xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ชิงดำ “โรงไฟฟ้าขยะกทม.” TPIPP มาแล้ว -เจ้าพ่อ “สะสมทรัพย์” ยังนิ่ง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

โรงไฟฟ้าขยะหนองแขม ซึ่งบริหารงานโดยบริษัท ซีแอนด์จี เอ็นไวรอนเมนทอล โปรเท็คชั่น (ประเทศไทย) จำกัด
ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - การเปิดประมูลโครงการโรงกำจัดขยะเพื่อผลิตไฟฟ้าของ กทม. เริ่มคึกคักขึ้นเรื่อยๆ ตามแผนลงทุนก่อสร้างเพิ่มเติมอีก 2 แห่ง ในพื้นที่หนองแขมกับอ่อนนุช รวมวงเงินประมาณ 20,000 ล้านบาท แยกเป็นค่าก่อสร้างแห่งละ 3,000 ล้านบาท ส่วนค่ากำจัดขยะแต่ละแห่ง คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 7,330 ล้านบาท เป็นงบผูกพันระยะยาวกว่า 20 ปี

แผนลงทุนดังกล่าวนี้ มีความคืบหน้าตามที่ นายวุฒิเลิศ มณีโรจน์ ผู้อำนวยการกองโรงงานกำจัดขยะมูลฝอย สำนักสิ่งแวดล้อมกรุงเทพมหานคร (กทม.) บอกว่า ขณะนี้โครงการก่อสร้างโรงกำจัดขยะไฟฟ้า 2 แห่ง ที่อ่อนนุชและหนองแขม ขนาดไม่น้อยกว่า 1,000 ตันต่อวัน ได้ผ่านความเห็นชอบจากกระทรวงมหาดไทยแล้ว อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภา กทม. จัดสรรงบประมาณค่าจ้างเอกชนบริหารจัดการโครงการ จากนั้นถึงจะดำเนินการจัดหาเอกชนตามขั้นตอน พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ 2556

รูปแบบการลงทุนจะเป็นลักษณะเดียวกับโรงเตาเผาขยะผลิตกระแสไฟฟ้าที่หนองแขม บนพื้นที่ 30 ไร่ ขนาด 300-500 ตันต่อวัน โดยเอกชนจะลงทุนก่อสร้างและบริหารจัดการโครงการระยะเวลา 20 ปี ได้รับผลตอบแทนที่ กทม.จ่ายเป็นค่ากำจัดขยะให้ตลอดอายุสัญญา 20 ปี จะใช้เวลาก่อสร้าง 3 ปี คาดว่าจะเริ่มสร้างตั้งแต่ปี 2562-2564

ปัจจุบันกรุงเทพมหานคร (กทม.) เมืองหลวงของประเทศไทย มีปริมาณขยะมูลฝอยเฉลี่ยที่ประมาณ 10,500 ตันต่อวัน ที่ผ่านมา ขยะจำนวนนี้ถูกส่งไปยังศูนย์กำจัดมูลฝอย จำนวน 3 แห่งใน กทม. แบ่งเป็น ศูนย์อ่อนนุช 4,000 ตัน ศูนย์หนองแขม 4,000 ตัน และศูนย์สายไหม 2,500 ตัน ซึ่งทั้งหมดถูกกำจัดหมดชนิดวันต่อวัน โดยในช่วงสองปีหลัง มูลฝอยส่วนหนึ่งจากศูนย์หนองแขม ได้เริ่มแบ่งเข้าสู่เตาเผาผลิตกระแสไฟฟ้าวันละกว่า 500 ตัน สามารถผลิตกระแสไฟฟ้า เพื่อส่งขายให้กับการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ได้กว่า 2 แสนยูนิตต่อวัน หรือเท่ากับ 7 เมกกะวัตต์

“โรงกำจัดขยะผลิตไฟฟ้าเพื่อสิ่งแวดล้อมหนองแขม” หนึ่งเดียวของ กทม.ในขณะนี้ ดำเนินการโดยบริษัท ซีแอนด์จี เอ็นไวรอนเมนทอล โปรเท็คชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ในลักษณะ Build-Operate-Transfer (BOT) ซึ่งเอกชนเป็นผู้ลงทุนและดำเนินงาน เมื่อหมดสัญญาจึงส่งมอบโรงกำจัดนี้ให้กับ กทม. ในส่วนของเตาเผาขยะบริษัทใช้เทคโนโลยีจากสวิตเซอร์แลนด์ เป็นเตาเผาแบบตะกรับที่ใช้อุณหภูมิในการเผาไหม้สูงถึงกว่า 1,000 องศาเซลเซียส ซึ่ง ซีแอนด์จี ยืนยันว่าไม่มีการปลดปล่อยมลพิษออกสู่ภายนอก

การเปิดประมูลโครงการโรงไฟฟ้าขยะใหม่ที่เพิ่มมาอีกสองแห่งนี้มาถูกจังหวะเวลาและคาดว่าจะเดินหน้าได้เร็ว เพราะได้รับการยกเว้นตามคำสั่งหัวหน้า คสช.และประกาศของกระทรวงมหาดไทย ไม่ต้องทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม หรือ EIA จะทำแค่รายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น หรือ IEE เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการส่งเสริมให้ท้องถิ่นหาผู้ลงทุนโรงกำจัดขยะที่สามารถผลิตไฟฟ้าไว้ใช้งานได้

เวลานี้ต้องเรียกว่า กทม.หัวกระไดไม่แห้ง เพราะเอกชนทั้งไทยและเทศ ต่างให้ความสนใจเข้ามาลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าขยะเป็นจำนวนมาก ทั้งจีน ญี่ปุ่น และยุโรป

ล่าสุด เอกชนผู้ผลิตไฟฟ้าจากขยะรายใหญ่ คือ ทีพีไอพีพี เตรียมตัวเข้าประมูลแข่งขันขอท้าชนกับบริษัท ซีแอนด์จี เอ็นไวรอนเมนทอล โปรเท็คชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ดำเนินการโครงการโรงไฟฟ้ากำจัดขยะเพื่อผลิตไฟฟ้าหนองแขมเจ้าเก่าที่ประกาศว่าพร้อมจะเข้าร่วมประมูลโรงกำจัดขยะเพื่อผลิตไฟฟ้าของ กทม.ทั้ง 2 แห่ง เช่นกัน และอาจรวมไปถึงคู่แข่งขันที่น่าเกรงขามซึ่งได้ชื่อว่าเป็น “เจ้าพ่อขยะกทม.” นั่นคือ บริษัท กลุ่ม 79 จำกัด ของตระกูล “สะสมทรัพย์” ผู้กว้างขวางแห่งเมืองนครปฐม ซึ่งรับจ้าง กทม.ขนขยะไปฝังกลบในเวลานี้อีกด้วย

ทีพีไอพีพี ไม่เพียงแต่จะเข้าประมูลโครงการโรงไฟฟ้าขยะของ กทม.เท่านั้น แต่ยังจะเข้าชิงดำโรงไฟฟ้าขยะโคราช อีกแห่งด้วย โดยเมื่อต้นเดือนส.ค.ที่ผ่านมา นายวรวิทย์ เลิศบุษศราคาม รองผู้จัดการใหญ่อาวุโสฝ่ายโรงงาน บมจ.ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ (TPIPP) ยืนยันว่าบริษัทอยู่ระหว่างเตรียมเข้ายื่นประมูลเพื่อผลิตไฟฟ้าจากพลังงานขยะของกรุงเทพฯ ทั้งสองโครงการ กำลังผลิตไฟฟ้าแห่งละ 20 เมกะวัตต์ และนครราชสีมา 1 โครงการ กำลังผลิตไฟฟ้า 10 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้ยื่นประมูลปีนี้ ทั้ง 3 โครงการ จะมีเม็ดเงินเงินลงทุนรวมประมาณ 10,000 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบในช่วงปลายปี 2563 แต่ต้องรอให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานขยะในรอบต่อไปก่อน
  ปองพล สะสมทรัพย์ แห่งบริษัท กลุ่ม 79 จำกัด (ขอบคุณภาพจากเว็บไซต์ ไทยพับลิก้า)
“เมื่อโรงขยะไฟฟ้าแล้วเสร็จ ใน 3 ปีข้างหน้า กทม.จะยกเลิกการฝังกลบ หากเอกชนรายเดิมทั้ง 2 ราย ไม่เข้าประมูลก็หมดสิทธิ์รับงานของ กทม.” ผอ.กองโรงงานกำจัดขยะมูลฝอย กทม. บอกเงื่อนไขเอาไว้ ทั้งนี้ บริษัทเอกชนที่ขนขยะกทม.ไปฝังกลบ หนึ่งนั้นคือ บริษัท ไพโรจน์สมพงษ์พาณิชย์ จำกัด รับขนขยะที่อ่อนนุช ไปกำจัดที่ อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา และอีกสองบริษัทอยู่ใต้ร่มธงตระกูลสะสมทรัพย์

สำหรับธุรกิจกำจัดขยะของตระกูลสะสมทรัพย์ เวลานี้ดำเนินการโดยนายปองพล สะสมทรัพย์ วิศวกรโครงการและทายาทรุ่นที่ 3 ของบริษัทกลุ่ม 79 จำกัด ซึ่งได้รับการว่าจ้างจาก กทม.ให้รับขยะไปกำจัดมาอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า 20 ปี จนกลายเป็น “เจ้าพ่อขยะกรุงเทพฯ”

เว็บไซต์ ไทยพับลิก้า ที่สัมภาษณ์ “ปองพล สะสมทรัพย์” ทายาทรุ่น 3 “กลุ่ม 79” เจ้าพ่อขยะกรุงเทพฯ เล่าเรื่องขยะ ที่มากกว่าขยะ ก่อนหน้านี้ รายงานว่า กลุ่ม 79 เข้าร่วมประมูลขยะ กทม. มาตั้งแต่ยุคแรกๆ จนวันนี้เรามีบริษัทในเครือที่รับกำจัดขยะเหมือนกันคือ บริษัทวัสดุภัณฑ์ธุรกิจ ซึ่ง กทม. มีสถานีขนถ่ายขยะ 3 แห่ง คือ หนองแขม รับขยะเขตฝั่งธนฯ, ท่าแร้ง รับขยะด้านเหนือของ กทม. และอ่อนนุช รับขยะด้านตะวันออกของ กทม. และให้บริษัทเอกชนมาแข่งประมูลขยะจากสถานีแต่ละแห่ง

สถานีหนองแขม บริษัทกลุ่ม 79 จำกัด ชนะการประมูล ซึ่งได้มาตั้งแต่เปิดบริษัทแรกๆ จนถึงปัจจุบัน แต่มีบางช่วงที่บริษัทอื่นได้รับสัปทานไปบ้าง ส่วนบริษัทวัสดุภัณฑ์ รับขยะที่สถานีท่าแร้ง สำหรับอ่อนนุชผู้ที่ประมูลได้คือบริษัทไพโรจน์สมพงษ์ ด้วยวิธีการฝังกลบ และขยะที่ขนมาต้องฝังกลบทันทีโดยไม่มีการคัดแยก อีกทั้งขยะห้ามค้างที่สถานีขนถ่าย มิฉะนั้นบริษัทจะถูกปรับร้อยละ 0.1 ของสัญญา ซึ่งสัญญาหนึ่งมีมูลค่าประมาณ 3,050 ล้านบาทในระยะเวลา 10 ปี ต้องกำจัดขยะรวมกว่า 7 ล้านตัน

ในภาพรวมปริมาณขยะจาก กทม. นำมากำจัดที่นครปฐม ประมาณร้อยละ 50-60 ของขยะทั้งหมดใน กทม.ประมาณ 10,000 ตัน โดยบริษัทกลุ่ม 79 รับจากสถานีขนถ่ายขยะหนองแขมประมาณ 3,000 ตัน บริษัทวัสดุภัณฑ์ธุรกิจ รับจากสถานีขนถ่ายขยะท่าแร้ง 2,000 ตัน รวมเป็น 5,000 ตัน

นายปองพล เล่าว่า ในช่วงแรกๆ บริษัทกลุ่ม 79 ได้ว่าจ้างต่างชาติมาทำงาน ล้มลุกคลุกคลานจนกระทั่งเวลานี้บริษัทได้รับมาตรฐานสิ่งแวดล้อม ISO 14001 จากที่มีที่ดินฝังกลบขยะเพียง 80-90 ไร่ ถึงวันนี้มีที่ดินกว่า 2,000 ไร่ ปัจจุบันกลุ่ม 79 ได้สัมปทานกำจัดขยะให้ กทม. เป็นเวลา 5 ปี ต้องกำจัดขยะ 1,700 ตันต่อวัน ทำสัญญาเมื่อปี 2557 ประมูลราคาที่ประมาณ 600 บาทต่อตัน ส่วนบริษัท วัสดุภัณฑ์ธุรกิจ จำกัด ทำสัญญาปี 2558 ระยะเวลา 10 ปี ต้องกำจัดขยะ 2,000 ตันต่อวัน โดยประมูลราคา 800 บาทต่อตัน

ทายาทของตระกูลสะสมทรัพย์ เคยเข้าชิมลางโดยคิดทำโครงการผลิตไฟฟ้าจากขยะ ในช่วงรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่ประกาศนโยบายสนับสนุนพลังงานทดแทนในไทย 400 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องกันกับที่รื้อบ่อขยะเก่ามาใช้ใหม่ โดยจะนำขยะที่ร่อนดินออกแล้วมาเผาทำ RDF แล้วขอรับเงินสนับสนุนหรือแอดเดอร์จากรัฐบาลที่จะให้ 7 ปี แต่ต่อมารัฐบาลยกเลิกระบบแอดเดอร์มาเป็นฟีดอินทาริฟ (Feed in Tariff)

“ในวันที่เดินเรื่องนี้เรายังไม่รู้ว่าโครงการโรงไฟฟ้าจะถูกปฏิเสธ .... บริษัทได้ลงทุนร่วมกับโตโยต้าจากญี่ปุ่น ซึ่งมาดูงานกันระดับหนึ่งที่พร้อมจะเซ็น MOU แล้ว ประสานงานว่าจ้างบริษัทออกแบบเตาเผาและเสียค่าออกแบบและค่าปรึกษาไป 40-50 ล้านบาทแล้ว สุดท้ายโครงการก็ถูกปฏิเสธ ทำให้ ณ วันนี้โครงการเสี่ยงที่จะไม่คุ้มทุนถ้าใช้ระบบฟีดอินทาริฟ....” นายปองพล กล่าว และจะด้วยเหตุผลนี้หรือไม่ที่ทำให้ทายาทรุ่นสามของ "บ้านใหญ่แห่งนครปฐม" ยังคงนิ่งๆ

ขณะที่ธุรกิจโรงไฟฟ้าขยะดูเหมือนจะ wait and see แต่สำหรับทางการเมืองนั้น ตระกูลสะสมทรัพย์ ชัดเจนในเป้าหมายแล้ว โดยเมื่อเดือนเม.ย. 2561 ที่ผ่านมา ด้วยว่าได้มีโอกาสต้อนรับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ควงเพื่อนเลิฟ “บิ๊กฉัตร” พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ ไปเป็นแขกวีไอพีตีกอล์ฟที่สนามกอล์ฟนิกันติ ต.ธรรมศาลา อ.เมืองนครปฐม จ.นครปฐม ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่า สนามนี้เป็นของ “ตระกูลสะสมทรัพย์” หรือที่พรรคเพื่อไทยเรียกกันว่า “บ้านใหญ่ภาคกลาง” หลังตีกอล์ฟเสร็จก็ปรากฏภาพถ่ายของ“บิ๊กตู่” -“บิ๊กฉัตร” พร้อมกับ 4 พี่น้องสะสมทรัพย์

กระแสข่าว “บิ๊กดีล” พลังดูด ที่น่าจับตาว่ามาพร้อมพรักทั้งอำนาจการเมืองและผลประโยชน์ทางธุรกิจหรือไม่ อีกไม่นานคงชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ด้วยว่าเวลานี้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ประกาศชัดเจนแล้วว่าเลือกตั้งเร็วสุดวันที่ 24 ก.พ. 2562




กำลังโหลดความคิดเห็น