ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เกิดอาการ “ไบโพลาร์” ขึ้นมาแบบกะทันหัน จนไม่รู้ว่าจะแสดงออกทางอารมณ์ด้วยการ “หัวเราะ” หรือว่า “ร้องไห้” ดี เมื่อได้ยินคำให้สัมภาษณ์ของ สุรศักดิ์ คีรีวิเชียร กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ออกมาอัปเดตคดีดัง ทุจริตจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิด “Alpha 6 - GT 200” ที่ยังเหลืออยู่ในชั้นป.ป.ช.ว่า
“ป.ป.ช.ไม่มีการปล่อยให้ขาดอายุความแน่นอน แต่การจะวินิจฉัยว่าถูกหรือผิด เป็นเรื่องที่ยาก เพราะบางครั้งไม่ได้อยู่ที่มูลค่าของเครื่อง แต่เป็นเหมือนความเชื่อ เหมือนพระเครื่อง ซึ่งเจ้าหน้าที่ ที่นำไปใช้แล้วเขารู้สึกว่าคุ้มค่า”
ด้วยความเคารพที่จะต้องกล่าวว่า เป็น “ตรรกะที่วิบัติที่สุด” เท่าที่เคยได้ยินมา
เพราะนี่คือคดีทุจริตซึ่งต้องอาศัย “หลักฐาน” มาประกอบการตัดสิน มิใช่ใช้ “ความเชื่อ” ที่ไม่สามารถนำมาใช้กล่าวอ้างทางกฎหมายได้
ที่สำคัญคือ GT200 คือยุทธภัณฑ์ทางทหารที่ “ลวงโลก” ซึ่งในต่างประเทศมีข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ชัดเจนจนมีการลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้องไปจนหมดแล้ว โดยศาลอังกฤษตัดสินจำคุก 3 หัวโจก แก๊งต้มตุ๋นหลอกขาย “ไม้ล้างป่าช้า” เป็นเวลา 3 ปีครึ่ง ถึง 10 ปี และสั่งยึดทรัพย์สินเกือบ 400 ล้านบาท เหลือแต่ประเทศไทยที่คดียังมิได้มีความคืบหน้าให้เห็นเลยแม้แต่น้อยจนสังคมสงสัยว่า เกิดอะไรขึ้น เสียด้วยซ้ำไป
ดังนั้น คำกล่าวของ “ทั่นสุรศักดิ์” จึงจำต้อง “ถอดรหัส” ให้เห็นด้วยประจักษ์พยานแบบชัดๆ ว่า มีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไรหรือไม่ เพราะหากยังจำกันได้ บิ๊กกุ้ย-พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช.เคยให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาว่า การสอบสวนการจัดซื้อจัดจ้างจีที 200 ทั้ง 14 สำนวน 12 หน่วยงานจะสามารถสรุปสำนวนให้ ป.ป.ช.วินิจฉัยได้ภายในเดือนกันยายนนี้ ซึ่งก็เหลือเวลาอีกไม่มาก แถมกรรมการ ป.ป.ช.ยังมีความเห็นไปในทำนองนี้อีก แล้วจะให้สังคมมีความคาดหวังกับ “คน” ที่จะต้องมารับผิดชอบในการจัดซื้อจัดจ้างได้อย่างไร
ทั้งนี้ ในรายงานสรุปผลการตรวจสอบการจัดซื้อ GT200 ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ระบุว่า หน่วยงานแรกของไทยที่จัดซื้อเครื่อง GT200 มาใช้คือกองทัพอากาศ (ทอ.) เมื่อปี 2548 โดยจัดซื้อเครื่องละ 9.66 แสนบาทต่อมาในปี 2550-2552 หน่วยงานรัฐต่างๆ ได้จัดซื้อมาใช้งาน เนื่องจาก ทอ. นำมาใช้ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ สามารถตรวจพบอาวุธ กระสุน และวัตถุระเบิดหลายครั้ง จนเป็นที่เชื่อมั่นของผู้ใช้งาน
โดยหน่วยงานรัฐที่จัดซื้อ GT200 ทุกหน่วยจัดซื้อด้วย “วิธีพิเศษ” จาก บริษัท โกลบอล เทคนิคัล จำกัด (Global Technical Limited) ประเทศอังกฤษโดยตรง หรือผ่านบริษัท เอวิเอ แซทคอม จำกัด ที่เป็นนายหน้าให้กับบริษัทโกลบอลฯ ในประเทศไทย
ผลก็คือระหว่างปี 2548-2553 หน่วยงานของรัฐไทย 15 หน่วยงาน ซื้อ GT200 หรือ Alpha 6 มาใช้รวมกันถึง 1,398 เครื่อง รวมเป็นเงินกว่า 1,134 ล้านบาท ในราคาตั้งแต่เครื่องละ 4.26 แสนบาท - 1.38 ล้านบาทโดยส่วนใหญ่หากไม่ถูกนำไปใช้ในภารกิจตรวจวัตถุต้องสงสัยในพื้นที่ชายแดนใต้
ยกตัวอย่างเช่น 1. การจัดซื้อ “จีที 200” ของ กรมสรรพาวุธทหารบก ใน 12 สัญญา จำนวน 747 เครื่อง วงเงิน 683 ล้านบาท หรือเครื่องละ 914,323 บาท2. การจัดซื้อ “จีที 200” ของ กรมศุลกากร กระทรวงการคลัง จำนวน 6 เครื่อง วงเงิน 2.5 ล้านบาท หรือเครื่องละ 416,666 บาท 3.การจัดซื้อ “จีที 200” ของ กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชัยนาท จำนวน 1 ชุด วงเงิน 550,000 บาท และ 4.การจัดซื้อ “จีที 200” ของ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม จำนวน 6 เครื่อง หรือเครื่องละ 1,116,666บาท
ทว่า ในที่สุดแล้ว “ความลวงโลก” ก็ได้ระเบิดออกมาในช่วงปลายในปี 2552 เมื่อเครื่องจีที200 ทำงานผิดพลาดทำให้เกิดเหตุระเบิดข้างโรงแรมเมอร์ลิน จ.นราธิวาส ในวันที่ 6 ตุลาคม 2552 และตลาดสด จ.ยะลา เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2552 ซึ่งส่งผลทำให้สังคมและภาคประชาชนติดตามตรวจสอบเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง จึงนำไปสู่การเรียกร้องให้พิสูจน์การทำงาน จีที200 ให้เห็นว่า ใช้งานได้จริงหรือไม่ อย่างไร
ในระหว่างที่หน่วยงานอื่นตรวจสอบอยู่นั้น ทางกองทัพเองก็ออกมาชี้แจง พร้อมทำการทดลองการใช้เครื่องโดยตัวทหารเอง และายืนยันครั้งแล้วครั้งเล่าว่า เครื่องมือนี้ใช้งานได้จริง หรือกระทั่งดึงเอา คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ในขณะนั้น มาร่วมทดลองการใช้งาน ซึ่ง “คุณหญิงพรทิพย์” และทีมงานก็ประกาศการันตีว่า “จีที 200” ใช้งานได้ดีมีประสิทธิภาพ จนกลายเป็นวิวาทะทางวิชาการกับ “ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์” ซึ่งเป็นประเด็นแจ้งเกิดให้กับฝ่ายหลังด้วย
กระทั่งในวันที่ 16 ก.พ.53 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ผลการทดสอบ จีที200 จำนวน 20 ครั้ง ปรากฏว่า หาวัตถุระเบิดได้ถูกต้องเพียง 4 ครั้ง ซึ่งมีนัยทางสถิติไม่ต่างอะไรจากการ “เดาสุ่ม” และสั่งให้ทุกหน่วยงานยกเลิกการจัดซื้อโดยทันที ขณะที่กองทัพบกก็มีคำสั่งปลดประจำการ” จากกองทัพ ไปในที่สุด
และนั่นก็ได้เป็นที่มาของสมญานามว่า “ไม้ล้างป่าช้า”
จากนั้นก็เป็นคิวของ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เข้ามาตรวจสอบบ้าง แต่จนแล้วจนรอดก็ยังจับมือใครดมไม่ได้ ไร้คนผิดไปเสียอย่างนั้น
แน่นอนว่า กรณีของ“GT 200-Alpha 6” นั้นส่งผลกระทบกับหน่วยงานที่สำคัญที่สุดคือ กองทัพ และการจัดซื้อหลายครั้งเกิดขึ้นในสมัยของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ซึ่งถือเป็นหนึ่งใน คสช.ผู้มีอำนาจ รัฏฐาธิปัตย์ระดับที่สามารถใช้คำว่า “Deep State” พร้อมทั้งรั้งเก้าอี้ตัวสำคัญคือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย อีกต่างหาก ซึ่งจากการตรวจสอบพบผู้ถูกกล่าวหากว่า 40 คนล้วนแล้วแต่เป็น “นายทหาร” แถมแต่ละคนก็มีตำแหน่งแห่งหนที่ไม่ธรรมดา เรียกว่ามีตั้งแต่ระดับ “พลโท” ไปจนถึงระดับ “เจ้ากรม” กันเลยทีเดียว
ที่น่าสนใจก็คือ “กองทัพบก” เป็นหน่วยงานที่ “ซื้อเยอะ” แถม “ซื้อแพง” กว่าหน่วยงานอื่นๆ โดยเฉพาะ “กองทัพบก” ช่วง ปี 50-53 ที่ ครองแชมป์ ซื้อ GT200 มากที่สุด
เพราะฉะนั้นสังคมอดตั้งข้อสงสัยไม่ได้ว่า มีอะไรในกอไผ่หรือไม่ นี่ขนาดไม่มีชื่อ “ระดับบิ๊กๆ” เข้าไปมีเอี่ยว “ป.ป.ช.”ยุคที่ “บิ๊กกุ้ย” พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ถือธงนำ ยังทำท่าจะ “ล้มมวย” เสมือนหนึ่งต้องการ “ตัดไฟแต่ต้นลม” เสียแต่เนิ่นๆ ก็ไม่รู้ได้
ที่สำคัญคือ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ป.ป.ช.ก็ทำตัวเป็น “จ่าเฉย” มานานกับกรณีนี้ หลัง สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ส่งเรื่องให้ตั้งแต่ปี 2554 แต่กลับไม่ได้กระดิกทำอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอัน
อย่างไรก็ดี ต้องบอกว่า กรณี GT200 เป็นคดีทุจริตที่สังคมเฝ้าจับตาอย่างต่อเนื่อง เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ในทางวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่เป็นเรื่องความเชื่อหรือใช้ “ความรู้สึก” ในการตัดสินคดี ดังที่หนึ่งกรรมการ ป.ป.ช.นำมากล่าวอ้างแบบฟังไม่ขึ้น
และเหนือสิ่งอื่นใดคือ เป็นสิ่งที่ท้าทายต่อมจริยธรรมของ “รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ที่ชูธงเรื่องความโปร่งใสมาเป็นจุดขาย กระทั่ง นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน ที่เพิ่งจะให้คะแนน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เรื่องความจริงใจในการปราบปรามทุจริตเต็มร้อยว่าสุดท้ายแล้วเรื่องนี้ “จะมีใครรับผิดชอบหรือไม่” และ “ป.ป.ช.” จะมีบทสรุปและคำตอบสำหรับคดีที่เป็นมหากาพย์คดีนี้อย่างไร
โปรดอย่าปล่อยให้ “ไม้ล้างป่าช้า GT200” กลายเป็น “วัตถุมงคล” ไปง่ายๆ จนเสียรูปคดี และทำให้ “ศรัทธาอยู่เหนือศาสตรา” เหมือนดังวลีฮิตในภาพยนตร์ “ขุนพันธ์ 2” เลยนะขอรับเจ้านาย.