ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ขยายผลให้เป็นเรื่องราวใหญ่โตขึ้นมากับการตามล่าขบวนการผลิตเสื้อยืดสีดำที่ตราสัญลักษณ์ “องค์กรสหพันธรัฐไท” ตามคำสั่งของ “พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รวมทั้งท่านผู้นำ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ลั่นวาจาให้จัดการเด็ดขาดปล่อยไว้ไม่ได้ ชวนให้สงสัยเบื้องหน้าเบื้องหลังว่าเหตุไฉนจึงเกิดเรื่องที่ดูทะแม่งๆ ขึ้นมาในเวลานี้
เหตุทะแม่งๆ ด้วยว่า จู่ๆ นางวรรณภา วัย 30 ปี อาชีพขับขี่จักรยานยนต์รับจ้าง ก็ถูกทหารรวบตัว พร้อมเสื้อยืดโปโลสีดำที่มีแถบป้ายสีขาวแดงที่มีความหมายเชิงสัญลักษณ์แบ่งแยกการปกครองของ “สหพันธรัฐไท” บริเวณหน้าอกจำนวนหนึ่ง ที่ห้องพักย่านสมุทรปราการ และถูกควบคุมตัวไว้ที่มณฑลทหารบกที่ 11 (มทบ.11) ตั้งแต่วันที่ 6 ก.ย. ก่อนส่งตัวให้ตำรวจ ซึ่งตั้งข้อหายุยงปลุกปั่นเพื่อให้ประชาชนกระทำผิดอาญาล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ตามมาตรา 116 และเป็นอั้งยี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209 ตามประมวลกฎหมายอาญา และถูกคุมตัวส่งศาลอาญา กระทั่งเมื่อวันที่ 12 ก.ย. ที่ผ่านมา จึงได้รับการประกันปล่อยตัวออกมาโดยกองทุนช่วยเหลือคดีนักโทษการเมือง ได้ใช้หลักทรัพย์ยื่นประกันเป็นเงิน 200,000 บาท
ไม่เพียงแต่นางวรรณา เท่านั้น จากการติดตามของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน พบว่า มีบุคคลถูกทหารควบคุมตัวกรณีการครอบครองเสื้อสหพันธรัฐไทตั้งแต่สัปดาห์ก่อนถึงปัจจุบันทั้งหมด 5 คน ในจำนวนนี้มี 1 คนที่ได้รับการปล่อยตัวโดยไม่แจ้งข้อหา และอีก 1 คน ศาลอาญาอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว เมื่อวันที่ 11 ก.ย. โดยวางหลักทรัพย์ค้ำประกัน 40,000 บาท แต่กำหนดเงื่อนไขต้องใส่อุปกรณ์ติดตามตัวและห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร
อีกเหตุทะแม่งๆ ด้วยว่า หนึ่งในแดงฮาร์ดคอร์ คือ “ภูผาเสรี สะเร็น” ซึ่งหลบภัยอยู่ในสปป.ลาว ตั้งแต่หลังรัฐประหาร2557 ออกมาสาวไส้กันเองผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า “.... มีคนใส่เสื้อดำมีธงโลโก้ของสหพันธรัฐไทถูกทหารจับ แต่หัวหน้าใหญ่ออกแถลงการณ์มาให้รับผิดชอบเอาเอง ผมสงสัยว่าในเมื่อต้องการทำงานลับ แต่ทำไมต้องทำเสื้อออกมาขาย.... แน่นอนว่าการขายเสื้อ คนซื้อก็ต้องเอาไปใส่ เมื่อใส่แล้วจะลับได้ยังไง ถ้าให้มวลชนใส่เสื้อแล้วถูกจับใครจะรับผิดชอบ ผมก็แค่สงสัยในวิธีการทำงานของสหพันธรัฐไทว่าจะหามวลชนเพิ่มหรือจะทำลายมวลชน สงสัยจริงๆ”
ชวนสงสัยทั้งสองฝักสองฝ่าย ทั้งรัฐบาลทหารว่ากำลังปลุกผีแดงฮาร์ดคอร์ขึ้นมาสร้างกระแสความไม่มั่นคงของบ้านเมือง เพื่อให้สถานะของรัฐบาลทหารมีความมั่นคงจึงจำเป็นต้องอยู่ต่อไม่ว่าจะมีเลือกตั้งหรือไม่ ใช่หรือไม่ ขณะที่สายแดงฮาร์ดคอร์ในนามองค์กรสหพันธรัฐไท ภายใต้การนำของหัวหน้าใหญ่ “ลุงสนามหลวง” หรือ นายชูชีพ ชีวสุทธิ์ ผู้ต้องหาคดี 112 ที่พำนักอยู่ในนครหลวงเวียงจันทน์ในเวลานี้ก็มาแนวแปลกอย่างที่สาวกแดงฮาร์ดคอร์อีกขั้วแฉเงื่อนงำผู้นำองค์กรสหพันธรัฐไทข้างต้น
การเคลื่อนไหวของแดงฮาร์ดคอร์สายองค์กรสหพันธรัฐไท ยังมีน้ำหนัก ยังมีราคา และมีศักยภาพความสามารถถึงขนาดล้มล้างระบอบการปกครองประเทศ จนระดับผู้นำประเทศ ต้องสั่งล่าหัวขนาดนั้นเชียวหรือ?
ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์พูดชัดถึงการจับกุมครั้งนี้ว่า สิ่งที่ทำเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ประเทศไทยไม่ใช่สหพันธรัฐ ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ เป็นอาณาจักรหนึ่งเดียวแบ่งแยกไม่ได้ แต่สหพันธรัฐถือเป็นการแบ่งแยกเป็นรัฐต่างๆ ซึ่งประเทศไทยไม่ได้เป็นเช่นนั้น และสัญลักษณ์ของประเทศไทยเป็นธงไตรรงค์ ดังนั้น การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายกบฏเป็นการล้มระบอบการปกครองหรือไม่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ทหารดำเนินการตามกฎหมาย อะไรที่ขัดรัฐธรรมนูญทำไม่ได้ทั้งสิ้น....
ขณะที่ พล.อ.ประวิตรระบุว่า กลุ่มคนเสื้อดำ สัญลักษณ์สหพันธรัฐไทมีความเชื่อมโยงกับคนไทยที่กระทำผิดตามมาตา 112 มาตรา 116 และหลบหนีเข้าไป สปป. ลาว ขณะนี้ตำรวจจับกุมกลุ่มนี้ได้ 3-4 คน และย้ำว่า หากสาวถึงตัวใครก็ต้องถูกดำเนินคดีหมดเพราะถือเป็นกบฎ ซึ่งขณะนี้ได้ประสานทางการลาวเพื่อขอไม่ให้ทางการลาวให้การช่วยเหลือกลุ่มคนเหล่านี้ เพราะกลุ่มดังกล่าวมีความพยายามก่อให้ความแตกแยก ให้เกิดรัฐใหม่ และแบ่งแยกการปกครองเพื่อไม่ให้มีสถาบัน
องค์กรสหพันธรัฐไท ใหญ่โตพอที่ก่อกบฎ ล้มล้างการปกครองจริงหรือ เพราะเวลานี้ใครๆ ก็รู้กันว่าองค์กรนี้มีราคาแค่ป่วนเมือง แถมเรียกค่าตัวจาก “นายใหญ่” ก็ไม่ได้ เพราะแตกคอกันเองในแนวทางการต่อสู้แบบเดินคนละเส้นทางแล้ว และปัจจุบันกลุ่มนี้ก็หลงเหลือสมาชิกอยู่เพียงแค่ 3 คน จากทั้งหมด 7 คน เมื่อเริ่มต้นก่อตั้งช่วงปี 2559 ซึ่งเป็นแดงฮาร์ดคอร์ ที่หนีคดี 112 และมรสุมการเมืองข้ามฝั่งโขงไปพำนักอยู่ใน สปป.ลาว
ตามรายงานของ “คม ชัด ลึก” ไล่เรียง 7 แดงฮาร์ดคอร์ ยุคก่อตั้งสหพันธรัฐไท ประกอบด้วย 1.ลุงสนามหลวงหรือชูชีพ ชีวะสุทธิ์ อดีตนักศึกษามหิดล ยุค6ตุลา19เคยเข้าป่าอีสานใต้ มีชื่อจัดตั้งว่า “สหายสมชาย” 2.โกตี๋หรือวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ ใช้ชื่อจัดรายการวิทยุใต้ดินว่า “สหายหมาน้อย” 3.ขุนทอง ไฟเย็นหรือไตรรงค์ สินสืบผลหัวหน้าวงดนตรีไฟเย็น4.แยม ไฟเย็นหรือรมย์ชลี สมบูรณ์รัตนกูล ชาว อ.บ่อไร่ จ.ตราด ร่วมทำกิจกรรมทางการเมืองกับวงไฟเย็น มาตั้งแต่ปี 2556
5.สหายร้อยสิบสอง นักเขียนชื่อดัง 6.สหายยังบลัดหรือสหายเลือด คนโคราชเคยเข้าป่าอีสานใต้ ก่อนหนีมาลาว รับจ้างทำป้ายโฆษณาอยู่แถวพัทยา และ7.สหายเผด็จหรือสหายสน อดีตนักศึกษาวิทยาลัยอาชีวะนครราชสีมา และเข้าป่าอีสานใต้
หลังรัฐประหาร 2557 นายสุรชัย แซ่ด่าน และโกตี๋ หนีไปที่กัมพูชาก่อนวกกลับมาอยู่ลาว ก่อนแยกย้ายกันไป และเมื่อลุงสนามหลวง ทำสถานีวิทยุใต้ผ่านช่องยูทูบ จึงชวนโกตี๋มาร่วมงานด้วย ทำให้กลุ่มใต้ดินแดงฮาร์ดคอร์ในลาวมี 2 กลุ่มจัดรายการวิทยุใต้ดิน คือ กลุ่มลุงสนามหลวง-โกตี๋ กับกลุ่มสุรชัย ซึ่งสองกลุ่มมีแนวทางต่างกัน โดยกลุ่มลุงสนามหลวง เดินแนวต่อสู้พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินด้วยการประกาศตั้งองค์กรสหพันธรัฐไท ขณะที่กลุ่มนายสุรชัย เดินแนวทางแยกสลายชนชั้นนำ สร้างแนวร่วมกลุ่มทุน ปฏิวัติประเทศไทย ทั้งสองกลุ่มนี้ต่างโจมตีตอบโต้ด่าทอกันไปมา ซึ่ง “ภูผาเสรี สะเร็น” ที่สาวไส้การขายเสื้อของสหพันธรัฐไท ก็อยู่ในกลุ่มนายสุรชัย
กระทั่งปี 2560 โกตี๋หายตัวไป องค์กรสหพันธรัฐไท ก็แตกแยกรุนแรง ทำให้ ขุนทอง ไฟเย็น, แยม ไฟเย็น, สหายสน สหายร้อยสิบสอง แยกตัวออกไปตามทางใครมัน องค์กรสหพันธรัฐไท เหลือสมาชิกเพียงแค่ 3 คน คือ ลุงสนามหลวง, สหายยังบลัด และข้าวเหนียวมะม่วง ซึ่งคนหลังนี้เป็นสมาชิกใหม่ โดยยังคงแนวทางปลุกระดมให้ลุกขึ้นต่อสู้ทุกรูปแบบ รวมทั้งการ “ขายเสื้อ” ด้วย?
เมื่อไม่กี่เดือนมานี้ลุงสนามหลวง ประกาศขาย “เสื้อสหพันธรัฐไท” ทางช่องยูทูบ โดยซื้อขายผ่านไลน์กลุ่มแม่ยก พร้อมเรียกร้องให้ทุกคนที่ได้เสื้อไปแล้วสวมใส่กันเลย โชว์ธงโลโก้สหพันธรัฐไท ไม่ต้องกลัวถูกจับ แต่เมื่อถูกจับจริงแล้ว ลุงสนามหลวง จะช่วยไหม ก็ต้องย้อนกลับไปดูเหตุการณ์เมื่อปีที่แล้วที่สาวกลุงสนามหลวง หลงเชื่อคำปลุกปั่นไปเผาป้ายสัญลักษณ์ และคนที่ถูกว่าจ้างไปเผาป้ายจริง ที่ อ.ชนบท จ.ขอนแก่น ถูกตำรวจจับกุม ต้องดิ้นรนสู้คดีความตามลำพัง
แล้วยังจะเชื่อน้ำยาสหพันธรัฐไท ศัตรูแผ่นดิน ศัตรูการเมืองตัวใหญ่เบ้อเร่อของรัฐบาลทหารอยู่อีกมั้ย?? แล้วก็ต้องย้อนถามรัฐบาลทหารกลับด้วยว่าจะปลุกผีสหพันธรัฐไท ขึ้นมาเพื่ออะไร