"ฝั่งขวาเจ้าพระยา"
"โชกุน"
ศาลฏีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาด้วยเสียงข้างมาก ยกฟ้อง นายทักษิณ ชินวัตร คดีที่ ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดมาตรา 157 กรณีอนุมัติให้ กระทรวงการคลัง เข้าฟื้นฟูกิจการ บริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) หรือทีพีไอ เนื่องจากเป็นความยินยอมของธนาคาร เจ้าหนี้ ลูกหนี้ สหภาพแรงงาน และเป็นไปตามคำสั่งของศาลล้มละลายกลาง จึงไม่ได้มีเจตนาที่จะแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตนเอง
หลังจาก พระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วย วิธีพิจารณาความของศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง พ.ศ 2560 มีผลบังคับใช้ เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว คดีนี้ นับเป็นคดีแรก ที่มีการรื้อฟื้นคดีขึ้นมาฟ้องเอาผิดนายทักษิณใหม่ เคมิและศาลมีคำพิพากษาออกมาคือ ยกฟ้องนายทักษิณ
กฎหมายวิธีพิจารณาคดีความอาญาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญา ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ฉบับใหม่นี้ ศาลพิจารณาคดีลับหลังจำเลยได้ เพื่ออุดช่องโหว่ ที่จำเลย หลบหนีคดี ไม่มาศาล ศาลต้องยุติการดำนเนินคดีไว้ก่อน จนกว่า จะนำตัวจำเลยมาขึ้นศาล หลายๆคดีที่ทักษิณ เป็นจำเลย จึงถูกจำหน่ายออกจากสารบบชั่วคราว ในคดีที่มีจำเลยร่วมหลายคน การพิจารณาคดีในส่วนของทักษิณคนเดียว ต้องยุติไว้ก่อน
คดีทีพีไอ นี้ แม้นายทักษิณ จะไม่มาศาล และไม่ได้ตั้งทนายต่อสู้คดี คงมีแต่พยานหลักฐานของฝ่ายโจทก์ ฝ่ายเดียว แต่องค์คณะผู้พิพากษา เสียงข้างมาก ก็ยังเห็นว่า ข้อกล่าวหาที่โจทก์ฟ้อง ยังไกลเกินกว่าเหตุ ไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอรับฟังได้ว่า จำเลยกระทำผิดตามมาตรา 157 ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือโดยทุจริต
แม้ว่า โจทก์ ยังมีสิทธิยื่นอุทธรณ์ ได้ภายใน 30 วัน แต่ต้องมีพยานหลักฐานใหม่ ซึ่งในชั้นต้นนี้ โอกาสที่จะพลิกกลับ คำพิพากษาให้เป็นอื่น เป็นไปได้ยาก ความพยายามในการทวงคืนทีพีไอ ของผู้ถือหุ้นเดิม คือ นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ จึงกล่าวได้ว่า ปิดฉาก จบหน้าสุดท้ายไปโดยบริยาย
นอกจากนี้ ยังทำให้ ความเสี่ยงที่จะเกิดเรื่องวุ่นๆ หากศาลตัดสินว่า ทักษิณผิดแล้ว นายประชัย จะใช้สิทธิทวงหุ้น ทีพีไอ ซึ่งแปลงร่างเป็นไออาร์พีซี คืน โดยอ้างว่า เป็นการฟื้นฟูกิจการโดยมิชอบ ทีทีหมดไป
กรณีทีพีไอ เป็นหนังเรื่องยาว อันสืบเนื่องมาจากวิกฤตต้มยำกุ้ง ปี 2540 ที่ลูกหนี้กับเจ้าหนี้ต่อสู้กันอย่างดุเดือด ไม่มีใครยออมใคร
ทีพีไอ เป็นอุตสาหกรรมปิโตรเคมีครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดของไทยและของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เกิดขึ้นจากมันสมอง ของ ประชัย เลี่ยวไพรัตน์และพี่น้อง ที่มีวิสัยทัศน์ยาวไกลชัดเจน ในการสร้างอาณาจักรปิโตรเคมีคัล
แต่วิกฤติการณ์ต้มยำกุ้ง เมื่อ พ.ศ. 2540 ทำให้หนี้ต่างประเทศของทีพีไอ ที่กู้มาขยายอาณาจักร เพิ่มจาก 7 หมื่นล้านบาท เกือบ 2 เท่า กลายเป็น 133,000 กว่าล้านบาท เพราะค่าเงินบาทที่ลดลงกว่า 80 %เคมื
ทีพีไอ มีเจ้าหนี้ทั้งในและต่างประเทศรวมกันประมาณ 150 ราย ธนาคารกรุงเทพเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ ทั้ง ในฐานะผู้ให้กู้เอง และผู้ค้ำประกัน ส่วนเจ้าหนี้ต่างประเทศ ล้วนเป็นสถาบันการเงินระดับโลก เช่น ไอเอฟซี หรือบรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นกิจการของธนาคารโลก ธนาคารเพื่อการนำเข้าและส่งออกของ สหรัฐฯ แบงก์ ออฟอเมริกา และซิตี้แบงก์ เป็นต้น
การที่มีลูกหนี้ร้อยกว่าราย มีมูลหนี้แสนกว่าล้านบาท ทำให้การเจรจาประนอมหนี้ เป็นไปด้วยความยากลำบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ ต่างปกป้องผลประโยชน์ของตนเองอย่างสุดฤทธิ์ ไม่มีใครยอมใคร ฝ่ายเจ้าหนี้ ไม่ไว้ใจลูกหนี้ ฝ่ายลูกหนี้ กล่าวหาว่า เจ้าหนี้ มีเจตนาฮุบกิจการที่ตัวเองใช้เวลา 20 ปี สร้างขึ้นมา จึงไม่ยอมผ่อนปรน ลดหนี้บางส่วนให้ ตามหลักการเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ ยืนกรานจะเอาหนี้คืนทุกบาททุกสตางค์ เพื่อบีบให้ลูกหนี้ต้องขายทรัพย์สิน ที่เป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจ มาชำระหนี้
แม้ว่า จะมีการทำแผนฟื้นฟูกิจการ ที่ศาลล้มละลายเห็นชอบแล้ว มีการตั้งผู้บริหารแผน จากฝ่ายเจ้าหนี้ แต่การฟื้นฟูกิจการเต็มไปด้วยอุปสรร ค เพราะเจ้าหนี้กับลุกหนี้ ทะเลาะกันไม่เลิก
ในที่สุด รัฐบาลไทยรักไทย ที่ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ต้องเข้ามาแทรกแซง โดยกระทรวงการคลัง ส่งผู้บริหารแผนฟื้นฟู ที่มีพลเอกมงคล อัมพรพิสิฎฐ์ เป็นประธานเข้ามาบริหารทีพีไอ เพราะเกรงว่า หากไม่แก้ไขปัญหาโดยเร็ว นอกจากจะส่งผลต่อ ความเชื่อมั่นของต่างชาติแล้ว ยังอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของสถาบันการเงินในประเทศ ที่เป็นเจ้าหนี้ทีพีไอ ในขณะนั้นด้วย
การฟื้นฟุกิจการภายใต้ผู้บริหารแผนที่กระทรวงการคลังส่งเข้ามา เป็นไปตามสูตร คือ ลดและยืดหนี้ ขายทรัพย์สินบางส่วน ลดทุน เพิ่มทุน จนสามารถขำระหนี้ได้หมด และทีพีไอ ก็กลายเป็นไออาร์พีซี ซึ่งมี ปตท. ถือหุ้นใหญ่ 48 %
แต่นายประชัย ลูกหนี้มองง่า นีคือการที่ระบอบทักษิณเข้ามาฮุบกิจการ ที่ตนกับครอบครัวเป็นผู้สร้างมา จึงอาศัยช่องทาง ร้องเรียน ของความเป็นธรรม ต่อ คณะกรรมมาธิการปกครอง วุฒิสภา เมื่อ พ.ศ..2547 ซึ่งหลังจากนั้น ส่งเรื่องต่อ ให้ ป.ป.ช. โดย คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดที่ นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ เป็นประธาน มีมติ ชี้มูลความผิด นายทักษิณ เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
กว่าคดีจะถึงศาล ต้องรอถึง 8 ปี เพราะอัยการติดใจในสำนวนการสอบสวนของ ป.ป.ช. ไม่ยอมสั่งฟ้อง จน ป.ป.ช. ต้องฟ้องเอง โดยส่งฟ้องต่อศาลเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคมที่ผ่านมานี้เอง โดยใช้เวลาเพียง 3 เดือนเศษ ก็มีคำพิพากษาออกมา เพราะจำเลยไม่มาสู้คดี
อยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำอะไร ก็ชนะ เพราะศาลเห็นว่า พยานหลักฐาน ของ ป.ป.ช. ไม่เพียงพอ รับฟังไม่ได้