xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“พ่อโดดตึก-ฆ่าน้องหญิง-เสี่ยอ้วนสั่งตาย” เหตุเกิดเพราะ “สินบนตำรวจ”?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายสุบิน ยาวิราช พ่อของ “น.ส.นรีกานต์ ยาวิราช หรือน้องหญิง” ขณะเข้าร้องเรียนต่อตำรวจกองปราบปราม หลังตำรวจท้องที่สรุปว่าเป็น “อุบัติเหตุ” ตกจากรถเทรลเลอร์ แต่สุดท้ายกลายเป็น “คดีฆาตกรรม”
ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ช่วงนี้ มี “คดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญ” เกิดขึ้นมากมายและต่อเนื่อง ซึ่งแต่ละคดีนอกจากจะสร้างความหดหู่ใจให้เกิดขึ้นแล้ว ยังสะท้อนให้เห็นถึงช่องว่างช่องโหว่ของกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะ “ต้นทางกระบวนการยุติธรรม” อย่าง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) ในฐานะเจ้าพนักงานสืบสวนสอบสวน และรวบรวมพยานหลักฐานก่อนจะส่งต่อไปยังกระบวนการยุติธรรมขั้นกลางคือ “อัยการ” และ “ศาล” ซึ่งมีหน้าที่พิพากษาตัดสินคดีในขั้นตอนสุดท้าย

เริ่มแต่กรณี “พ่อ” คือ “นายศุภชัย ทัฬหสุนทร” กระโดดตึกฆ่าตัวตายหลังศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา “ยกฟ้อง” คดีฆาตกรรมลูกชาย คือ “น้องเต้” นายธนิต ทัฬหสุนทร ที่ถูกแทงเสียชีวิตตั้งแต่ปี 2559 และไม่สามารถแบกรับความผิดหวัง

เป็นโศกนาฏกรรมที่ “ช็อก” สังคมจนไม่สามารถบรรยายความรู้สึกออกมาได้เลยทีเดียว

ที่น่าสนใจและจำต้องขีดเส้นใต้ไว้ก็คือ ครอบครัวของผู้เสียชีวิตเปิดเผยว่า หลังเกิดเหตุฆาตกรรมนายธนิต เมื่อปี 2559 นายศุภชัย ผู้เป็นพ่อ คือคนเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อใช้ประกอบคดีทั้งหมด เพราะตำรวจบอกว่าให้ไปหาหลักฐานมาดำเนินคดีเอง เป็นแฟ้มเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ 2 แฟ้ม จำนวนเกือบ 1,000 หน้า รวมทั้งได้มอบข้อมูลทั้งหมดที่มีให้กับตำรวจเจ้าของคดี และมั่นใจว่าหลักฐานที่มีสามารถดำเนินคดีกับคู่กรณีได้

“ไม่เคยคิดมาก่อนว่าสามีจะกระโดดตึกฆ่าตัวตาย กระทั่งสิ้นคำพิพากษาศาลยกฟ้อง ตอนนั้นคิดจะกระโดดตึกฆ่าตัวตายเหมือนกันแต่มีคนมาดึงไว้ทัน วอนขอความเป็นธรรมกับผู้มีอำนาจ เนื่องจากครอบครัวต้องสูญเสียทั้งสามีและบุตร หากถึงที่สุดแล้วไม่ได้รับความเป็นธรรม ตนมีสิทธิ์ที่จะคิดสั้น ขอขอบคุณผู้มีอำนาจที่สั่งให้มีการรวบรวมหลักฐานเพื่อตรวจสอบว่าคดีมีความบกพร่องส่วนใด เพราะที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ครอบครัวหาหลักฐานฝ่ายเดียว ถึงขั้นสามีลาออกจากงานประจำเพื่อติดตามคดีและหาหลักฐาน ส่วนคู่กรณีเป็นผู้มีอิทธิพล เป็นคนมีฐานะในท้องที่ทำให้พยานไม่กล้าบอกว่าใครเป็นคนร้ายที่แท้จริง นอกจากนี้กล้องวงจรปิดบางตัวในจุดเกิดเหตุไม่สามารถใช้การได้ แต่ยืนยันหากตำรวจมีความพยายามหาหลักฐานด้วย เชื่อว่าสามารถหาคนร้ายตัวจริงมาลงโทษได้ ฝากความหวังไว้กับผบช.น. รื้อคดีให้กระจ่าง แต่ท้ายที่สุดหากไม่ได้รับความยุติธรรม ตนไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้วและไม่รู้ว่าจะอยู่อย่างไรก็คิดว่าจะฆ่าตัวตาย”นางเรวดี ทัฬหสุนทร ภรรยานายศุภชัยกล่าวทั้งน้ำตา

กรณีที่ญาติของผู้ตายแสดงความคับแค้นใจออกมาว่าตำรวจหรือพนักงานสอบสวนไม่ให้ความเป็นธรรม เป็นประเด็นที่ไม่อาจมองข้ามได้ ขณะเดียวกันก็ต้องย้อนถามกลับไปว่าที่ผ่านมาในการทำคดี เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำเต็มที่หรือไม่ แล้วทำไมเจ้าหน้าที่ตำรวจถึงให้ครอบครัวหาหลักฐานแต่เพียงฝ่ายเดียว

จะว่าเป็นเพราะ “อิทธิพล” ของคู่กรณีก็ไม่น่าใช่ ดังนั้น สังคมจึงตั้งข้อสงสัยไปที่ประเด็นเดียวว่า มีการรับ “สินบน” เพื่อ “เป่าคดี” หรือไม่อย่างไร ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติจำต้องหาคำตอบมาอธิบายสังคมให้กระจ่าง

และที่ยังคงเป็นปมปริศนาไม่แพ้กันก็คือ ในขณะจัดงานศพนายธนิต ได้เกิดเหตุรุ่นน้องร่วมสถาบันของนายธนิต คือ นายชาญศักดิ์ จันทรส หรือ เอ็ม ถูกยิงขณะมาร่วมงานจนเสียชีวิตอีกต่างหาก และคดีดังกล่าวก็มิได้มีความคืบหน้าใดๆ เช่นเดียวกัน หรือถ้าจะใช้คำว่า ไม่สนใจที่จะทำคดีก็คงจะไม่ผิดไปจากความเป็นจริงเท่าใดนัก
เสี่ยอ้วน ผู้สั่งฆ่า “น้องสปาย-น้องฟอส”
และโศกนาฏกรรมดังกล่าวก็นำไปสู่การที่ “พล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวช” ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ได้ “สั่งรื้อคดี” ตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง โดยตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาให้ “พล.ต.ต.สมพงษ์ ชิงดวง” รอง ผบช.น. เป็นหัวหน้าคณะทำงาน และมีกลุ่มงานสอบสวน บก.น.1 ร่วมด้วย รวมทั้งการประสานงานกับสำนักอัยการเจ้าของคดีเพื่อทำการยื่นอุทธรณ์

ถัดจากนั้นในระยะเวลาไล่เลี่ยกันก็เกิดคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญขึ้นมาอีกคดีหนึ่ง นั่นคือคดีฆาตกรรม “น.ส.นรีกานต์ ยาวิราช หรือน้องหญิง” อายุ 19 ปี ที่ตอนแรกตำรวจสรุปว่าเป็น “อุบัติเหตุ” ตกจากรถเทรลเลอร์ แต่ครอบครัวคาใจเพราะพบพิรุธ พร้อมทั้งแห่โลงศพร้องกองปราบปรามเพื่อขอให้ช่วยคลี่คดี จนต้องสั่งรื้อคดีใหม่กลายเป็น “คดีฆาตกรรม” และนำไปสู่การออกหมายจับ “ผู้ต้องสงสัย” คือนายสุรพล ดาราคำ หรืออ๊อฟ คนขับรถเทรลเลอร์ ในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาในท้ายที่สุด

พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยืนยันชัดเจนว่า “คดีนี้ไม่ใช่คดีอุบัติเหตุ แต่เป็นคดีฆาตกรรม” และพนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานวัตถุ พยานบุคคล และหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ครบถ้วนสมบูรณ์

แน่นอน จำเลยสำคัญของคดีนี้ก็คือ สถานีตำรวจที่เกี่ยวข้อง 3 สถานี ได้แก่ สภ.เมืองปทุมธานี สภ.พระอินทร์ราชา และ สภ.บางปะอิน โดยเบื้องต้นกองบัญชาการตำรวจภูธร ภาค 1 ได้มีคำสั่งย้ายตั้งแต่นายตำรวจระดับ ผกก. รองผกก สารวัตร และรองสารวัตร รวม 10 นาย ไปปฏิบัติหน้าที่ที่ศูนย์ปฏิบัติการจังหวัดและตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง ว่ามีข้อบกพร่อง ปล่อยปละละเลยในหน้าที่หรือไม่

สภ.พระอินทร์ราชาโดนข้อหาปล่อยปละละเลยให้สถานบันเทิงที่อยู่ในเขตพื้นที่รับผิดชอบ เปิดให้บริการเกินเวลาตามที่กฎหมายกำหนด ประกอบไปด้วย พ.ต.อ.นฤด มารศรี พ.ต.ท.ภัทรชนนท์ ประไพลศาล พ.ต.ต.ณัฐพัชร สังข์ประเสริฐ และ ร.ต.อ.กฤศ เขม้นเขตรการ

สภ.บางปะอินโดนข้อหาบกพร่องต่อหน้าที่ เนื่องจากฝ่ายผู้เสียหาย เข้าแจ้งความร้องทุกข์ แต่พนักงานสอบสวนดำเนินการล่าช้า ไม่เป็นไปตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประกอบด้วย พ.ต.อ.ฤทธิ์ ศิริเทพ พ.ต.ท.สมานศรีอรุณ และ ร.ต.อ.ประเสริฐศักดิ์ วงศ์ภูผานนท์

นอกจากนี้ พล.ต.ต.สุรพงษ์ ถนอมจิตร ผบก.ภ.จว.ปทุมธานี มีคำสั่งให้ พ.ต.อ.พีรพล โชติกเสถียร ผกก.สภ.เมืองปทุมธานี พ.ต.ท.สมยศ ดำจันทร์ รอง ผกก.สอบสวน สภ.เมือเมืองปทุมธานี และ พ.ต.ต.ไพรัตน์ วรรณี สว.(สอบสวน) สภ.ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ ซึ่งช่วยราชการ สภ.เมืองปทุมธานี ไปช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรจังหวัดปทุมธานี ตั้งแต่วันที่ 30 ก.ค.เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง เนื่องจากน้องหญิง เสียชีวิตโรงพยาบาลปทุมธานี ผิดธรรมชาติ ซึ่งพบว่าสำนวนการชันสูตรพลิกศพล่าช้า ไม่เป็นไปตามขั้นตอนและคำสั่ง

อย่างไรก็ดี ประเด็นของเรื่องนี้ นอกจากจะเป็นฆาตกรรมอำพรางแล้ว ยังมีเรื่องของการ “วิ่งเต้นล้มคดี” เข้ามาเกี่ยวข้องอีกต่างหาก โดย นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ซึ่งเข้าช่วยทำคดีน้องหญิงระบุชัดเจนว่า “มีพยานหลักฐานว่ามีคนจ้างให้ตำรวจไม่ทำคดีนี้เป็นเงินจำนวน 300,000 บาท แต่ไม่ขอเอ่ยว่าเป็นใคร” ซึ่งกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้ตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

การจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่ตำรวจล้มคดี ถือเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง และทำให้กระบวนการยุติธรรมไม่ดำเนินไปอย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งหลายต่อหลายกรณีก็เป็นผลสืบเนื่องให้เกิดความรุนแรงตามมา เพราะในเมื่อไม่สามารถพึ่งพากระบวนการยุติธรรมได้ การแก้แค้นแบบตาต่อตาฟันต่อฟันจึงมักเกิดขึ้นให้เห็นเสมอๆ

แต่คดีต้องถือว่า “เหี้ยมสุดๆ” และได้รับความสนใจจากสังคมมากที่สุดก็คือ คดีสังหารโหด “น้องสปาย”-น.สปวีณา นาเมืองรักษ์ อายุ 20 ปี และ “น้องฟอส” นายอนันตชัย จริตรัมย์ อายุ 21 ปี เสียชีวิตบริเวณลานจอดรถฝั่งตรงข้ามหน้าผาพระพุทธรูปแกะสลักเขาชีจรรย์ จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 29 ก.ค.ที่ผ่านมา และนำไปสู่การออกหมายจับ 3 ผู้ต้องหาคือ นายปัญญา หรือเสี่ยอ้วน ยิ่งดัง อายุ 39 ปี เจ้าของสถานบันเทิงชื่อดังใน จ.ภูเก็ต ผู้จ้างวาน นายสายันต์ ศรีสุข อายุ 43 ปี ชาวนครศรีธรรมราช คนชี้เป้า และนายจิรศักดิ์ อุนัยบัน อายุ 34 ปี ชาวภูเก็ต มือปืน

ปฐมเหตุของความตายและ “ใบสั่งฆ่า” มาจากเรื่อง “ชู้สาว”

พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รองผบ.ตร. ให้ข้อมูลว่า น.ส.ปวีณารู้จักคุ้นเคยกับนายปัญญา เพราะให้ความสนับสนุนเรื่องการเงิน โดยจนายปัญญาวางแผนให้นายสายันต์แฝงตัวเข้าไปตีสนิทเป็นแฟนกับนายวราเทพ มาสูงเนิน อายุ 20 ปี เพื่อนสนิทของผู้ตายทั้งคู่ เพื่อร่วมเดินทางมาเที่ยวที่เมืองพัทยาในช่วงวันหยุด โดยนายสายันต์จะคอยรายงานความเคลื่อนไหวตลอดในวันเกิดเหตุ กลุ่มผู้เสียชีวิตออกจากโรงแรม แวะเที่ยวตลาดน้ำสี่ภาค เมืองพัทยา ต่อด้วยสวนนงนุช และจุดสุดท้ายไหว้พระพุทธรูปแกะสลักหน้าผาเขาชีจรรย์ เมื่อทราบรายละเอียดทั้งหมดจากนายสายันต์ กลุ่มทีมสังหารก็เฝ้าติดตามจนสบโอกาส

ประเด็นที่น่าสนใจประการถัดมาก็คือ เรื่องราวของนายปัญญาหรือเสี่ยอ้วน เพราะเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า เป็นผู้มีอิทธิพลในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต

เสี่ยอ้วน ภูมิลำเนาเดิมเป็นคน จ.สุรินทร์ เคยทำงานเป็นผู้จัดการดิสโก้เธคแห่งหนึ่งที่พัทยา จ.ชลบุรี แต่ไม่ประสบความสำเร็จจึงโยกย้ายไป จ.ภูเก็ต เมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา ช่วงแรกๆ ไปทำมาหากินอยู่ในพื้นที่ป่าตอง อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต เริ่มต้นด้วยการเป็นเด็กเฝ้าห้องน้ำในสถานบันเทิงแห่งหนึ่ง บริการนวด จัดผ้าเย็น-ผ้าร้อนให้กับบรรดา นักเที่ยวเวลาเข้าไปปล่อยหนักหรือเบาแลกกับทิป 10-20 บาท หรือที่ในวงการนักเที่ยวกลางคืนเรียกกันว่า “เด็กสับ”
บริเวณลานจอดรถฝั่งตรงข้ามหน้าผาพระพุทธรูปแกะสลักเขาชีจรรย์ จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นสถานที่สังหาร
น้องสปาย-น้องฟอส
ประกอบกับด้วยความที่เสี่ยอ้วนเป็นคนกล้าได้กล้าเสียจึงนำเงินที่เก็บออมไปซื้อสัมปทานห้องน้ำสถานบันเทิงหลายแห่งในพื้นที่ป่าตอง โดยเฉพาะภายในถนนบางลา โดยหลังจากคลุกคลีอยู่ในแวดวงสถานบันเทิงป่าตอง และเห็นลู่ทางการทำมาหากิน เสี่ยอ้วนก็ขยับขยายมาเปิดบาร์ในซอยเล็กๆ ของถนนบางลา ซึ่งพื้นที่บริเวณนั้นถือว่าเป็นจุดศูนย์กลางของเมืองป่าตอง เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีราคาสูง แต่เสี่ยอ้วนก็สามารถเข้าไปทำธุรกิจในพื้นที่ดังกล่าวได้

ที่น่าสนใจคือ กิจการบาร์ของเสี่ยอ้วนรุดหน้าอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีการระดมสาวโคโยตี้ ที่มีคุณภาพรูปร่างหน้าตาดีจำนวนมากจึงเป็นขวัญใจของนักท่องราตรีทั้งไทยและเทศ ทำให้อาณาจักรธุรกิจของเขาก้าวเข้าสู่อาณาจักร 100 ล้านในปัจจุบัน

พ.ต.อ.อโณทัย จินดามณี ผู้กำกับการตำรวจภูธรป่าตอง กล่าวว่า จากการตรวจสอบพบว่า ปัจจุบันเสี่ยอ้วนเปิดสถานบันเทิง 2 แห่งซึ่งอยู่ติดกัน คือ Pum Pui และเดอะไนท์ ผับ ซึ่งในส่วนของเดอะไนท์ ผับ ได้ปิดให้บริการไปก่อนหน้านี้แล้ว จากการสอบถามผู้ดูแลทราบว่า มีแขกเข้าไปใช้บริการน้อยจึงปิดให้บริการ และเหลือเปิดบริการอยู่แค่ 1 แห่ง คือ Pum Pui สำหรับในส่วนของ Pum Pui นั้น เป็นสถานบริการที่มีหญิงสาวมาเต้นโชว์ จากการตรวจสอบ พบว่า มีพนักงานในร้านประมาณ 30 กว่าคน

ด้าน นายวีรวิชญ์ เครือสมบัติ ประธานชมรมผู้ประกอบการสถานบันเทิงหาดป่าตอง ให้ข้อมูลว่า เท่าที่รู้จักกับเสี่ยอ้วนมาประมาณ 20 ปี ทราบว่าเขาเป็นคนเก็บตัวเงียบ ไม่ค่อยยุ่งกับใคร เป็นคนหนุ่มที่ทุ่มเทกับการทำงาน ขยัน อดทน ส่วนเรื่องความรัก หากรักใครสักคนก็จะทุ่มเทให้ทั้งใจ และทรัพย์สิน จนได้ฉายาจากเพื่อนๆ ที่รู้จักกันว่า “เจ้าบุญทุ่ม” หลังเกิดเหตุตนเองได้ทดลองโทร.หาเสี่ยอ้วน พบว่า ไม่สามารถติดต่อได้

ส่วนเรื่อง “ผู้หญิง” นั้น ที่ผ่านมาเสี่ยอ้วนทุ่มเงินในการดูแลสาวๆ หลายคน รวมถึงน้องสปาย-น.ส.ปวีณา ถึงขั้นมีการตกลงปลงใจขอแต่งงานด้วย แต่เนื่องจากเป็นคนอารมณ์ร้อนและขี้โมโห ทำให้บรรดาหญิงสาวพากันตีตัวออกห่าง

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบเฟซบุ๊กส่วนตัว ของเสี่ยอ้วน พบว่า มีหลายโพสต์ที่เสี่ยอ้วน ระบุถึงข้อความเรื่องการทำงาน เช่น ถ้ารวมเป็นร้อยล้านก็จะหยุดหาเงิน เพื่อหันมาทำความดีตอบแทนให้แก่สังคม หรือบางครั้งอาจจะโพสต์ในลักษณะของความท้อแท้เกี่ยวกับความรัก เช่น “ผมเป็นผู้ชายที่โชคไม่ดีเจอผู้หญิงที่ต้องการแต่เงินหลักแสนหลักล้านแล้วก็จากไป หรือบ้างครั้งก็จะโพสต์ข้อความแสดงถึงความเหนื่อยล้า เช่น “เหนื่อยจังว่ะ” หรือบ้างครั้งก็ดุดัน เช่น โพสต์ข้อความ “จับของของกู กูยิง” เป็นต้น

นางวันเพ็ญ นาเมืองรักษ์ อายุ 41 ปี แม่ของ น.ส.ปวีณา ให้การว่า แต่เดิมน้องสปายเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ประมาณ 1 เทอม แล้วลาออก เพราะต้องการที่จะหาเงินมาช่วยเหลือครอบครัว ด้วยการไปทำงานตามสถานบันเทิง โดยเฉพาะที่ จังหวัดภูเก็ต ตั้งแต่ต้นปี 2559 เพราะพี่สาวที่รู้จักกันในหมู่บ้านทำงานที่นั่นบอกได้เงินดี และที่ผ่านมาก็ส่งเงินกลับบ้านเดือนละ 2-3 หมื่นบาท ทีแรกก็ตกใจ จึงได้แอบไปดูลูกเพราะกลัวว่าจะไปขายตัว แต่ลูกก็ยืนยันว่าในชีวิตไม่เคยคิดที่จะขายตัว จึงปล่อยให้ลูกทำงาน และลูกบอกว่ามีเสี่ยอ้วนมาติดพัน และบอกว่าต้องการที่จะได้น้องไปเป็นเมีย แต่ตนให้ไม่ได้

ทั้งนี้ ความรุนแรงเริ่มเกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2559 น้องปลายโทร.มาเล่าให้ฟังตลอดว่าทุกครั้งที่เสี่ยอ้วนเห็นไปอยู่ในกลุ่มเพื่อนจะเดินเข้าไปฉุดกระชาก บางครั้งถึงขั้นบีบคอ ทำร้ายร่างกาย ปลายปี 2560 จึงได้ย้ายไปทำงานที่ จ.นครปฐม แต่เสี่ยอ้วนยังคงติดตามหา จนในช่วงต้นปี 2561 ตนเองก็มีความคิดที่จะซื้อรถ ลูกสาวก็บอกว่าจะโอนเงินมาให้ พอเสี่ยอ้วนรู้ว่าจะซื้อรถก็บอกว่าจะโอนเงินให้ไปซื้อรถ 1 ล้านบาท แม้ครอบครัวปฏิเสธ แต่ก็มีเงินเข้ามาในบัญชีถึง 1 ล้านบาท ซึ่งเสี่ยอ้วนก็โทร.มาบอกว่าให้พ่อกับแม่ไปซื้อรถ

“ครอบครัวและลูกสาวไม่เคยคิดที่จะไปปอกลอก แต่เสี่ยอ้วนหยิบยื่นเงินให้ทั้งที่น้องปลายปฏิเสธเหมือนกับเป็นการจะใช้เงินซื้อ แต่ลูกสาวไม่ชอบจึงพยายามออกห่าง แต่ก็ต้องมาเจอเช่นนี้ ขอให้ตำรวจจับคนร้ายมาให้ได้และให้เสี่ยอ้วนมารับกรรม ยอมรับว่าเป็นห่วงความยุติธรรมเพราะเสี่ยอ้วนเคยโทร.มาขู่ว่าเป็นผู้มีอิทธิพล เงินสามารถซื้อได้ทุกเรื่องและเคยซื้อตำรวจมาแล้ว เพราะก่อนหน้ายิงคนตายก็ไม่ติดคุก แต่ก็เชื่อว่ากฎหมายจะดำเนินคดีได้”แม่น้องสปายบอกเล่า

อย่างไรก็ดี จุดที่ไม่อาจมองข้ามได้ในคดีน้องสปาย-น้องฟอสก็คือ “ความโหดเหี้ยม” เสมือนหนึ่งไม่เกรงกลัวกฎหมายของ “เสี่ยอ้วน” คนสั่งฆ่า ซึ่งหากย้อนกลับไปดูประวัติเก่าๆ ของเสี่ยอ้วนก็จะพบว่าเขามีความพัวพันกับคดีฆาตกรรมแล้วและสามารถพ้นคดีมาได้

กล่าวคือเมื่อวันที่ 18 พ.ค.60 เสี่ยอ้วนเคยก่อเหตุยิง นายอำพัน สุขสวัสดิ์ อายุ 47 ปี คนขายไอศกรีมจนเสียชีวิต พร้อมยืนรอขอมอบตัว บริเวณหอพักพนักงานบาร์ปุ้มปุ้ย ซอยสุขเจริญ ถนนพระเมตตา ต.ป่าตอง อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต โดยที่ เสี่ยอ้วน เป็นเจ้าของหอพักดังกล่าว

จากการรื้อแฟ้มสอบสวนในคดีดังกล่าว เสี่ยอ้วนให้การว่า นายอำพันผู้ตายมีอาชีพขายไอศกรีม ก่อนเกิดเหตุผู้ตายได้เดินทางไปหาเพื่อนสาวคนหนึ่งที่พักดังกล่าว และได้นั่งพูดคุยกันอยู่ที่บันไดชั้นที่ 4 ระหว่างนั้นตนกลับมาจากทำธุระด้านนอก ได้ถามผู้ตายว่า “พักอยู่ที่ไหน” ทำให้ผู้ตายไม่พอใจ จนมีปากเสียงกันอย่างรุนแรง

จากนั้นเสี่ยอ้วนได้เดินขึ้นไปที่ห้องพักบริเวณชั้นที่ 5 เพื่อยุติปัญหา แต่ผู้ตายได้ให้เพื่อนสาวหลบเข้าไปในห้อง ก่อนที่จะเดินตามขึ้นไปที่ชั้น 5 จึงชักอาวุธปืนขนาด9 มม. ยิงใส่ผู้ตายเข้าที่ไหปลาร้าด้านขวา 1 นัด เมื่อรู้ว่าโดนยิงผู้ตายก็วิ่งลงบันไดไปด้านล่าง ก่อนสิ้นใจตายคาบันได

ทั้งนี้ ตำรวจสรุปปมเหตุว่า ผู้ตายและเจ้าของหอพักไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่มาเจอกันที่เกิดเหตุแล้วมีปากเสียงกัน กระทั่งเกิดการยิงกันตาย ซึ่งเจ้าของหอพักทำไปเพื่อป้องกันตัวและมอบตัวสู้คดี สุดท้ายอัยการสั่งไม่ฟ้อง

การรอดคดีดังกล่าวนำไปสู่คำถามตามมาว่า เป็นเหตุทำให้เสี่ยอ้วนได้ใจ ใช่หรือไม่ว่าจะสามารถรอดพ้นความผิดได้อีกครั้ง จึงกล้าก่อเหตุสะเทือนขวัญขึ้นอีกครั้ง เพียงแต่คดีสังหารโหดคราวนี้ ไม่ได้เกิดในพื้นที่อิทธิพลของตนเอง...ก็เท่านั้น



กำลังโหลดความคิดเห็น