xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“พ่อ-ลูกวงศ์สวัสดิ์” คั่วหัวหน้าพรรคเพื่อไทย “หม่อมเต่า” ตัวเลือกที่ดีที่สุดของ “พรรคสุเทพ”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สุเทพ เทือกสุบรรณ (ภาพบน), หม่อมเต่า-ม.ร.ว.จตุมงคล โสณกุล (ภาพล่าง)
ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ความเป็นไปของการเมืองไทยหลังจากนี้ ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง บทวิเคราะห์ของ “เดอะมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ที่ระบุว่า การเมืองไทยกำลังเข้าสู่ยุค “สามก๊ก”

แบ่งเป็น “ก๊กที่ 1” คือ พรรคการเมืองที่อิงอยู่กับตัว ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ หรือมีแนวทางคล้ายคลึงกับ “ระบอบทักษิณ” แน่นอนว่าหนีไม่พ้น “พรรคเพื่อไทย” สาขาหลักของระบอบนี้ หรืออาจหมายรวมไปถึง “พรรคอนาคตใหม่” ของ “เสี่ยเอก” ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ด้วย

“ก๊กที่ 2” คือ พรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นมาหรือแสดงท่าที่ว่าพร้อมจะสนับสนุน “ผู้มีอำนาจ” ในปัจจุบัน อันหมายถึง “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แห่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อยู่ในอำนาจต่อ ไม่ว่าเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล หรือนายกฯอีกสมัย ก๊กนี้เอาเข้าจริงมีแตกฉานซ่านเซ็นไปหลายกลุ่มหลายก๊วน

ที่โดดเด่นคงเป็น “พรรคพลังประชารัฐ” (พปชร.) และ “พรรครวมพลังประชาชาติไทย” (รปช.) รวมไปถึง “กลุ่มสามมิตร” ที่เคลื่อนไหวอย่างหนักหน่วงในช่วงหลัง

และ “ก๊กที่ 3” คือ “พรรคประชาธิปัตย์” ที่ “จารย์มาร์ค” เคลมไว้ว่า เป็นทางเลือกอีกทางหนึ่ง ที่ต่อสู้กับ “ระบอบทักษิณ” มาตลอด และยืนยันที่จะต่อสู้อยู่ ขณะเดียวกันแนวทางของ คสช.หรือรัฐบาลปัจจุบันหลายอย่างก็ไม่สอดคล้องกับแนวคิดของประชาธิปัตย์

แต่หากถาม “คอการเมือง” เชื่อว่าส่วนใหญ่คงเห็นด้วยกับ 2 ก๊กแรก โดยมองว่าการเลือกตั้งหนหน้า จะเป็นการช่วงชิงอำนาจกันระหว่าง 2 ขั้วการเมือง คือ ขั้วแรก “เอาทหาร - ไม่เอาทักษิณ” ขณะที่อีกขั้วก็ “ไม่เอาทหาร- เอาทักษิณ” มากกว่า

เพราะต้องยอมรับความเป็นจริงว่าราคาค่างวดของ “ประชาธิปัตย์” ตกลงไปมาก แม้จะมีฐานเสียงยืนพื้นในแดนปักษ์ใต้ แต่ก็พิสูจน์ให้เห็นหลายต่อหลายครั้งแล้วว่า ไม่เพียงพอที่จะเป็น “แกนนำตั้งรัฐบาล” โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อขาดกำลังหลักอย่าง “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่สยายปีกออกมาทำ พรรครวมพลังประชาชาติไทย และปวารณาตัวเป็น “นั่งร้านทหาร” ด้วยแล้ว

สถานะของ “ค่ายสีฟ้า” ในตอนนี้ จึงถูกลดชั้นจาก “มวยหลัก” มาเป็น “ตัวแปร” ที่พร้อมจะสวิงไปข้างใดข้างหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น “นั่งร้านพรรคทหาร” หรืออาจมี “เงื่อนไขพิเศษ” จำใจต้องกลืนเลือดไปจูบปากกับ “พรรคทักษิณ” ด้วยซ้ำ

ราคาค่างวดของพรรคประชาธิปัตย์ จึงน่าจะเป็นแค่ “กั๊ก” ไม่ถึงขนาด “ก๊ก” อย่างที่ “จารย์มาร์ค” พิเคราะห์ไว้

“ทักษิณ” สั่นสู้กลางกระแสข่าวทิ้งไพ่หมอบ
สอดรับกับสปอตไลท์ทางการเมืองที่สาดส่องไปที่ความเคลื่อนไหวของ 2 ก๊กแรกเป็นหลัก ทางหนึ่งก็จับตาความเคลื่อนไหวของ “พรรคทักษิณ” ในฐานะผู้ถูกยึดอำนาจจากอ้อมอก อีกทั้งยังตกเป็นฝ่ายถูกไล่ล่ามาตลอด 4 ปีกว่าในยุคของ คสช. ทั้งจากคดีความ หรือแรงกดดันถึงธุรกรรมการค้าต่างๆ ได้รับผลกระทบกันถ้วนทั่วตั้งแต่หัวยันหาง

ทั้งคดีเก่าดีกดำบรรพ์ของ “ทักษิณ” ทั้งที่ตัดสินจำคุก 2 ปีในคดีที่ดินรัชดา รวมทั้งที่ถูกรื้อค้นออกมาตามกฎหมายใหม่ จนสะสมแต้มเป็นหมายจับใบที่ 5 เข้าให้แล้ว

หรือ “น้องปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ น้องสาว ผู้ต้องหนีโทษจำคุกตามรอยพี่ชาย ที่หลบใช้ชีวิตดีดีย์อยู่ในมหานครลอนดอน ก็ยังถูกสถานะ “ผู้ร้ายข้ามแดน” ตามไปหลอน จนต้องเผ่นออกจากเกาะอังกฤษแทบไม่ทัน อีกทั้งยังมี “ตัวประกัน” อย่าง “ลูกโอ๊ค” พานทองแท้ ชินวัตร ที่คอกำลังพาดเขียงกับคดีฟอกเงินกรุงไทย ที่ไม่เกินสิ้นปีนี้คงได้เห็นหน้าเห็นหลัง

เรียกโดนนวดจนน่วมทั้งตระกูล จนมีข่าวหนาหูว่า “นายใหญ่” เลือกจะทิ้งไพ่หมอบไปก่อนหน้านี้แล้ว

ด้วยประเมินสถานการณ์ในยามที่ “ขุนทหาร” กุมความได้เปรียบไว้อย่างเบ็ดเสร็จ ขืนไปตั้งป้อมสู้อาจจะได้ไม่คุ้มเสีย ดังที่ “ผู้สันทัดกรณี” วิเคราะห์มาตลอด หลังรัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้ว่า “เพื่อไทยชนะก็ไม่ได้ตั้งรัฐบาล”

อย่างไรก็ตามในฐานะ “ศูนย์รวมใจของพรรค” ครั้นจะไปทิ้งไพ่หมอบดื้อๆ ก็เสียยี่ห้อ “นายใหญ่ดูไบ” หมด ล่าสุดตามคิวที่ควงแขวน “น้องปู” มาโซ้ยติ่มซำที่เกาะฮ่องกง ก็เลยต้องทำ “ใจดีสู้เสือ” ปลุกใจลิ่วล้อ-สาวก ด้วยการประกาศ “ไม่ยอมแพ้” โดยระบุว่า
  เอนก เหล่าธรรมทัศน์

  สมชาย วงศ์สวัสดิ์

  เจ๊แดง-เยาวภา กับลูกชาย - ผศ.ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์

“อยากบอกทุกคนว่า ถ้าเราไม่ยอมแพ้ คำว่าแพ้มีได้ 2 กรณี คือ 1. แพ้เพราะตาย กับ 2. แพ้เพราะยอมไปเอง ถ้าเรายังสู้อยู่ เราก็จะไม่แพ้ นั่นก็คือมีแต่แบตเทิล ไม่มีวอร์ วอร์มันจะเอนด์ต่อเมื่อทุกอย่างมันจบ แต่สู้กันกี่ยกๆ นี่คือแบตเทิล ซึ่งวอร์ยังไม่จบ เรายังต้องทำต่อไป

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือวอร์เพื่อประชาธิปไตย ผมอายุ 69 ปีแล้ว สิ่งที่อยากเห็นคืออยากเห็นประเทศไทยกลับมารุ่งเรืองใหม่ และที่สำคัญคืออยากเห็นศักดิ์ศรีกลับมาสู่คนไทยทุกคน เพราะวันนี้เราถูกลดด้อยศักดิ์ศรีลงไปเยอะ

เราเคยอยู่กับระบอบประชาธิปไตยที่ทุกคนมีศักดิ์ศรี มีสิทธิเสรีภาพเท่ากัน แต่วันนี้เราถูกปกครองโดยใครก็ไม่รู้ ที่จู่ๆ ก็ถือปืนมาปกครองกดขี่พวกเรา เป็นสิ่งที่พวกเรารับไม่ได้ ถึงวันเลือกตั้งเมื่อไหร่จะเป็นวันที่ประชาชนตัดสินว่าผมพูดจริงหรือเปล่า ขอให้ทุกท่านมีกำลังใจเพราะเรายังจะต้องประกอบอาชีพกันต่อไป ไลฟ์มัสต์โกออน”

คือคำประกาศล่าสุดของ “ทักษิณ” ที่สอดรับกับข่าวที่ระบุว่า กำหนดการมาปักหลักที่ “เกาะฮ่องกง” หนนี้นั้น มีนัดหมายกับ “ระดับแกนนำ” เพื่อเคาะยุทธศาสตร์ของ “พรรคเพื่อไทย” ตามคิวที่เดือนหน้า ก.ย.นี้ คสช. กำลังจะกดปุ่ม “ปลดล็อกการเมือง”เท่ากับว่า พรรคการเมืองต่างๆ จะเริ่มขยับเคลื่อนไหวเตรียมตัวเข้าสู่สนามเลือกตั้งในปี 2562

โดยจะมีการตกผลึกคุยกันให้ชัดว่า “สู้ไม่สู้” เพราะที่ผ่านมาแม้ “ทักษิณ” จะส่งสัญญาณตีธงสู้ แต่ก็สวนทางกับ “ท่อน้ำเลี้ยง” ที่ยังตีบตันผิดกับแรงดูดของ “น้ำเลี้ยงสีเขียว” ที่ดูดอดีตผู้แทนฯของพรรคอย่างสนุกสนาน

“พ่อ-ลูกวงศ์สวัสดิ์” คั่วหัวหน้าพรรคเพื่อไทย
นอกจากความคุลมเครือเรื่องท่อน้ำเลี้ยงแล้ว อีกเรื่องที่ลูกพรรคเรียกร้องกันมานาน ก็คือตัว “หัวหน้าพรรคคนใหม่” ที่ว่ากันว่าจะมีการพูดคุยกันแน่นอนที่เกาะฮ่องกง

ตามข่าวระบุว่า นอกจากอดีต ส.ส.ของพรรคหลายสิบชีวิตแล้ว ยังมีแกนนำระดับสูงของพรรคเพื่อไทย เตรียมที่จะไปพบ “ทักษิณ” ที่เกาะฮ่องกงกันอย่างพร้อมหน้า โดยเฉพาะคนที่มีชื่อเป็นแคนดิเดตหัวหน้าพรรค ทั้ง “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ และ “เฮียเพ้ง” พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล

ที่น่าสนใจอีกรายก็ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่ปกติไม่นิยมการเดินทางด้วยเครื่องบิน ก็ยังจำใจไปพบ “นายใหญ่” อีกครั้ง หลังจากเพิ่งไปชนแก้วไวน์กันที่สิงคโปร์เมื่อไม่กี่เดือนก่อน น่าสนใจว่า “สารวัตรเหลิม” ได้ชื่อว่าเป็นแกนหลักของขบวนการตีกัน “เจ๊หน่อย” ไม่ให้ขึ้นเป็นใหญ่ในพรรค

แถมระยะหลังก็มีการปล่อยข่าวออกมาเนืองๆถึงความเป็นไปได้ที่ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ เขยชินวัตร ดีกรีอดีตนายกฯ ผู้ไม่เคยเข้าทำเนียบฯ จะได้รับการโปรโมทให้เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่

อ่านไม่ยากว่า เป็นการใช้ดีกรีอดีตนายกฯที่คนทั้งพรรคเกรงใจ ค้ำไม่ให้ “เจ๊หน่อย” ฝันใหญ่สอยเก้าอี้หัวหน้าพรรคไปพลาง ก่อนที่ “นายใหญ่” จะใช้สิทธิ์ “เจ้าของพรรค” เคาะผู้นำคนใหม่ที่ “ล็อกสเปก” ไว้แล้วว่า หนึ่งต้องเป็น “คนรุ่นใหม่”และสองต้องเป็นทายาทสายตรง “ชินวัตร” หรือจะพูดให้ถูกต้องห้อยท้ายด้วยนามสกุล หรือ มีสายเลือด “ชินวัตร” เท่านั้น

เท่ากับว่าประตูครึ่งบานยังเปิดสำหรับ “สมชาย” แต่ปิดตายสำหรับรายของ “สุดารัตน์”

หากใช้ “สมชาย” จริง ก็ถือว่าไม่น่าเกลียด เพราะเป็นที่เคารพของคนในพรรคอยู่แล้ว แต่เมื่อมองอนาคตของเกมต่อสู้ช่วงชิงอำนาจที่น่าจะยืดเยื้อ ห้ำหั่นกันอีกหลายยก ก็เลยมีการจุดไอเดียส่ง “มวยสดกว่า”ลงสนาม แต่ต้องเป็นมวยตามสเปกที่ล็อกเอาไว้

ตามเทรนท์ใหม่ ที่ “ทักษิณ” กำลังใช้หลักสูตร “The NEXT Real” ของมหาวิทยาลัยชินวัตร มหาวิทยาลัยเอกชน ธุรกิจในเครือของ “ทักษิณ” ก่อร่างสร้างตัวกองกำลังคนรุ่นใหม่ของ “ระบอบทักษิณ”อยู่ในขณะนี้

เมื่อ “คนรุ่นใหม่” คือโจทย์สำคัญ ชื่อของ “สมชาย” ก็อาจจะไม่ตอบโจทย์เท่าไร ทำให้ชื่อที่มาแรงในช่วงหลังยกให้ “อาจารย์เชน” ผศ.ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ ลูกชายหัวแก้วของ “สมชาย” กับ “เจ๊แดง”เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ด้วยโปรไฟล์หรู เป็นนักวิชาการระดับผู้ช่วยศาสตรจารย์ เป็นอาจารย์ ม.มหิดล มีประสบการณ์ด้านธุรกิจของครอบครัว และเคยลงเลือกตั้งเมื่อปี 2557 มาแล้ว

งานนี้มีลุ้นแค่ว่า จะเป็น “พ่อ” หรือ “ลูก” มากกว่า “สุดารัตน์” ที่หลุดวงโคจรไปเรียบร้อยแล้ว

“หม่อมเต่า” ตัวเลือกที่ดีที่สุดของ “พรรคสุเทพ”
หันมาดูอีกฟากฝั่ง ความเคลื่อนไหวของ “ก๊กนั่งร้าน คสช.” ที่รอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ต้องยกให้ พรรครวมพลังประชาชาติไทย ของ “กำนันเทือก” ที่มีการเลือกหัวหน้าพรรคคนแรกกันไปแล้ว ปรากฏว่าหวยไปออกที่ “หม่อมเต่า” ม.ร.ว. จตุมงคล โสณกุล อดีตผู้ว่าการแบงก์ชาติ กุมบังเหียนเป็นว่าที่หัวหน้าพรรค

หาใช่ “พ่อหนุ่มซินตึ๊ง” เอนก เหล่าธรรมทัศน์ เจ้าของทฤษฎีสองนคราประชาธิปไตย อันเอกอุ ที่คง “โลกสวย” หมกมุ่น “วาระปฏิรูป” มากไป จนกลายเป็นไม่ตรงสเปก “เจ้าของพรรค”

ต้องยอมรับว่า “หม่อมเต่า” เป้นตัวเลือกที่ดีที่สุดในเวลานี้ของ “พรรคสุเทพ”

เหมาะสมกว่า “เอนก" ในแง่ความเป็น “จุดขาย” ของพรรคการเมือง ด้วยความเป็นตัวของตัวเองสูง อีกทั้งยังมีวีรกรรมยอมหักไม่ยอมงอ ท้าไฝว้กับ ทักษิณ ชินวัตร จนต้องจำใจจากเก้าอี้ผู้ว่าฯแบงค์ชาติเมื่อ 10 กว่าปีก่อน

อีกทั้ง "หม่อมเต่า” ยังอาจตอบโจทย์เรื่อง “กระสุน” ที่มีเครื่องหมายคำถามของ “พรรคสุเทพ” อยู่

ด้วยชื่อเสียงของ “หม่อมเต่า” ที่ยังคงเข้มขลัง ได้รับความเกรงอกเกรงใจของ “ทุนเก่า” มากกว่า “เอนก" ที่ออกไปทางงานวิชาการ จนอาจจะ “กลุ่มทุน” เบือนหน้าหนี

ยิ่งไปกว่านั้นหลังมีการเปิดตัวพรรค รปช.ขึ้น ความชัดเจนในแง่ของ “พรรคสุเทพ” ตลอดจนเป้าหมายของพรรคชัดเจนขึ้นตามลำดับ คือ

หนึ่ง ต้องเป็นพรรคร่วมรัฐบาลเท่านั้น

และสองหวังใช้ฐานเสียงในพื้นที่ภาคใต้เพื่อเข้าป้ายเป็นที่ 2 สะสมเป็นคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ ไม่ได้ต้องการสร้างพรรคระดับใหญ่โตเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องโพนทะนาขายนโยบาย หรือใช้วาระปฏิรูปอะไรบังหน้า ความจำเป็นที่ต้องให้ “เอนก” มาถือธงนำก็น้อยลงไป

การแสดงความมั่นใจว่า ได้ร่วมรัฐบาลแน่ แง่หนึ่งเป็นจุดขายของพรรค เพราะเท่ากับการันตีในเรื่องงบประมาณพัฒนาพื้นที่ และสองตอกย้ำความเป็นตัวตนของ “สุเทพ” ที่ยังครอบงำพรรคอยู่

แม้ความเป็นตัวตนของ “หม่อมเต่า” อาจจะโดดเด่น แต่ก็ไม่สามารถสลัดคราบของ “พรรคสุเทพ” ไปได้ อย่างมากก็คงทำทำให้ภาพของ “พรรคสุเทพ-หุ่นเชิดสุเทพ” จางลงไปได้บ้างเท่านั้น

แล้ว “หม่อมเต่า” จะเป็น “กาวใจชั้นดี” ในยามที่อาจจะต้องกันกลับไปแตะมือกับพรรคประชาธิปัตย์ภายหลังการเลือกตั้งอีกด้วย

เป็นหลากหลายเหตุผลที่ว่า ทำไม “สุเทพ” ต้องเลือก “หม่อมเต่า”.




กำลังโหลดความคิดเห็น