ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - “...หลายคนอ้างผู้มีอิทธิพลในรัฐบาล สั่งโน้นสั่งนี้ ผมถาม จะสั่งได้อย่างไร ผมเป็นนายกฯ ยังไม่สั่งให้กระทรวงไหนเก็บเงินมาให้ มันสั่งได้เหรอ มันสั่งไม่ได้ อย่าไปเชื่อ ใครจะอ้างอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น จะเพื่อนผม จะสนิทสนม จะใครก็ไม่รู้หรือ แม้แต่คนในครอบครัวผม ก็ไม่ได้ มาขออะไรพิเศษไม่ได้ เพราะเรากำลังทำให้ประเทศและประชาชนของเรา...”
บางช่วงบางตอนของปาฐกถาโดย “นายกฯตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในโอกาสเปิดโครงการประชารัฐ สวัสดิการกับการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ที่อิมแพค เมืองทองธานี เมื่อวันก่อน
ไม่ต้องตีความให้วุ่น เจาะจงแก้ข่าว การเรียกรับ “ผลประโยชน์” ที่เกิดขึ้นใน “รัฐบาล คสช.” ตลอดจนบุคคลรอบข้างที่เป็นขี้ปากชาวบ้าน แล้วหลุดไปถึงหู “ท่านผู้นำ” อย่างแน่นอน
แต่ปัญหาคือ “นายกฯตู่” ออกตัว “แก้ข่าว” ให้ “ใคร” มากกว่า
ไม่ทราบว่าบังเอิญหรือตั้งใจ วันเดียวกับที่ “ลุงตู่” พูดในทำนองรัฐบาลนี้ไม่มีนอกมีในอะไรทั้งสิ้น ก็มีบทสัมภาษณ์ของคนสำคัญในรัฐบาล คสช.ออกมาสอดรับกันพอดิบพอดี
ตามคิวที่ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตอบคำถามที่นักข่าวถามไถ่สารทุกข์สุกดิบทั่วไป ประมาณว่า “ทำงานไม่เหนื่อย ทำยังไงก็ไม่มีเหนื่อย ตอบคำถามนักข่าวก็ไม่เหนื่อยตอบได้ทั้งวัน ถามได้ทุกเรื่อง จะตอบทุกเรื่อง โดยเฉพาะใครมาโจมตีผม หนักแค่ไหน ผมก็จะตอบ ขอให้เขียนให้ตรงเท่านั้น”
ก่อนโพล่งออกมาดื้อๆว่า “ผมไม่คอร์รัปชั่น” ทำเอากระจอกข่าวงงไม่น้อย ถามแค่เหนื่อยมั๊ย? แต่มาจบที่ “ผมไม่โกง” ซะงั้น
พานให้สงสัยไปว่า “ท่าน มท.1” คงจะอึดอัดอะไรบางประการ เพราะไม่บ่อยครั้งที่จะได้เห็นหรือได้ยิน “บิ๊กป๊อก” มาแบะท่าพร้อมเปิดใจกับสื่อขนาดนี้ ด้วยสไตล์ที่มักจะทำงาน “เงียบๆ” มาตั้งแต่สมัยเป็น ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ที่ดูจะเป็นคนมัธยัสถ์ประหยัดถ้อยคำ เลือกพูดเฉพาะประเด็นที่ต้องการสื่อสารเท่านั้น
ถือว่า “ผิดธรรมชาติ” ไม่น้อยที่คนระดับ “นายพลใหญ่” ถึงกับต้องออกมาร้องโอดโอยผ่านสื่อเช่นนี้
อีกทั้งไม่กี่วันก่อน “มท.ป๊อก” ก็เพิ่งให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับ “วาระแห่งชาติ” ว่าด้วย “การบริหารจัดการขยะ” วงเงินงบประมามณนับ “แสนล้านบาท” ที่กระทรวงมหาดไทยเป็น “เจ้าภาพหลัก” มาครั้งแล้วว่า “ที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันว่ากระทรวงมหาดไทยรวบอำนาจในการสั่งจัดการปัญหาขยะ ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วเป็นแค่นโยบาย และให้ระดับพื้นที่เป็นผู้ดำเนินการเอง ซึ่งเรื่องดังกล่าวไม่รู้กันเลยหรือว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ดำเนินการมาตลอด เพียงแต่เราได้แนะนำไปว่าควรจัดเป็นกลุ่มๆ เนื่องจากในบางพื้นที่ บางองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ปริมาณขยะในแต่ละวันอาจจะมีไม่มาก จึงให้ไปรวมกับ อบต.ใกล้เคียง เพราะการกำจัดขยะในแต่ละวันที่จะต้องเข้าระบบมีวันละไม่ต่ำกว่า 300 ตัน ซึ่งในบาง อบต.ปริมาณขยะมีจำนวนไม่มาก จึงไม่ควรจะเก็บไว้ควรร่วมกับ อบต.ใกล้เคียงในการนำไปกำจัดร่วมกัน เพื่อไม่ให้ต้องมีการเคลื่อนย้ายขยะไปไกล”
ครั้งนั้น “น้องตู่” ก็ออกมาเป็น “ลูกคู่” พูดถึงเรื่องเดียวกันในวันเดียวไว้ว่า “เรื่องขยะถือมีความสำคัญที่สุด เดิมมีกฎหมายอยู่แล้ว เพียงแต่ทุกคนไม่ต้องการขยะในพื้นที่ตัวเอง เราไปบังคับไม่ได้ เขาก็อ้างว่า ไม่มีกฎหมายที่จะทำให้สามารถจัดการขยะได้ จึงต้องมีมาตรา 44 เรื่องผังเมือง ซึ่งไม่ใช่ปลดล็อกเพื่อให้ใครหรือเจ้าใดเจ้าหนึ่งมาทำ ก็ต้องไปหาคนมาทำ ไม่เช่นนั้นก็ดำเนินการไม่ได้ เพราะพื้นที่นั้นห้ามมีของเสีย แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องตอบคำถามเรื่องการแก้ปัญหาสังคมและขยะได้ หน้าที่นี้เป็นของท้องถิ่น ซึ่งมีสถานะเป็นนิติบุคคล กระทรวงมหาดไทยก็สั่งไม่ได้ เพียงแต่กำกับดูแลให้ท้องถิ่นทำตามนั้น โดยที่ไม่มีการเคลื่อนย้ายขยะที่เรี่ยราดอยู่ในวันนี้ โดยขยะในบ้างพื้นที่ เช่นที่ ระยองขยะบางส่วนต้องขนไปทิ้งที่สระบุรี นั่นคือ เหตุผลที่ออกมาตรา 44 เพื่อปลดล็อกเรื่องผังเมือง ให้สามารถทำโรงงานขยะได้ แต่การจะเอาขยะไปฝังกลบหรือเอาไปทำเป็นปุ๋ยหรือพลังงานก็มีกฎหมายของกระทรวงพลังงานอยู่ว่า ท้องถิ่นสามารถทำเองได้หรือไม่ หรือจะร่วมกับใครได้หรือไม่ ขอให้ดูให้ลึกซึ้งหน่อยก็แล้วกัน ถ้าเราวิเคราะห์วิพากษ์วิจารณ์กันแบบเดิม มันก็กลับไปที่เก่า กลายเป็นว่า เอาประโยชน์ไปเอื้อใคร มหาดไทยเขาจะได้ประโยชน์ตรงไหน ในเมื่อเขาเพียงกำกับดูแล ไม่ได้เป็นคนอนุญาตสร้างโรงงานอะไรต่างๆ เป็นเรื่องของท้องถิ่น”
จนถูกจับสังเกตได้ว่า ทุกความเคลื่อนไหวของ “บิ๊กตู่ - บิ๊กป๊อก” ในช่วงนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นการปกป้อง “มหาเมกะโปรเจ็กต์โรงไฟฟ้าขยะแสนล้าน” อันเป็น “เผือกร้อน” ของกระทรวงมหาดไทย แทบทั้งสิ้น
แบบนี้ในวงการเขาเรียก “มวยออกอาการ” เป็นอาการที่ออกมาหลังจากที่มีข่าวว่า “นายกฯตู่” สั่งการให้ “กระทรวงมหาดไทย” เร่งรัดการดำเนินการแก้ไขปัญหาขยะมูลฝอยทั้งระบบให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว
ระบุด้วยว่า “ให้เร่งจัดตั้งศูนย์กำจัดขยะมูลฝอยแบบครบวงจร ในทุกกลุ่มพื้นที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 7,852 แห่ง ที่มีการรวมกลุ่มเพื่อกำจัดขยะมูลฝอยทั่วประเทศ จำนวน 324 กลุ่ม ตามจำนวนภูเขาขยะ 324 ลูก ให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือน”
หลังจากที่มีข่าวออกไป ก็ถูกตั้งข้อสังเกตถึงความ “ร้อนรน” บางประการ เป็นเหตุให้ “บิ๊กป๊อก” ถึงขั้นต้องยืมมือ ลงมาขันนอตสับเกียร์เดินหน้า เหตุเพราะ 4 ปีผ่านไป อภิมหาโปรเจกต์แสนล้าน “โรงไฟฟ้าพลังงานขยะ”ในมือกระทรวงมหาดไทย ที่ถูกยกเป็น“วาระแห่งชาติ” ตั้งแต่วันแรกๆ ที่ คสช.เข้ามามีอำนาจ ยังไม่ถึงไหน ทั้งใช้มาตรา 44 กรุยทางผ่านตลอด เว้นการทำรายงานสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ฉีกทิ้งกฎหมายผังเมือง ให้แล้วก็ตาม
กลายเป็นปมปัญหาที่ส่งผลให้ “บิ๊กป๊อก” แสดงออกแตกต่างจากที่ผ่านๆ มา เพราะในอดีตเวลาพบพานประเด็นร้อน ตั้งแต่สมัยเป็นใหญ่ในกองทัพ เรื่อยมาถึงมีอำนาจคับประเทศในวันนี้ ก็มีชั้นเชิงหลบเลี่ยงได้มากกว่าที่เห็นในตอนนี้
อาจเป็นเพราะ หลายเรื่องมาแดงในขณะที่กระบวนการจบไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็น “ไม้ล้างป่าช้า” จีที 200 หรือเรือเหาะที่ถูกปลดประจำการทั้งที่ไม่เคยใช้งานได้จริง ซึ่งเป็น “งบลับ” ด้านความมั่นคง ที่กว่าจะจับได้ไล่ทันก็สายไปเสียแล้ว
กระทั่งเรื่อง “ป่ากระทิงแดง” ที่ห้วยเม็ก จ.ขอนแก่น เมื่อไม่นานมานี้ “บิ๊กป๊อก” ก็ยังใช้ชั้นเชิงเลี่ยงกระแส ปัดสวะไปว่าเป็นการดำเนินการของระดับข้าราชการเท่านั้น
ต่างจาก “โปรเจกต์ขยะแสนล้าน” ที่มีเครื่องหมายคำถามตัวเบ้อเริ่ม ในขณะที่โครงการกำลัง “ตั้งไข่” ล้มลุกคลุกคลานไม่ไปไหน ซ้ำยังเจอกระแสฟีเวอร์ “ผู้ว่าฯหนึ่ง”ณรงค์ศักดิ์ โอสถาธนากร ที่ถูกย้ายจากเชียงรายไปพะเยา ที่มีมูลเหตุมาจากการเข้าไปตรวจสอบการใช้งบของท้องถิ่นในการก่อสร้าง “โรงแยกขยะ 300 ล้าน” ของ จ.เชียงราย แต่ใช้การไม่ได้
ไม่เท่านั้นมีแรงต้าน “โรงแยกขยะ-โรงไฟฟ้าพลังงานขยะ” จาก “ชาวบ้าน” ในทุกพื้นที่ก็ว่าได้ ตลอดจน “ข้าราชการ-ท้องถิ่น” หลายจังหวัดเป้าหมายเกิดอาการ “เกียร์ว่าง” ไม่เร่งรัดดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล เนื่องจากเจอทั้งแรงต่อต้านจากประชาชน และยังต้องพะวงกับความเสี่ยงในการ “ขัดข้อกฎหมาย” ที่อาจนำมาซึ่ง “ความซวย” มาเสิร์ฟถึงบันไดบ้าน
หรือกระทรวงพลังงานที่เคยรับลูกเพิ่มโควตารับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานขยะชุมชน รวมทั้งเป็นใจให้ในการสั่งงดรับซื้อไฟฟ้าพลังงานทางเลือกประเภทอื่นให้ จู่ๆก็ตีตกข้อเสนอขอเพิ่มโควตารับซื้อไฟฟ้าพลังงานขยะอีก 400 เมกกะวัตต์ อย่างไร้เยื่อใย เหตุเพราะ “โควต้าบวม” จนน่าเกลียด
แล้วยังลามไปถึง “นายทุน” ที่เคยลูบปากร่วมฝันอร่อยกับ “เค้กก้อนโต” ด้วย ก็เริ่มออกอาการละล้าละลัง ขาดความเชื่อมั่น หวั่นว่าโครงการอาจไม่เกิด
ดีไม่ดี หลังอำนาจเปลี่ยนมือ เจอยื่นร้อง “คำสั่ง มาตรา 44” เว้นการทำรายงานสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) เว้นกฎหมายผังเมือง เข้าข่ายขัดเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญที่คุ้มครองสิทธิด้านสุขอนามัย คุณภาพชีวิต ของประชาชนไว้อย่างชัดเจน
ตัวอย่างเช่น ใน มาตรา 58 แห่งรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ระบุว่า “การดําเนินการใดของรัฐหรือที่รัฐจะอนุญาตให้ผู้ใดดําเนินการ ถ้าการนั้นอาจมี ผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ คุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพ อนามัย คุณภาพชีวิต หรือส่วนได้เสีย สําคัญอื่นใดของประชาชนหรือชุมชนหรือสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง รัฐต้องดําเนินการให้มีการศึกษา และประเมินผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนหรือชุมชน...”
เมื่ออำนาจหมด มาตรา 44 ก็เสื่อมมนต์ขลัง เจอยื่นตีความโป้งเดียว อาจซวยกันเป็นโดมิโน ตั้งแต่ระดับบริหาร ข้าราชการ บานไปถึงนักลงทุนเอกชน เกิดโครงการต้องสะดุด ถูกสั่งยกเลิกกลางคัน ขึ้นมา ความเสียหายก็จะประเมินค่าไม่ได้
ขนาดในวันที่อำนาจล้นมือ ยังถูกลากยาวมาจนขวบปีสุดท้ายในยุค “รัฐบาลยึดอำนาจ” ปิดจ๊อบไม่ลง แม้ทางสะดวกให้ตอกบัตรเข้ามาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง ก็น่ากลัวเป็น “รัฐบาลเลือกตั้ง” ที่หยิบจับอะไรไม่ถนัดถนี่เท่านี้
ตามมาด้วยข่าวลือหนาหูว่า “หลังฉาก” มี “ทายาทบิ๊ก คสช.” ทำตัวเป็น “นายด่าน” ตั้งโต๊ะเก็บ “ค่าน้ำชา” แลกกับ “ใบอนุญาตโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ” อย่างเป็นล่ำเป็นสัน สนนราคา “เมกฯละโล” ที่คุ้นเคย จนฉาวโฉ่ไปทั้งวงการ
อะไรๆ ก็ดูจะไม่ค่อนเข้าเป้า จากที่เงียบๆ ก็ถูกลากมายืนอยู่กลางสปอตไลท์ ทำให้ “บิ๊กป๊อก” ที่เคยรักษาฟอร์มมาดนิ่งๆ มาตลอด เก็บอาการไม่อยู่ ร้อนถึงน้องรัก “บิ๊กตู่” ต้องมาคอยหิ้วปีกอยู่เรื่อย
เรียกว่ากลายเป็นจุดอ่อนของ “รัฐบาล คสช.” อย่างเต็มตัว แล้วยังเลยเถิดไปเป็นจุดอ่อนของ “ทีมประชารัฐ” ที่หมายมั่นตีตั๋วถืออำนาจต่อหลังเลือกตั้งอีกด้วย
อาการ “พี่ป๊อก” ก็เลยเป๋ๆ อย่างที่เห็นนี่แหละ.