xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ความจริงจากปาก...หมูป่า ความจริงจากใจ...นักดำน้ำต่างชาติ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ในที่สุดถึงวันที่ทุกคนรอคอย นั่นก็คือ “การส่งหมูป่ากลับบ้าน” โดยเมื่อวันที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมา นักฟุตบอลทีมเยาวชนและโค้ช 13 คน “ทีมหมูป่า อะคาเดมี” ร่วมแถลงเปิดใจครั้งแรกและครั้งสุดท้าย ถึงข้อเท็จจริงในเหตุการณ์ติดถ้ำหลวง จ.เชียงราย เมื่อครั้งเป็นผู้ประสบภัยในเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ที่ทั่วโลกจับตา

คำถามข้อแรก... เข้าไปในถ้ำหลวงทำไม?

“โค้ชเอก” หรือ “นายเอกพล จันทะวงษ์” ผู้ช่วยโค้ชทีมหมูป่าฯ เป็นผู้ตอบโดยเล่ารายละเอียดว่า “เข้าไปเที่ยว” โดยมีการวางแผนนัดอุ่นเครื่องซ้อมฟุตบอลก่อนจะไปเที่ยวถ้ำหลวง กำหนดเวลาอยู่ในถ้ำหลวง 1 ชั่วโมง และปฏิเสธว่าไม่ได้เข้าไปฉลองวันเกิด “น้องไนซ์ - นายพีรพัฒน์ สมเพียงใจ” ตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด

กระทั่ง รู้ตัวว่า “ติดถ้ำ” ตอนเดินกลับมาไปถึงจุดเมืองลับแล ซึ่งตอนเข้าไปน้ำยังไม่ลึกสามารถขึ้นฝั่งได้ ทุกคนจึงเดินตามกันเข้าไป บวกกับครั้งก่อนหน้าที่เข้าไปในถ้ำก็มีน้ำขังลักษณะนี้จึงไม่ได้เอะใจอะไร แต่พอดูนาฬิกาเห็นว่าเกินกำหนดเวลาจึงชวนกันกลับออกมา

โค้ชเอก ยืนยันว่าเด็กทีมหมูป่าว่ายน้ำเป็นกันทุกคน เนื่องจากเป็นประจำทุกวันหยุดเสาร์อาทิตย์ จะพาน้องๆ ในทีมไปฝึกว่ายน้ำ เพียงแต่ว่าบางคนอาจว่ายน้ำไม่แข็งนักเท่านั้น

อีกทั้งทุกคนตั้งใจจะเข้าไปเพียงประมาณ 1 ชั่วโมง จึงไม่ได้เตรียมอาหารหรือขนมไปด้วยตามที่ปรากฎเป็นข่าว

กระทั่ง ขากลับออกจากถ้ำพบน้ำท่วมบริเวณ 3 แยก โค้ชเอก ทำหน้าที่ออกไปเช็ก โดยให้เด็กๆ จับเชือก โดยบอกทุกว่า หากกระตุกเชือก 2 ครั้ง คือให้ดึงกลับ แต่ถ้าออกจากถ้ำได้จะไม่กระตุกเชือก และรู้ว่าไปต่อไม่ไหวจึงกระตุกเชือกให้เด็กๆ ช่วยกันดึงตัวกลับมา

ส่วนสาเหตุที่ใช้เชือกเป็นสัญญาณ เพราะว่าน้ำอุดโพรงทำให้ส่งเสียงไม่ได้ยิน ทำให้ออกมาไม่ได้ จึงกลับเข้าไปในถ้ำและรอคอยให้น้ำลด

จากนั้นก็พยายามหาทางออกเส้นทางใหม่ ช่วยกันหาก้อนหินมาขุดร่องเพื่อระบายน้ำ แต่ขุดเท่าไรน้ำก็ไม่ลด ขณะน้ำยังคงเพิ่มสูงขึ้น ทุกคนจึงตัดสินใจถอยเข้าไปห่างจาก 3 แยกประมาณ 200 เมตร เพื่อค้างคืนในถ้ำ โดยอาศัยน้ำที่หยดลงมาจากหินเพื่อประทังชีวิต โค้ชเอก บอกเด็กๆ ว่าไม่ต้องกลัว อาจเป็นปรากฎการณ์น้ำขึ้นน้ำลง หวังว่าวันรุ่งขึ้นน้ำน่าจะลดและออกจากถ้ำหลวง

“น้องตี๋ - นายพรชัย คำหลวง” กล่าวเสริมว่าระหว่างอยู่ในถ้ำตนและเพื่อนๆ พยายามหาทางออก ประกอบกับหาแหล่งน้ำจากหินย้อยดื่มและคอยดูเวลา ยอมรับว่าเวลาผ่านไป 2 วันแล้วน้ำยังไม่ลด รู้สึกกลัวว่าอาจจะออกไปไม่ได้ ขณะที่ “น้องไตตั้น - ด.ช.ชนินทร์ วิบูลย์รุ่งเรือง” อายุ 11 ปี ซึ่งอายุน้อยที่สุดในกลุ่ม ยอมรับว่า รู้สึกหน้ามืดในบางครั้งและหิว จึงพยายามไม่คิดถึงอาหาร

ด้วยเหตุนี้ โค้ชเอก ตัดสินใจบอกให้ทุกคนอยู่นิ่งๆ เพื่อให้ใช้กำลังน้อยที่สุด และใช้ไฟฉายทีละกระบอก โดยใช้ไฟฉายที่มีความสว่างน้อยก่อน

พอผ่านมา 10 วันทุกคนเริ่มอ่อนแรง หน้ามืด หิว จึงพยายามกินน้ำให้อิ่มและช่วงวันที่ 4 เริ่มใช้เวลาว่างขุดผนังถ้ำ 3 - 4 เมตร เพื่อหาทางออก

โค้ชเอก เล่าถึงวิธีการหาทางออกว่า น้องๆ ในทีมที่เคยมาเข้าค่ายที่ถ้ำหลวงบอกว่า มีทางออกอยู่ที่ปลายถ้ำ แต่ขณะที่กำลังตัดสินใจไปที่ปลายถ้ำ ตัวเองได้ยินเสียงน้ำไหล จึงบอกให้ทุกคนเงียบ และส่องไฟฉายไปในทิศที่ได้ยินเสียงน้ำ พบว่า มีน้ำไหลเข้ามา และน้ำที่ท่วมอยู่ก็เพิ่มระดับสูงขึ้น จึงบอกให้ทุกคนขึ้นที่สูงไปอยู่ที่เนินนมสาว เพื่อรอคอยความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่

กระทั่ง เกิดปาฏิหารย์ในค่ำคืนวันที่นักดำน้ำกู้ภัยชาวอังกฤษเข้ามาพบทีมหมูป่าฯ ทั้ง 13 ชีวิต “น้องดุลย์ - ด.ช. อดุลย์ สามออน” เล่าเหตุการณ์ว่าทุกคนกำลังนั่งขุดผนังถ้ำเพื่อหาทางออก แต่หลังจากนั้นโค้ชเอกได้ยินเสียงคนคุยกัน จึงบอกให้ทุกคนเงียบ และได้ยินเสียงคนพูดว่า "Hello (สวัสดี)" จึงทักทายกลับ รู้สึกดีใจมาก

น้องดุลย์ เล่าต่อไปว่า หลังจากนั้น นักดำน้ำชาวอังกฤษได้ถามกลับมาว่า "How are you? (สบายดีไหม)" และได้ตอบไปว่า "Yes, I am okay. (ผมสบายดี)" ทั้งยังถามนักดำน้ำอีกว่า "Can I help you? (ให้ผมช่วยไหม)" อีกด้วย แต่นักดำน้ำบอกว่าไม่เป็นไร และให้ตัวเองขึ้นไปอยู่ยังที่สูง

สมาชิกทีมหมูป่ารายนี้บอกอีกว่า ได้ยินนักดำน้ำถามว่า How many of you? (คุณมีกันกี่คน) จึงตอบไปว่า We have thirteen (เรามี 13 คน)

หลังจากนั้นทีมหมูป่าฯ อยู่ในการดูแลอย่างใกล้ชิดโดย “หน่วยซีล” และ “พ.ท.นพ.ภาคย์ โลหารชุน” ผู้บังคับกองพันเสนารักษ์ที่ 3 ซึ่งหากิจกรรมสนุกให้ผ่อนคลายขณะติดอยู่ภายในถ้ำ เช่น หมากฮอส เกิดความผูกพันคล้ายกับเป็นครอบครัวเดียวกัน เพราะกินนอนด้วยกันในถ้ำกว่า 9 วัน กลายๆ ว่า เด็กๆ ทุกคนติดพี่ๆ หน่วยซีล และ หมอภาคย์ ไปแล้ว

ด้าน พี่ใบเตย จาก หน่วยซีล เล่าว่า หลังจากพบตัวทีมหมูป่าฯ เริ่มทดสอบกำลังใจของทุกคนเป็นอันดับแรก โดยถามว่า “หมูป่า..สู้ไหม?" ซึ่งตอนแรกๆ ก็ยังเสียงเบา แต่ได้ถามย้ำอีกครั้ง ทุกคนตอบเสียงดังขึ้น

โค้ชเอก เผยว่าได้ปรึกษากับ “หน่วยซีล” ถึงลำดับการลำเลียงทีมหมูป่าฯ ออกจากถ้ำหลวง ซึ่งหน่วยซีลและน้องๆ ในทีม ให้สิทธิโค้ชเอกเป็นผู้เลือกได้ตามความเหมาะสม

โค้ชเอก ตัดสินใจให้น้องที่บ้านอยู่ไกลที่สุด นั่นคือ บ้านเวียงหอม เพื่อให้ปั่นจักรยานกลับบ้าน และกลับไปบอกให้ที่บ้านเตรียมอาหารรอทุกคน โดยที่ไม่ทราบขั้นตอนว่าต้องเข้ารับรักษาตัวที่โรงพยาบาลก่อน

ด้าน “น้องเติ้ล - ด.ช.ณัฐวุฒิ ทาคำทรง” บอกว่าตัวเองบ้านไกลที่สุด จึงได้ออกมาเป็นชุดแรก ด้าน “น้องดอม - ด.ช.ดวงเพชร พรหมเทพ” เผยว่า ตัวเองออกมาเป็นชุดที่ 2 เช่นเดียวกับ “น้องบิว - ด.ช.เอกรัตน์ วงศ์สุขจันทร์"

หน่วยซีล ยืนยันว่า เด็กๆ เลือกออกมาตามความสมัครใจ ซึ่งก่อนหน้านี้ มีรายงานข่าวการเลือกลำดับทีมหมูป่าฯ จากถ้ำหลวง ตามความแข็งแรงหรืออ่อนแอซึ่งไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด


ด้าน หมอภาคย์ กล่าวเสริมว่าได้ปรึกษา ดร.ริชาร์ด แฮร์ริส นายแพทย์นักดำน้ำชาวออสเตรเลีย ซึ่งทุกคนมีสุขภาพในระดับเดียวกัน แข็งแรงดี ไม่มีโรค ไม่มีภาวะแทรกซ้อน ดร.แฮร์ริส กล่าวยืนยันว่าใครออกก่อนก็ได้ ไม่ว่าจะตัวเล็กหรือตัวใหญ่

ความจริงอีกข้อหนึ่ง เด็กๆ ทีมหมูป่า เปิดใจติดตลกว่ากลัวพ่อแม่ตำหนิไม่น้อยไปว่าการติดถ้ำ พร้อมทั้ง ขอโทษครอบครัวเพราะไม่ได้บอกว่าไปเที่ยวถ้ำ

เช่น น้องไตตั้น กล่าวขอโทษพ่อแม่ที่ไม่ได้บอกว่าจะไปเที่ยวถ้ำ บอกแค่ไปซ้อมฟุตบอล ตอนที่รู้ตัวว่าติดอยู่ในถ้ำ ก็คิดว่า ถ้าออกไปได้ “โดนพ่อถล่ม" แน่นอน เช่นเดียวกับ สมาชิกทีมหมูป่าฯ คนอื่นๆ กล่าวขอโทษพ่อแม่เช่นกัน

โค้ชเอก เล่าว่าติดอยู่ในถ้ำ ทุกคนคิดเหมือนกันว่า พ่อแม่ต้องตำหนิแน่ๆ และมีน้องคนหนึ่งเล่าว่า แค่เข้าบ้านดึกก็โดนพ่อดุแล้ว ถ้าหากออกไปได้หลังจากติดถ้ำหลายวัน อาจจะได้นอนหน้าบ้าน

และที่สำคัญที่สุด ทีมหมูป่าฯ ทุกคนรู้สึกเสียใจต่อการจากไปของ “นาวาตรี สมาน กุนัน” หรือ “จ่าแซม” รู้สึกเหมือนตนเป็นต้นเหตุที่ทำให้ จ่าแซม และครอบครัว ต้องเดือดร้อนและเกิดเหตุการณ์สูญเสียครั้งนี้

โดยทั้งหมดตั้งใจบวชอุทิศให้ จ่าแซม โดยเด็กๆ จะบวช 10 วัน ส่วน โค้ชเอก 1 พรรษา ขณะที่ น้องไตตั้น เป็นตัวแทนของทีมหมูป่าฯ ออกมาอ่านข้อความอาลัยที่ทั้ง 13 คนเขียนลงบนภาพวาดของ จ่าแซม โดยระบุว่า

“ขอแสดงความเสียใจ ขอให้ท่านสู่สุขคติ ขอขอบพระคุณท่านที่ได้เสียสละ ทั้งกายและใจ ขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวคุณจ่าอย่างสุดใจ ขอให้คุณจ่าหลับให้สบาย ขอขอบพระคุณจากใจจริง”

และทุกคนตั้งใจจะเติบโตเป็นคนดี มุ่งมั่นเป็นนักฟุตบอลอาชีพ บางคนอยากไปเป็นหน่วยซีลในอนาคตด้วย

โค้ชเอก กล่าวว่า ซาบซึ้งน้ำใจของทุกคน และจะใช้สติอย่างมีประโยชน์ ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าที่ตัวเองได้ประสบภัยในครั้งนี้ จะใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท จะเช็กให้ดีว่าอะไรควรทำหรือไม่ควรทำ

น้องดุลย์ กล่าวด้วยว่า ความประมาทมักจะเกิดขึ้นอย่างไม่ได้คาดคิด แต่ประสบการณ์ครั้งนี้ทำให้ทุกคนรู้ว่า หากไม่คิดก่อนทำจะส่งผลตามมา ทั้งดีและไม่ดี กับตัวเอง หลังจากกลับบ้าน จะใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท และใช้ชีวิตให้คุ้มค่าที่สุด

ขณะที่สำนักข่าว ABC ออสเตรเลีย จัดทำสารคดีเรื่องการกู้ภัยที่ถ้ำหลวงในรายการ Four Corners ได้สัมภาษณ์ทีมกู้ภัยออสเตรเลีย อังกฤษ และสหรัฐฯ ในปฏิบัติการพาทีมหมูป่ากลับบ้าน ซึ่งทางเฟซบุ๊ก ThaiArmedForceได้นำแปลเผยแพร่เป็นภาษาไทย ตัดทอนใจความสำคัญบางตอน ความว่า

“Jason Mallinson นักดำน้ำในถ้ำชาวอังกฤษ เปิดใจว่าครั้งนี้เป็นหนึ่งในภารกิจที่ยากที่สุด อันตรายที่สุด และเสี่ยงที่สุดที่เขาเคยทำ ไม่ใช่ในแง่ของความปลอดภัยของเขา แต่เป็นในแง่ของความปลอดภัยของคนที่เขาจะต้องรับผิดชอบ เขาไม่เคยทำอะไรที่เสี่ยงขนาดนี้มาก่อน และคิดว่าคงจะไม่ต้องทำอะไรแบบนี้อีกแล้ว แต่นั่นเป็นทางเลือกเดียวในตอนนั้น เขาเองมั่นใจว่าจะพาตัวเองออกมาได้ มั่นใจว่าเชือกนำทางจะไม่หลุดมือ มั่นใจว่าจะนำเด็กออกมาได้ แต่เขาไม่มั่นใจ 100% ว่าเด็กที่นำออกมาจะมีชีวิตอยู่หรือไม่

นาวาอากาศตรี Charles Hodges ของกองทัพสหรัฐ ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมกู้ภัยของสหรัฐที่ทำหน้าที่รับเด็กจากนักดำน้ำและตรวจสอบสุขภาพเด็กในโถง 3 กล่าวว่า ความเป็นไปได้ที่ภารกิจนี้จะสำเร็จนั้นต่ำมากเท่าที่จะนึกออก เขาทำใจไว้ว่าอาจจะต้องมีเด็ก 3 4 หรือ 5 คนที่เสียชีวิตในระหว่างการกู้ภัย และเขาก็บอกกับท่านผู้ว่าไปว่าเขามั่นใจว่ามีโอกาสที่ภารกิจจะสำเร็จ 60 - 70 เปอร์เซ็นต์

เขายังเผยว่าการดำน้ำพาเด็กออกมานั้นเป็นทางเลือกสุดท้ายจริง ๆ แต่ถ้าให้เด็กอยู่ในนั้นเป็นเวลา 4 - 5 เดือน และประมาณการว่าจะต้องเตรียมอาหารแห้งให้เด็กขั้นต่ำสุดวันละ 1 มื้อ เท่ากับจะต้องเตรียมอาหารถึง 1,800 มื้อเป็นอย่างน้อยเข้าไปข้างใน ซึ่งไม่มีที่พอในถ้ำ และจะต้องใช้การดำน้ำเข้าออกถึง 18 เที่ยว ดังนั้นการให้เด็กรอจนหมดหน้าฝนจึงเป็นทางเลือกที่เป็นไปไม่ได้ ยิ่งเมื่อพิจารณาจากฝนที่กำลังเข้ามาซึ่งอาจทำให้นักดำน้ำไม่สามารถส่งอาหารได้ครบตามที่คำนวณไว้

นาวาอากาศตรี Charles กล่าวเสริมว่าเขารู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่ไม่เพียงแต่มันจะเป็นข่าวดี แต่เด็ก ๆ ยังได้กลับไปพบผู้ปกครอง และนั่นคือสิ่งสำคัญที่อยู่ในใจของเขา

และหนึ่งในผู้ที่มีบทบาทสำคัญก็คือ Dr. Richard Harris และคู่บัดดี้ดำน้ำคือ Craig Challen ผู้ทำหน้าที่ตรวจสอบสุขภาพเด็กๆ และให้ยาระงับอาการตกใจก่อนที่จะนำเด็กออกมา รวมถึงประเมินสุขภาพเด็กตลอดทาง ซึ่งเขาเป็นฟันเฟืองสำคัญในความสำเร็จของภารกิจนี้

Jason Mallinson ยังบอกอีกว่าถ้าไม่มี Dr. Richard Harris ภารกิจนี้ก็ไม่มีทางสำเร็จ เพราะเขาอยู่กับเด็กๆ พูดกับเด็กๆ ทำให้เด็กสงบลง ด้วยความเชี่ยวชาญจากการเป็นแพทย์ฉุกเฉิน (คุณหมอ Harris เป็นแพทย์ในบริษัท medSTAR ซึ่งเป็นบริษัทขนย้ายผู้ป่วย - ผู้แปล)

ส่วนคู่บัดดี้ของคุณหมอคือ Craig Challen เผยว่าพวกเขาเกือบพลาดรับโทรศัพท์จากรัฐบาลไทยที่โทรมาขอความช่วยเหลือ เพราะเขาจัดกระเป๋าเตรียมไปเที่ยวทุ่ง Nullarbor ในออสเตรเลียใต้เรียบร้อยแล้ว แต่กลับกันพวกเขาต้องรื้อของทุกอย่างออก เตรียมอุปกรณ์ดำน้ำให้พร้อม และไปสนามบินภายใน 45 นาที

ทั้งสองเดินทางมาถึงถ้ำหลวงในวันที่ 6 ก.ค. ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ จ่าเอกสมาน กุนัน (ยศในขณะนั้น) เสียชีวิต เมื่อถูกถามว่าข่าวการเสียชีวิตของจ่าเอกสมานทำให้ตระหนักถึงอันตรายของภารกิจมากขึ้นหรือไม่ Craig Challen กล่าวว่า ไม่ต้องสงสัยว่านี่เป็นภารกิจที่อันตราย แต่เราซึ่งเป็นนักดำน้ำในถ้ำนั้นสามารถดูแลตัวเองได้เพราะนี่คือสิ่งที่เราทำมาตลอด แต่สำหรับคนอื่น ๆ และ #หน่วยซีล ของ #กองทัพเรือไทย ซึ่งแม้จะเป็นกลุ่มคนที่มีความสามารถสูงมากแต่นี่ไม่ใช่สภาวะแวดล้อมที่พวกเขาคุ้นเคยและได้รับการฝึกมา

นาวาอากาศตรี Charles Hodges เสริมว่าเมื่อจ่าเอกสมานเสียชีวิต ทุกคนพักภารกิจ ถอยออกมา และมาประเมินความเสี่ยงกันใหม่ว่ามีความเสี่ยงใดที่ยอมรับได้ แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ตระหนักว่ามันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร เพราะสุดท้ายก็ยังมีเด็ก ๆ และโค้ชที่ต้องช่วยออกมาอยู่ดี ดังนั้นยังไงเราก็ต้องเดินหน้าต่อ ดังนั้น แม้ว่าการเสียชีวิตของจ่าเอกสมานจะเป็นเรื่องที่น่าเศร้าและในใจของเขาก็ระลึกว่าจ่าเอกสมานคือวีรบุรุษของคนไทยและคนทั้งโลก แต่พวกเขาก็รอช้าไม่ได้ และพวกเขาจะไม่ปล่อยให้การเสียชีวิตของจ่าเอกสมานต้องสูญเปล่า

หลังจากการค้นพบเด็กๆ แล้ว ทีมกู้ภัยทุกคนเริ่มรู้ตัวลึกๆ ว่าการนำเด็กออกมาด้วยการดำน้ำคงต้องเป็นทางเลือกเดียว ทางหน่วยซีลของไทยได้เข้าพบกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของไทยเพื่ออธิบายให้ท่านฟัง รวมถึงทีมกู้ภัยทั้งหมดที่อธิบายแผนการเป็นขั้นเป็นตอนให้กับท่านรัฐมนตรีฟัง ซึ่งตัวนาวาอากาศตรี Charles Hodges มั่นใจว่าแผนจะได้รับการอนุมัติเพราะเขาเชื่อว่าแผนการนี้ได้ถูกออกแบบมาเป็นอย่างดี

...และตอนนี้สถานการณ์มาถึงจุดที่เหลือทางเลือกเพียงทางเลือกเดียว และถ้าไม่ตัดสินใจที่จะดำน้ำพาเด็กออกมา สถานการณ์จะกลายเป็นผู้ตัดสินใจให้เราแทน

พันจ่าอากาศเอก Derek Anderson หนึ่งในนักดำน้ำจากกองทัพอากาศสหรัฐกล่าวว่า หลังจากนั้นพวกเขาก็เริ่มฝึกกันในสระน้ำที่ได้รับอนุเคราะห์จากโรงเรียนละแวกนั้น และได้เด็กๆ มาเป็นตัวอย่างฝึก การฝึกเริ่มจากง่ายๆ และใช้อุปกรณ์จำลอง และเป็นการฝึกความเข้าใจก่อนที่จะเริ่มใช้อุปกรณ์จริง และเด็กตัวอย่างจริง ซึ่งก็จะเริ่มฝึกจากการใส่อุปกรณ์ให้เด็ก การนำเด็กดำน้ำ การส่งผ่านเด็กไปยังนักดำน้ำคนอื่น และพยายามลงรายละเอียดไปเรื่อยๆ จนมั่นใจว่าทุกคนได้ฝึกมากที่สุดเท่าที่ทักษะของตนจะมี ทุกคนได้ฝึกร่วมกัน และทุกคนจะทำให้ดีที่สุดแม้ว่าจะมีความเสี่ยงมากก็ตาม

จุดเล็กๆ อย่างข้อความของเด็กๆ ที่ Jason Mallinson เกิดไอเดียให้เด็กๆ เขียนออกมาให้ผู้ปกครองได้กลายเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สร้างกำลังใจชั้นดีที่ทำให้ทีมกู้ภัยมั่นใจมากขึ้น Jason Mallinson ยังย้ำถึงความกล้าหาญที่น่าทึ่งของเด็กๆ ที่เมื่อพวกเขาอธิบายแผนการให้เด็กๆ ฟัง ไม่มีใครเลยที่แสดงอาการตกใจหรือร้องไห้ เด็ก ๆ ยอมปฏิบัติตามภารกิจทั้งหมด ซึ่งมันน่าทึ่งมากเมื่อเทียบกับอายุของพวกเขา

…นาวาอากาศตรี Charles Hodges เล่าถึงช่วงสุดท้ายของภารกิจว่า เมื่อคุณรู้ว่าเด็ก ๆ ออกมากันหมดแล้ว หน่วยซีลของไทยออกมากันแล้ว ในตอน 4 ทุ่มที่ทุกคนยืนอยู่ตรงนั้นทุกคนก็ปล่อยให้อารมณ์กลับเข้ามาในจิตใจอีกครั้ง มันรู้สึกได้ว่าทุกคนได้ทำอะไรสักอย่างสำเร็จ ทุกคนที่มาจากต่างที่กันมาทำงานด้วยกัน และโลกก็เฝ้ามองอยู่ Craig Challen เสริมว่าเขารู้สึกโลงมาก แต่หน่วยซีลของไทยยังมีงานต้องจัดการ ดังนั้นเขาจึงออกมากันช้ากว่า 2-3 ชั่วโมง

ซึ่งนั่นก็ทำให้มีเรื่องดราม่าในตอนสุดท้ายของภารกิจจนได้ พันจ่าอากาศเอก Derek Anderson สารภาพตามตรงว่ามันอาจจะเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ แต่ ณ วินาทีนั้นปั้มน้ำหนึ่งตัวในโถง 3 เสีย และยังมีคนอีกจำนวนหนึ่งรอรับหน่วยซีลกลุ่มสุดท้ายให้ออกมา เมื่อได้รับแจ้งว่าระดับน้ำกำลังเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทุกคนตื่นเต้นมาก แต่สุดท้าย ทุกคนออกมาได้อย่างปลอดภัย...”




กำลังโหลดความคิดเห็น