงต้องยกนิ้วให้ดรีมทีมเศรษฐกิจ “เฮียกวง” ว่าไม่ได้มีแค่ราคาคุย

ทั้งนี้ จากการเผยแพร่รายงานภาพรวมเศรษฐกิจโลกประจำไตรมาสสุดท้ายของปี 2561ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ได้ปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2561 เพิ่มขึ้นเป็น 4.6% จากเดิมอยู่ที่ 3.9% และในปี 2562 ปรับจาก 3.8% ขึ้นมาอยู่ที่ 3.9% สะท้อนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ขยายตัวต่อเนื่อง และสอดคล้องกับการเติบโตในช่วงครึ่งแรกของปี

ขณะที่ประมาณการเศรษฐกิจโลกในปี 2561 และ 2562 นั้น ไอเอ็มเอฟปรับลดลงมาอยู่ในระดับ 3.7% เท่ากัน จากการคาดการณ์เมื่อเดือน ก.ค. 2561 ที่ผ่านมา อยู่ที่ 3.9% การปรับลดลงครั้งนี้ มีปัจจัยความเสี่ยงที่มีผลต่อการเติบโตจากมาตรการกีดกันทางการค้า ความผันผวนของเงินทุนเคลื่อนย้ายในประเทศกำลังพัฒนา อัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำของประเทศที่พัฒนาแล้ว และปัจจัยการเมืองภายในของแต่ละประเทศ

ไอเอ็มเอฟ ยังประเมินด้วยว่า จากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ และการตอบโต้กลับของประเทศต่าง ๆ จะมีผลกระทบต่อประเทศคู่ค้าของไทย เช่น สหรัฐฯ ไอเอ็มเอฟ ได้คงประมาณการการเติบโตในปี 2561 อยู่ที่ 2.9% ส่วนปี 2562 ปรับลดลง 0.2% เหลืออยู่ที่ 2.5% สาเหตุจากการตั้งกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน 2 แสนดอลล่าร์สหรัฐฯ ส่วนจีน ไอเอ็มเอฟ คงประมาณการเติบโตในปี 2561 อยู่ที่ 6.6% ส่วนปี 2562 ปรับลดลง 0.2% เหลืออยู่ที่ 6.0% สำหรับญี่ปุ่น ปรับเพิ่มประมาณการมาอยู่ที่ 1.1%

ไม่แต่ไอเอ็มเอฟเท่านั้น ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 26 ก.ย. 2561 ธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) ได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทย เพิ่มขึ้นเป็น 4.5% และ 4.3% ในปี 2561 และ 2562 ตามลำดับ จากเดิมที่คาดการณ์ไว้เมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมาว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัว 4.0% และปี 2562 จะอยู่ที่ 4.1% โดยมีปัจจัยหลักจากการขยายตัวที่แข็งแกร่งขึ้นของภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว อุปสงค์ในประเทศ ผลผลิตภาคการเกษตร การลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชน

เป็นไปในทำนองเดียวกันกับที่ สภาพัฒน์ ได้แถลงไว้เมื่อเดือนส.ค. 2561 ถึงประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย ปี 2561 โดยคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 4.2 - 4.7 จากการส่งออกที่ดีขึ้น การเบิกจ่ายภาครัฐและการลงทุนภาครัฐในโครงสร้างพื้นฐาน และการลงทุนภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้น โดยสภาพัฒน์ คาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าจะขยายตัวร้อยละ 10.0 การบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ 4.1 และร้อยละ 4.4 ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ในช่วงร้อยละ 0.9 - 1.4 และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ 8.4 ของ GDP

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะถือเป็นข่าวดี แต่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าดรีมทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เตือนให้ระวังผลพวงจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน จะกระทบต่อเศรษฐกิจโลกในปีหน้าอย่างแน่นอน ดังนั้นอย่าไปหวังพึ่งส่งออกให้ขยายตัวมากขึ้น มีแต่ต้องหันมาสร้างเศรษฐกิจภายในประเทศให้เกิดความสมดุลและเฟื่องฟู ถึงจะไปรอดได้

การสร้างเศรษฐกิจภายในประเทศ หนึ่งในนโยบายสำคัญนั้นคือการลงทุนภาครัฐโดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศ ดังนั้น ช่วงจังหวะนี้จึงเห็นการเดินสายของหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ที่ลงมือขันนอตให้กระทรวงเศรษฐกิจเร่งเดินหน้าโครงการต่างๆ โดยเฉพาะกระทรวงคมนาคม ที่มีบิ๊กโปรเจกต์ในมือมากที่สุด ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนมหาศาลประมาณล้านล้านบาท

ตามรายการติดตามผลงานที่กระทรวงคมนาคมของ “เฮียกวง” เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา รับทราบว่า งบฯปี 2561 ที่คมนาคมได้รับงบรวม 168,528 ล้านบาท เบิกจ่ายงบส่วนราชการได้ 78.96 % ต่ำกว่าเป้าที่รัฐบาลวางไว้ที่ 96% ส่วนงบลงทุนเบิกจ่ายได้ 77.47% ต่ำกว่าเป้าที่วางไว้ 88% เนื่องจากรอคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินโครงการทางหลวงพิเศษสายบางใหญ่-กาญจนบุรี วงเงิน 10,235 ล้านบาท ในภาพรวมแล้ว นายสมคิด ถือว่ายังน่าพอใจ สำหรับปี 2562 ได้รับงบลงทุน 369,199.04 ล้านบาท แบ่งเป็น งบแผ่นดิน 174,935.98 ล้านบาท และงบรัฐวิสาหกิจ 194,263.06 ล้านบาท แยกเป็นงบทางราง 153,984.69 ล้านบาท ทางบก 165,189.07 ล้านบาท ทางอากาศ 44,150.50 ล้านบาท ทางน้ำ 5,546.61 ล้านบาท ด้านนโยบาย 328.17 ล้านบาท

นายสมคิด แนะให้ออกแบบการพัฒนาโครงการทั้งท่าเรือ รถไฟ มอเตอร์เวย์ ทางด่วน เพื่อให้ใช้กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (TFF) มาลงทุนเพื่อลดภาระงบประมาณ และให้กรมทางหลวงชนบท (ทช.) เปลี่ยนชื่อโครงการถนนเลียบชายฝั่งทะเลตะวันตก ให้จดจำง่ายและเข้าใจมากกว่านี้ ส่วนการรถไฟฯให้เพิ่มรถไฟทางคู่ ชุมพร-ระนอง เข้าไปในแผนและเร่งโครงการ เนื่องจากเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์สำคัญ เชื่อมอ่าวไทยและอันดามัน โดยให้หารือทำความเข้าใจกับท้องถิ่น ดึงเข้ามามีส่วนร่วมพัฒนา รวมทั้งเชื่อมโยงเส้นทางกับแหล่งท่องเที่ยวและท่องเที่ยวเมืองรองด้วย รวมถึงวางแผนร่วมกันในการพัฒนาท่าเรือระนองและท่าเรือชุมพร เพื่อให้เชื่อมกับพื้นที่ EEC ด้วย

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม รู้งานและใส่พานรอไว้แล้ว ตามที่รองนายกฯ สมคิด เร่งรัด โดยมอเตอร์เวย์ สายนครปฐม-ชะอำ โครงการทางพิเศษ พระราม 3-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพฯ ด้านตะวันตก ซึ่ง TFF พร้อมแล้ว จะได้ตัวผู้รับจ้างในเดือน ก.พ. 2562 ส่วนทางยกระดับบนถนนพระราม 2 ช่วงแรก ระยะทาง 10.8 กม. ได้รับงบก่อสร้างแล้วอยู่ระหว่างประมูล สำหรับโครงการรถไฟทางคู่ที่อยู่ระหว่างก่อสร้างและทางคู่เฟส 2 และระบบรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ และปริมณฑล การพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 และการจัดตั้งบริษัทบริหารทรัพย์สินของการรถไฟแห่งประเทศไทย ให้ได้ตามแผนงานที่กำหนดไว้ ซึ่งอยู่ระหว่างให้ ร.ฟ.ท.ทำข้อมูลเพิ่มเติมในเรื่องกลไกการบริหารจัดการ

รมว.คมนาคม ระบุว่า ภายใน 4-5 เดือนนี้ มีโครงการที่เตรียมเสนอ ครม.รวม 18 โครงการ โดยในเดือน ต.ค. 61 มี 5 โครงการ ได้แก่ ท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 มูลค่า 114,047 ล้านบาท คาดเซ็นสัญญา มี.ค. 62, ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศ (MRO) ร่วมทุนระหว่างการบินไทยและแอร์บัส มูลค่า 10,588 ล้านบาท คาดเซ็นสัญญาใน ก.พ. 62, มอเตอร์เวย์นครปฐม-ชะอำ ระยะทาง 109 กม. วงเงิน 79,006 ล้านบาท, ศูนย์การขนส่งชายแดน จ.นครพนม 1,000 ล้านบาท, ศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้า เชียงของ จ.เชียงราย 2,300 ล้านบาท

ส่วนเดือน พ.ย.61 จะเสนอ ครม.จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ รถไฟสายสีแดงต่อขยาย ช่วงรังสิต-ม.ธรรมศาสตร์ ระยะทาง 8.84 กม. วงเงิน 6,570.40 ล้านบาท, สายสีแดง ตลิ่งชัน-ศิริราช ระยะทาง 5.70 กม. วงเงิน 7,469.43 ล้านบาท และ ตลิ่งชัน-ศาลายา ระยะทาง 14.80 กม. วงเงินรวม 10,202.18 ล้านบาท

และเดือน ธ.ค.61 จะเสนอครม. จำนวน 6 โครงการ ได้แก่ รถไฟทางคู่ ชุมทางจิระ-อุบลราชธานี ระยะทาง 309 กม. วงเงิน 35,839.74 ล้านบาท, ทางคู่ ขอนแก่น-หนองคาย 174 กม. วงเงินประมาณ 26,000 ล้านบาท, ทางคู่หาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ ระยะทาง 75 กม. วงเงิน 7,941.80 ล้านบาท, ทางคู่สายใหม่ บ้านไผ่-นครพนม ระยะทาง 355 วงเงิน 60,351.91 ล้านบาท, โครงการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 สนามบินสุวรรณภูมิ วงเงิน 4.2 หมื่นล้าน และทางวิ่งเส้นทางที่ 3 มูลค่า 2.2 หมื่นล้านบาท และงานก่อสร้างพื้นที่ส่วนต่อขยายด้านตะวันตกของอาคารผู้โดยสารหลังที่ 1 มูลค่า 6.6 พันล้านบาท

สำหรับโครงการเตรียมเสนอ ครม.ในเดือน ม.ค. 62 จำนวน 5 โครงการ ได้แก่ ทางคู่ปากน้ำโพ-เด่นชัย ระยะทาง 285 กม. วงเงิน 56,066.25 ล้านบาท, ทางคู่ชุมพร-สุราษฎร์ธานี ระยะทาง 167 กม. วงเงิน 23,384.91 ล้านบาท, ทางคู่สุราษฎร์ธานี-หาดใหญ่-สงขลา ระยะทาง 339 กม. วงเงิน 51,823.83 ล้านบาท, ทางคู่เด่นชัย-เชียงใหม่ ระยะทาง 217 กม. วงเงิน 59,992.44 ล้านบาท, การจัดซื้อเครื่องบินของบริษัท การบินไทย วงเงินกว่า 1 แสนล้านบาท ส่วนโครงการที่อยู่ระหว่างทำรายงาน PPP เสนอการลงทุนเดินรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ และงานติดตั้งระบบและเดินรถสายสีส้ม ช่วงมีนบุรี-บางขุนนนท์

ในส่วนโครงการที่ ครม.อนุมัติแล้ว อยู่ระหว่างเตรียมเปิดประมูล 5 โครงการ ได้แก่ รถไฟสายสีแดงอ่อน ช่วงบางซื่อ-หัวหมาก และสีแดงเข้ม ช่วงบางซื่อ-หัวลำโพง ระยะทาง 25.9 กม. วงเงิน 44,157.76 ล้านบาท ประมูลช่วง ม.ค.-มี.ค.62, สายสีม่วงใต้ ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ ระยะทาง 23 กิโลเมตร วงเงิน 101,112 ล้านบาท ช่วง ธ.ค. 61, รถไฟเชื่อม 3 สนามบินวงเงิน 2.2 แสนล้านบาท จะยื่นข้อเสนอ พ.ย. 61 ลงนามสัญญา ก.พ. 62, ทางคู่เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ วงเงิน 8.53 หมื่นล้านบาท ประมูล มี.ค.62, ทางด่วนพระราม 3-ดาวคะนอง-วงแหวนฯ 3.04 หมื่นล้านบาท ประมูล พ.ย.61 โครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง ได้แก่ มอเตอร์เวย์ สายพัทยา-มาบตาพุด 20,200 ล้านบาท คืบหน้า 87.11% เสร็จปี 62 สายบางปะอิน-นครราชสีมา 84,600 ล้านบาท คืบหน้า 49.30% เปิดปี 63 สายบางใหญ่-กาญจนบุรี คืบหน้า 12.72% เปิดปี 64 ยังล่าช้าจากการเข้าพื้นที่ก่อสร้าง ให้กรมทางหลวงชี้แจงเหตุผลค่าเวนคืนที่เพิ่มขึ้นก่อนเสนอครม.ต่อไป

จีดีพีประเทศไทยที่พุ่งปรี๊ด ก็ได้แต่หวังว่าฝนจะตกทั่วฟ้า ประชาชนทุกหมู่เหล่าได้อานิสงส์อยู่ดีกินดีถ้วนหน้า


กำลังโหลดความคิดเห็น