เป็น 100 วันแรกที่นายกฯ อายุมากที่สุดในโลก ได้ดำเนินการอย่างเฉียบขาด เพื่อจัดการกับปัญหาหนักหนาสาหัสที่ประเทศมาเลเซียกำลังประสบ ท่ามกลางหนี้สินของประเทศที่เพิ่มพูน และเกิดจากการกู้ยืมอย่างเมามันของรัฐบาลชุดก่อน ผสมกับการคอร์รัปชันโกงชาติด้วยการเปิดทางให้โครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานตกไปอยู่ในกำมือของบริษัท (หรือ “รัฐวิสาหกิจ”) ของประเทศจีน ซึ่งชนะการประมูลด้วยราคาแพงมาก ที่ต้องจ่ายโดยภาษีของประชาชน และต้องพึ่งเงินกู้ยืมจากจีน
ไม่เพียงการหยุดโครงการใหญ่ๆ 3 แห่ง ที่รัฐบาลของเขาจะต้องจ่ายด้วยเงินกู้ (ดอกเบี้ยสูง) -คือ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม KL กับสิงคโปร์; โครงการรถไฟฝั่งตะวันออกที่จะเชื่อมกับโครงการ 1 แถบ-1 เส้นทางของจีน; และโครงการท่อส่งน้ำมันแฝดที่รัฐซาบาห์; แต่ยังมีโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หรูขนาดยักษ์ ที่แผ่นดินตอนใต้สุดของประเทศ อันจะเกิดจากการถมทะเล (land reclamation) ถึง 4 เกาะซึ่งรัฐบาลนาจิบได้อนุมัติให้บริษัทก่อสร้างพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ของจีนชื่อ Country Garden Holding Co. เป็นผู้พัฒนามูลค่าโครงการสูงถึง 1 แสนล้านดอลลาร์ (ประมาณกว่า 3 ล้านล้านบาท-เท่ากับงบประมาณปีนี้ของไทยทีเดียว)
โครงการนี้มีชื่อว่า Forrest City และได้เปิดให้ผู้ที่จะมาซื้อที่อยู่อาศัยสามารถได้รับวีซ่าพำนักอยู่ในประเทศมาเลเซียได้อย่างยาวนานพิเศษ (ปูทางเปลี่ยนแปลงสัญชาติได้ในอนาคตด้วย)
โครงการหรูนี้จะมีเพียบพร้อมหมดทุกอย่างที่ต้องการ ทั้งที่อยู่อาศัยแพงสุดๆ รวมทั้งแหล่งชอปปิ้ง, แหล่งบันเทิง, โรงเรียน, ท่าเรือ, ลานจอดเรือบิน โดยมุ่งให้ผู้อยู่อาศัยเป็นคนรวยจากหลากหลายเชื้อชาติ เป้าหมายใหญ่คือ คนจีนที่มีกระเป๋าหนักมากขณะนี้ และยังมีนักลงทุนจากอินโดนีเซีย, ไทย และตะวันออกกลางทั้งหมด (เช่น ดูไบ, ซาอุฯ ฯลฯ)
ในใบแผ่นโฆษณาของโครงการ จะใช้คำชวนเชิญที่อบอุ่นว่า จะเป็น Malaysia’s My Second Home หรือเป็นบ้านที่สองที่มาเลเซีย ที่จะสวยหรูและร่มรื่นด้วยแมกไม้ขนาดเป็น Forrest ทีเดียว
เป้าหมายหลักที่ได้มีการจ่ายเงินแล้ว เป็นคนจีนส่วนใหญ่ ที่จะจ่ายเงินซื้อคอนโดฯ หรูด้วยราคาเพียงเศษเสี้ยวของราคาที่เมืองใหญ่ๆ ของจีน ไม่ว่าจะเป็นเซี่ยงไฮ้หรือปักกิ่ง
นายกฯ มหาเธร์ ได้ประกาศตั้งแต่ก่อนไปเยือนจีนด้วยซ้ำว่า โครงการนี้รัฐบาลจะไม่ยอมออกวีซ่าระยะยาวให้ชาวต่างชาติที่มาซื้อที่อยู่อาศัย ซึ่งทำเอาบริษัทผู้พัฒนาโครงการดูจะตกใจมาก กระทบถึงหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดได้ร่วงมาจากจุดสูงสุดทันที
เหตุผลที่ดร.เอ็มหรือนายกฯ มหาเธร์ยกขึ้นมา ที่จะไม่ให้การสนับสนุนโครงการนี้คือ การที่ราคาคอนโดฯ สูงริบเกินกว่าที่ชาวมาเลเซียส่วนใหญ่จะเข้าซื้อได้
ตัวเลขคาดการณ์ผู้เข้าอยู่อาศัยนั้น เฉียดๆ 1 ล้านคน จึงเป็นชุมชนที่ใหญ่โตมโหฬารมากสำหรับประเทศมาเลเซียที่มีประชากรไม่ถึง 30 ล้านคน
และจะเป็นชุมชนชาวต่างชาติที่ใหญ่สุดของมาเลเซีย เหมือนจะเป็นอาณานิคมของจีนในมาะเลซียด้วยซ้ำ-ทำให้มาเลเซียกลายเป็นกึ่งเมืองขึ้นของจีนโดยปริยาย
บางคนมองว่า Forrest City ก็น่าจะเป็น Gigantic Chinatown หรือเมืองจีนยักษ์ที่อยู่นอกประเทศจีนนั่นเอง
คนจำนวนหนึ่งที่คาดว่าจะเป็นส่วนใหญ่ที่พำนักอยู่ที่ Forrest City นี้ น่าจะเป็นคนจีนที่อยากจะทำงาน และลงทุนที่เกาะสิงคโปร์ โดยแค่ข้ามช่องแคบประมาณ 10 นาทีก็ถึงสิงคโปร์ พวกเขาก็แค่อาศัยคอนโดฯ แห่งนี้เป็นที่ซุกหัวนอนเท่านั้น
นายกฯ มหาเธร์ได้ไปอธิบายให้ชัดขึ้นที่ท่านจะไม่ยอมให้วีซ่าระยะยาวแก่ผู้เข้าอยู่อาศัยในโครงการหรูนี้ โดยเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (1 กันยายน) ไปกล่าวปาฐกถา “อนาคตของภูมิบุตร (หรือเจ้าของแผ่นดิน)” ว่า “ถ้าเรายอมให้คนจีน 3 ล้านคนเข้ามาอยู่ในประเทศ อะไรจะเกิดขึ้นกับเราล่ะ พวกเขาเป็นคนที่ทำงานหนัก, เฉลียวฉลาด และมีความรู้ดีมากเรื่องการทำธุรกิจ...พวกเขาไม่ใช่ผู้ใช้แรงงานนะ...แต่ประสบผลสำเร็จอย่างดีทางธุรกิจ แล้วพวกเราจะแข่งกับพวกเขาได้รึ?...เราต้องยอมรับจุดอ่อนของพวกเรา และจะต้องปกป้องพวกเรากันเอง จนกว่าเรามีความสามารถพอจะแข่งขันสู้กับพวกเขาได้...พวกเขาจะเข้ามากวาดซื้อที่ดินของพวกเราจนหมด และพวกเราก็จะต้องขยับหนีไกลออกไปจากเมืองใหญ่ ไปอยู่ตามชายป่า...หรืออาจต้องเข้าไปอยู่ในป่าด้วยซ้ำ...นี่เป็นสิ่งที่ผมมองเห็นภาพที่กำลังจะเกิดขึ้น...พวกเขาจะเข้ามาเป็นเจ้าของที่ดินผืนใหญ่ๆ และพัฒนาเมืองหรูๆ ให้เกิดขึ้น ซึ่งพวกเราจะไม่มีปัญญาเข้าพักอาศัยอยู่ในเมืองหรูๆ เหล่านี้ เพราะราคาแพงมาก”
ท่านยังได้พูดเสริมอีกว่า “ในช่วงชีวิตของผม ได้พบเห็นพวกคนจีนที่ได้อพยพเข้ามาเลเซียในฐานะผู้ใช้แรงงาน พวกเขาจะเพาะและขายถั่วงอก และทำเต้าหู้ขาย; ตอนนั้น ชาวมาเลย์ที่ร่ำรวยจะจ้างคนจีนเป็น “อาม่า” ไว้เป็นพี่เลี้ยงของลูกๆ...ซึ่งต่อมาบรรดาลูกหลานจีนเหล่านี้ได้ประสบผลสำเร็จจนกลายเป็นเศรษฐีมากมายในแผ่นดินนี้”
น่าคิดสำหรับคนจีนรุ่นใหม่ที่ต่างกับคนจีนรุ่นเสื่อผืนหมอนใบที่เข้ามาเป็นกุลีทำงานหนัก หนีความยากจนข้นแค้นในแผ่นดินใหญ่ และประสบผลสำเร็จจนได้เป็นเศรษฐีในดินแดนสุวรรณภูมิ และอุษาคเนย์แห่งนี้ เพราะคนจีนรุ่นใหม่เติบโตมาเป็นลูกชายคนเดียวแบบจักรพรรดิ ที่ต่อสู้อย่างไม่มีปรานีปราศรัยหรือผูกผันกับเจ้าของแผ่นดินที่เขาเข้ามาตั้งรกรากใหม่ด้วยซ้ำ