xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“ทัวร์จีนหาย” คือวาระแห่งชาติ ปัญหาใหญ่การท่องเที่ยวไทย!!

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - รอบสองเดือนที่ผ่านมา ตลาดนักท่องเที่ยวชาวจีนลดฮวบฮาบอย่างมีนัยสำคัญ โดยเดือนสิงหาคมลดลง 0.87 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่เดือนกันยายนยังคงลดลงต่อเนื่อง 11.77 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งกรณี “ทัวร์จีนหาย” ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เพราะกระทบกับยอดรายได้รวมของประเทศเป็นอย่างมาก

ทั้งนี้ อ้างอิงสถิตินักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยปี 2560 (International Tourist Arrivals to Thailand 2017) พบชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยมากที่สุด คือ “ชาวจีน” จำนวนกว่า 9.8 ล้านคน ขณะที่เมื่อดูสถิติย้อนหลังพบตั้งแต่ ปี 2560 (ม.ค.-ส.ค) มีนักท่องเที่ยวจีน กว่า 9.8 ล้านคน ทำรายได้เข้าประเทศกว่า 524,000 ล้านบาท ปี 2559 มีนักท่องเที่ยวจีน กว่า 8.7 ล้านคน นำรายได้เข้าประเทศกว่า 457,000 ล้านบาท และปี 2558 มีนักท่องเที่ยวจีน กว่า 7.9 ล้านคน นำรายได้เข้าประเทศกว่า 388,000 ล้านบาท

และมีการคาดการณ์ว่าปี 2561 ไทยจะมีรายได้จากภาคธุรกิจในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่มูลค่า 3 ล้านล้านบาท โดยแบ่งเป็นจากตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ 2 ล้านล้านบาท และตลาดเที่ยวในประเทศอีก 1 ล้านล้านบาท แต่ปรากฎว่า ตลาดนักท่องเที่ยวชาวจีน เกิดการชะลอตัวลงต่อเนื่อง ตั้งแต่กรณีอุบัติเหตุเรือนักท่องเที่ยวชาวจีนล่มที่จังหวัดภูเก็ต เมื่อต้นเดือน ก.ค. 2560 ตลอดจนเหตุการณ์กระทบภาพลักษณ์เมืองท่องเที่ยว ล่าสุดกับกรณีเรียกรับสินบนเพื่ออำนวยความสะดวกเข้าประเทศ และ รปภ. สนามบินดอนเมือง ลงไม้ลงมือทำร้ายนักท่องเที่ยวชาวจีน

สำหรับช่วงเทศกาลวันหยุดยาวเนื่องในวันชาติจีน ประจำปี 2561หรือ “Golden week” มีการคาดการณ์ว่านักท่องเที่ยวชาวจีนจะท่องเที่ยวต่างประเทศทั้งหมดประมาณ 7 ล้านคน เพิ่มขึ้นจาก 6 ล้านคนเมื่อปีที่แล้ว โดย ซีทริป บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการท่องเที่ยวของจีน เปิดเผยว่า ไทยเสียตำแหน่งจุดหมายการเดินทางยอดนิยมอันดับ 1 ของนักท่องเที่ยวจีน ให้กับญี่ปุ่นเป็นปีแรก

โดยสถานทูตจีนในกรุงเทพฯ ได้ออกคำเตือนนักท่องเที่ยวจีนก่อนเข้าช่วง Golden week ให้ระวังเรื่องอากาศแปรปรวนและคลื่นลมแรงในประเทศไทย โดยเฉพาะการท่องเที่ยวทางทะเลใน จ.ภูเก็ต จ.พังงา และ จ.กระบี่ ซึ่งเป็นจุดหมายยอดนิยมทางภาคใต้ของเมืองไทย

นอกจากนี้ยังมีข้อมูลเปิดเผยว่า กรุ๊ปทัวร์ ที่เดินทางมาเที่ยวทะเลภาคใต้จำนวนลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา หายไปกว่า 30,000 คน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นช่วง Golden week ระหว่างวันที่ 1-10 ต.ค. 2561 มียอดจองโรงแรมจากชาวจีนเข้ามามากขึ้น หลังจากลดลง 10-12 เปอร์เซ็นต์ในช่วงเดือน ก.ย. ซึ่งเป็นฤดูฝน

สถานการณ์นักท่องเที่ยวชาวจีนลดลงต่อเนื่อง กระทบอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย โดยนายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่ามีส่วนร่วมหารือกับผู้บริหารสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) เกี่ยวกับประเด็นความอ่อนไหวในตลาดนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งภาคเอกชนได้นำข้อเสนอทำการตลาดมาหลายเรื่อง และเน้นย้ำเรื่องการยกระดับการรักษาความปลอดภัยให้นักท่องเที่ยวชาวจีนรวมทั้งต่างชาติเป็นสำคัญ อาทิ ยกเลิกใช้รถโดยสารที่อายุมากกว่า 20 ปี ไม่ใช้บริการเรือที่ไม่ได้มาตรฐาน พิจารณาข้อเสนอเรื่องดับเบิล เอ็นทรี วีซ่า (Double Entry Visa) หรือทำครั้งเดียวเข้าได้สองครั้ง

“ความรู้สึกของชาวจีนที่มีต่อไทยขณะนี้มีอารมณ์ความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งโกรธ กลัว และแคลงใจ คือเขาโกรธที่เกิดเหตุเรือล่ม จ.ภูเก็ต จนถึงบัดนี้ยังไม่มีการเอาผิดข้าราชการแม้แต่คนเดียว และกลัวเรื่องไข้เลือดออกระบาดที่ทางการไทยประกาศเตือน แล้วสถานีโทรทัศน์ CCTV ของจีนนำมารายงาน ซึ่งเป็นเหตุให้บริษัทประกันภัยของจีนไม่ยอมรับคุ้มครองการเดินทางมาไทย สุดท้ายแคลงใจที่คนจีนถูก รปภ.ของสนามบินดอนเมืองต่อยหน้า และค่าทิป 300 บาทที่มีข่าวออกในจีนเรียกว่าค่าเสี่ยวเฟ่ ที่เก็บแต่กับจีนชาติเดียวในการขอ Visa on Arrival หรือวีซ่าที่ช่องทางพิเศษของ ตม. ซึ่งการแก้ความรู้สึกเหล่านี้ แทนที่จะทำเรื่องลดราคา ควรทำแพ็กเกจที่มุ่งไปถึงความข้องใจจะได้ผลดีกว่า” นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยหลังเดินทางเข้าพบกับ นายลั่ว ซู่กัง รมว.วัฒนธรรมและท่องเที่ยวของจีน

แน่นอน ในประเด็นนี้ “บิ๊กตู่ - พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. สั่งการทุกหน่วยงานเร่งฟื้นความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ โดยเฉพาะหลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ รปภ. สนามบินดอนเมือง ทะเลาะวิวาทกับนักท่องเที่ยวชาวจีนส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทย

ส่วน “บิ๊กป้อม - พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวในประเด็นนี้ว่า ประเทศจีนยังไม่ได้ให้ใบเหลืองการท่องเที่ยวไทย ทางเราได้ไปขอโทษเขาผ่านทางสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยแล้ว พร้อมกับแจ้งเหตุการณ์ต่างๆ ให้รับทราบ ทางสถานทูตฯ ก็โอเค เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นอุบัติเหตุทั้งนั้น ส่วนเหตุการณ์ที่สนามบินดอนเมืองที่เป็นเรื่องของตัวบุคคล ก็มีการดูแลอย่างดี มีการกำหนดกฎเกณฑ์ ในการดูแลรักษาความปลอดภัยในเรื่องการท่องเที่ยวอย่างดี แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ต้องแก้ปัญหา ซึ่งทางการจีนพอใจกับการแก้ปัญหาไทย

โดยกรณีล่าสุด มีคำสั่ง ไล่ออก รปภ. ที่ทำร้ายนักท่องเที่ยวจีน รวมทั้ง สั่งพักงาน ผอ. สนามบินดอนเมือง แม้จะเป็นการแก้ปัญหาแบบวัวหายล้อมคอก แต่ก็สะท้อนว่าภาครัฐไม่ได้นิ่งนอนใจต่อกสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

ส่วนกรณีอุบัติเหตุเรือนักท่องเที่ยวชาวจีนล่มใน จ.ภูเก็ต เมื่อช่วง ก.ค. 2560 ทางการไทยแสดงความรับผิดชอบและเดินหน้าสร้างความมั่นใจอย่างเต็มที่ ซึ่งเมื่อวันที่ 10 ก.ย. 2561 นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแห่งราชอาณาจักรไทย ร่วมการประชุมคณะประสานงานความร่วมมือในการกำกับดูแลการท่องเที่ยว ไทย - จีน ครั้งที่ 3 กับ นายหวาง เซี่ยวเฟิง สมาชิกคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์ประจากระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และผู้แทนจากภาครัฐและภาคเอกชนจากทั้งสองฝ่าย เข้าร่วมการประชุม ณ เมืองไห่หนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน สาระสำคัญตอนหนึ่ง ความว่า

“ฝ่ายจีนรับทราบและพึงพอใจต่อมาตรการของฝ่ายไทยที่ได้ดำเนินการ ภายหลังจากอุบัติเหตุเรือล่มที่ จ.ภูเก็ต ภายใต้ 3 มาตรการฟื้นฟูความเชื่อมั่นและสร้าง ความมั่นใจให้แก่นักท่องเที่ยวจีน 1) การจัดระเบียบความปลอดภัยใหม่ด้วยอำนาจกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดภูเก็ต 2) การจัดทาระบบเตือนภัยล่วงหน้า (Early Warning System) 3) การจัดทำประกันภัยภาคบังคับ โดยบังคับนักท่องเที่ยวต่างชาติให้ทำประกันภัยเมื่อเดินทางเข้ามาเที่ยวในไทย เน้นย้ำเรื่องความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวทั้งทางน้ำและทางบก”

ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยด้วยว่า ขณะนี้ได้ติดตามและประเมินผลกระทบจากสงครามการค้าที่จะมีต่อภาคการท่องเที่ยว โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจากจีน เนื่องจากการที่สหรัฐฯ ประกาศสงครามการค้ากับจีนด้วยการปรับขึ้นภาษีจาก 10 เปอร์เซ็นต์ เป็น 25 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลให้ตอนนี้ค่าเงินหยวนเริ่มอ่อนค่าลด ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ของจีนก็ได้รับผลกระทบด้วย จึงมีผลต่อกำลังซื้อของชาวจีนพอสมควรซึ่งเป็นเรื่องที่จับตาดูอย่างใกล้ชิด สอดคล้องกับจำนวนนักท่องเที่ยวจีนในช่วง 2 เดือน ที่ผ่านมาที่ปรับตัวลดลง ผลกระทบสงครามการค้าจึงเป็นปัจจัยสำคัญ

ทั้งนี้ กระทรวงฯ อยู่ระหว่างการเตรียมร่างมาตรการพิเศษด้านการท่องเที่ยว เพื่อกู้สถานการณ์ดึงนักท่องเที่ยวชาวจีน เพื่อนำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป

นายพงษ์ภาณุ กล่าวถึงแนวทางข้อเสนอของภาคเอกชนที่จะเปิดให้นักท่องเที่ยวชาวจีนยื่นขอวีซ่าเข้าประเทศไทย 1 ครั้ง สามารถเดินทางได้ 2 ครั้ง หรือ ดับเบิล เอ็นทรี่ วีซ่า (Double Entry Visa) รวมทั้ง การขยายระยะเวลาวีซ่าให้นานขึ้น ซึ่งขณะนี้กำลังหารือในรายละเอียดกับกระทรวงการต่างประเทศอยู่ แต่ยังไม่มีแนวคิดใช้วิธีลดแลกแจกแถม หรือการลดค่าธรรมเนียมการทำวีซ่าเมื่อมาถึง (Visa on Arrival) ซึ่งจะใช้มาตรการที่เป็นการอำนวยความสะดวก เพื่อจูงใจให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยง่ายและสะดวกขึ้นมากกว่า

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนที่มายื่นขอวีซ่าผ่านสถานทูตและกงสุลไทย 10 แห่งในประเทศจีน ตั้งแต่ช่วงปลายเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา ถือว่าเริ่มกลับมาใกล้สู่ภาวะปกติแล้ว อาจจะพร่องไปบางส่วนแต่ก็มีญญาณที่ดี

ด้านนายวิชิต ประกอบโกศล นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) ประเมินว่าภาพรวมในทุกตลาดการท่องเที่ยวไทย สำหรับปี 2561 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาเที่ยวในประเทศไทยน่าจะขยายตัวได้ในอัตราไม่ต่ำกว่า 8 เปอร์เซ็นต์ และน่าจะยังคงเป็นตลาดที่มีอัตราการขยายตัวเฉลี่ยสูงกว่าทั่วโลกที่มีอัตราการขยายตัวเฉลี่ยอยู่ที่ราว 5 เปอร์เซ็นต์

กล่าวสำหรับภาพรวมการท่องเที่ยวของไทยยังคงแข็งแรง โดยเฉพาะตลาดเอเชีย อาทิ ฮ่องกง ขยายตัว 25 เปอร์เซ็นต์, ไต้หวัน ขยายตัว 20 เปอร์เซ็นต์, อินเดีย ขยายตัว 12 เปอร์เซ็นต์, มาเลเซีย ขยายตัว 11 เปอร์เซ็นต์, เวียดนาม ขยายตัว 8.5 เปอร์เซ็นต์ เป็นต้น

ยกเว้นเพียง “จีน” เท่านั้นที่ลดฮวบต่อเนื่อง และคงต้องลุ้นเฮือกใหญ่จะว่าพลิกฟื้นขึ้นมาภายในสิ้นปีนี้หรือไม่?

จึงต้องเน้นย้ำอีกครั้งว่า ภาครัฐต้องเร่งเพิ่มความเชื่อมั่น ตลอดจนกลไกต่างๆ ด้านความปลอดภัย ภาคบริการการท่องเที่ยว การจัดระบบระเบียบต่างๆ ฯลฯ เพื่อรองรับกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีน ซึ่งเป็นห่วงโซ่สำคัญในภาคการท่องเที่ยวที่เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เหมือนดังเช่นที่ “ออสเตรเลีย” ประสบความสำเร็จในการดึงนักท่องเที่ยวจีนเข้าประเทศ โดยออสเตรเลียคาดการณ์ว่า จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนจะเพิ่มสูงขึ้นถึง 3.9 ล้านคน ภายในปี 2569-2570


กำลังโหลดความคิดเห็น