xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ความยากจนในโลกลดลง แต่โลกยังมีคนจนอีกมาก

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


"ฝั่งขวาเจ้าพระยา"
"โชกุน"

ธนาคารโลก หรือ เวิลด์แบงก์ เผยแพร่รายงานความยากจนของชาวโลก เมื่อ วันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา ในรายงานที่เผยแพร่เมื่อวันพุธที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา ว่า ประชากรโลก ที่อยู่ในภาวะ “ โคตรจน” หรือ ยากจนสุดขีด ( extreme poverty) ลดลงน้อยกว่า 750 ล้านคน เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ธนาคารโลก เริ่มเก็บสถิติในเรื่องต่างๆของประชากรโลก เมื่อปี 1990 ซึ่งเป้นตัวเลขที่ลดลงลงไปมากกว่า 1 พันล้านคน ในช่วงเวลา 25 ปี

ณ สิ้นปี 2015 ซึ่งเป็นปีล่าสุดที่มีการเก็บข้อมูล ประชาการ ที่ยากจนสุดขีด ลดลงไปอยุ่ในอัตรา 10 % ของจำนวนประชากรทั้งโลก และคาดว่า ในช่วงสามปีที่ผ่านมา คนจนยังคงลดลงทุกปี

ธนาคารโลก ให้คำจำกัดความ ความยากจนสุดขีดว่า คือ คนที่มีรายได้สำหรับการดำรงชีวิตประจำวัน น้อยกว่า วันละ 1.90 เหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 60 บาทต่อวัน หรือ 694 เหรียญต่อปี ( 22,000 บาท ) ซึ่ง ตัวเลข ที่มาจาก มาตรวัดความยากจนที่ประเทศรายได้น้อยจำนวนมากใช้วัดความจน คือ เป็นเงินที่จำเป็นสำหรับการซื้อหาสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน ขั้นต่ำที่สุดของมนุษย์

ในปี 1990 ประชากรที่มีชีวิตอยู่ใต้เส้นความยากจนสุดขีด มีมากกว่า 1.98 พันล้านคน หรือเท่ากับ 36 % ของประชาการโลก ในปี 2015 มีจำนวน 736 ล้านคน ลดลงไปมากกว่า 1 พันล้านคน ในช่วงเวลา 25 ปี

ถึงแม้คนจนจะลดลง แต่คนจนในโลกใบนี้ ยังมีมากเกินไป

ในรายงานของธนาคารโลกฉบับนี้ มีจุดน่าสนใจคือ การเคลื่อนย้ายของสภาวะความจน ในเชิงภูมิศาสตร์

ปี 1990 คนโคตรจน เกือบ 1 พันล้านคน อยู่ในเอเชียตะวันออก ในปี 2015 ลดลงมาเหลือแค่ 47 ล้านคนเท่านั้น ซึ่งเท่ากับ 2 %ของประชากรโลก ซึ่งเป็นผลมาจาก การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วของจีน และประเทศอื่นๆใน เอเชียตะวันออกคือ ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ในหลายๆทศวรรษที่ผ่านมา

ในเอเชียใต้ ซึ่งประกอบด้วยอินเดีย ปากีสถานและบังคลาเทศ จำนวนคนยากจนสุดขีด ลดลงเหลือ 216 ล้านคน จาก ที่เคยมีมากว่า 500 ล้านคน หรือ ลดลงมาอยู่ในอัตรา 12 % จาก 47 % ของประชากรโลก

ภูมิภาค ที่อยู่ใต้ทะเลทรายซาฮาร่า หรือที่เรียกกว่า “ ซับ ซาอาร่า “ ในทวีปแอฟริกา มีความเปลี่ยนแปลงในทิศทงาที่ดีขึ้น น้อยที่สุด อัตราคนจนลดลงจาก 54 % เมื่อปี 1990 มาอยู่ที่ 41 % แต่ในแง่ของจำนวน กลับทมีคนจนมากขึ้น เพราะ การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของประชากรในพื้นที่ดังกล่าว ทำให้ จำนวนคนยากจนเพิ่มขึ้น เป็นมากกว่า 400 ล้านคน จาก 278 ล้านคนในปี 1990

ตัวเลขนี้ ยืนยัน ข้อสรุปจากผลการศึกษาของ มูลนิธิบิลล์ แอนด์ เมลินดา เกทส์ เมื่อเร็วๆนี้ ซึ่งพบว่า คนยากจนที่สุด จะกระจุกตัวอยู่ใน พื้นที่ส่วนที่ไร้เสถียรภาพที่สุด ในแอฟริกา

ทั้งรายงานของธนาคารโลก และผลการศึกษาของมุลนิธ เกตส์ ต่างพบว่า คนจนที่สุดของโลก มากกว่าครึ่งหนึ่ง ปัจจุบันอยู่ในภูมิภาค ซับ ซาอาราน ของทวีปแอฟริกา และมีแนวดน้มที่จะเพิ่มจำนวนมากขึ้น

ธนาคารโลก รณรงค์ ให้ประเทสต่างๆ ช่วยกัน ลดอัตราความยากจนสุดขีด ให้ต่ำกว่า 3 % ในปี 2030 แต่ยอมรับว่า เป้าหมายนี้จะเป็นจริงได้ บนสมมติฐานว่า เศรษฐกิจในพื้นที่มีคนจนอยู่ มีกีรเติบโตอย่างเกินคาด และ มีการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำโดยตรง จน ทำให้ช่องว่างระหว่าง คน 40 % ที่อยู่ชั้นล่างสุด กับคนที่เหลือ หดแคบเข้ามา

มาตรวัดความยากจนของธนาครโลก ต่างจากเกณฑ์ที่ประเทศร่ำรวยใช้กัน ตัวอย่างเช่น ในสหรัฐอเมริกา สำนักสำรวจประชากร บอกว่า ในปี 2017 มีประชากร 12.3 % เป็นคนจน โดยที่ใช้เกณฑ์ คน รายได้ต่ำกว่า 12,500 เหรียญต่อปี เป็นคนจน ซึ่งสะท้อนว่า ในประเทศที่มีรายได้สูง ปัจจัยพื้นฐาในการดำรงชีวิต มีราคาแพงกว่า

แม้แต่ประเทศร่ำรวยอย่างสหรัฐฯ ก็ยังไม่สามารถขจัดความยากจนในหมู่ประชาชนให้หมดไปได้โดยสิ้นเชิง ตัวเลขธนาคารโลกแสดงให้เห็นว่า ในประเทศพัฒนาแล้ว ยังมีคนที่มีรายได้ต่ำกว่า วันละ 1.90 เหรียญ ถึง 7 ล้านคน

สำหรับประเทศไทย ปีที่แล้ว ธนาคารโลก ได้เปิดเผยถึงรายงานแนวโน้มการเติบโตแบบมีส่วนร่วมของภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกในระยะยาว ชื่อ Riding the Wave: An East Asian Miracle for the 21st Century ซึ่งพบว่า ประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกเป็นผู้นำที่แสดงวิธีให้เห็นว่าการเติบโตอย่างรวดเร็วและการมีส่วนร่วมในทางเศรษฐกิจจะช่วยลดความยากจนอย่างชัดเจนได้ ซึ่งช่วยให้คนเกือบล้านคนได้หลุดพ้นจากความยากจน

ในรายงานระบุว่าประเทศไทยซึ่งอยู่กลุ่มเดียวกับมาเลเซีย ได้เริ่มหลุดพ้นจากความยากจน และกำลังก้าวสู่ความมั่งคั่ง

สถานการณ์ความยากจนของประเทศไทยในปัจจุบันใช้เส้นความยากจนที่เป็นทางการคือ 2,667 บาท/คน/เดือน ( 2.7 เหรียญต่อวัน ) หากมองย้อนไปในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา พบว่า ปัญหาความยากจนในภาพรวมของประเทศไทยลดลงมาก โดยจำนวนคนจนได้ลดลงประมาณ 28 ล้านคนในช่วงเวลาดังกล่าว จากจำนวนผู้ยากจน 34.1 ล้านคนในปี 2531 เหลือเพียง 5.8 ล้านคนในปี 2559 สัดส่วนคนจนลดลงจากร้อยละ 65.2 เป็นเพียงร้อยละ 8.6 ในปี 2559

หากพิจารณาในรายละเอียดจะพบว่า กลุ่มประชากร 40% ที่มีรายได้ต่ำสุดในประเทศไทย ในจำนวนนี้ 38.7% เป็นคนจน และคนที่เกือบจนซึ่งเป็นกลุ่มที่เสี่ยงต่อการตกเป็นคนจนได้ง่าย โดยพบว่า มีแนวโน้มลดลงมากจาก 39.2 ล้านคนในปี 2531 เหลือเพียง 11.6 ล้านคนในปี 2559
ทั้งนี้ ความยากจนยังกระจุกตัวอยู่ในส่วนภูมิภาค ได้แก่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 12.96% ภาคใต้ 12.35% และภาคเหนือ 9.83% ของประชากรในแต่ละภาค โดยจังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนสูงสุด 10 ลำดับแรกในปี 2559 ได้แก่ แม่ฮ่องสอน นราธิวาส ปัตตานี กาฬสินธุ์ นครพนม ชัยนาท ตาก บุรีรัมย์ อำนาจเจริญ และน่าน ตามลำดับ




กำลังโหลดความคิดเห็น