xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

เบื้องลึกโศกนาฎกรรม “เรือล่มภูเก็ต” ระบบดูแลความปลอดภัย “ต่ำ” เชื้อชั่ว “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” ซ้ำเติม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ปฏิบัติการกู้ภัยถ้ำหลวงจบลงแบบโลกต้องจารึกในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ แต่ปฏิบัติการกู้ชีวิตนักท่องเที่ยวชาวจีนและการกู้ชื่อเสียงการท่องเที่ยวไทยแลนด์ดินแดนแห่งรอยยิ้มจากเหตุเรือล่มกลางทะเลภูเก็ตยังต้องว่ากันอีกยาว ความสูญเสียที่ประเมินค่าไม่ได้คราวนี้ “พี่ใหญ่” ยังพลั้งปาก “จีนทำร้ายกันเอง” จนเกิดดรามาสนั่นโซเชียลแดนมังกรซึ่งผิดหวังและเจ็บปวดใจอย่างรุนแรงจนออกมาขอโทษแทบไม่ทัน ขณะเดียวกัน “บิ๊กตู่” ต้องรีบแอ่นอกขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไทยพร้อมที่จะดูแลช่วยเหลืออย่างเต็มที่หลังจากรัฐบาลจีนไม่พอใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

โศกนาฎกรรมครั้งนี้ รายงานล่าสุดเมื่อเย็นวันที่ 11 มิ.ย. 2561 นายนรภัทร ปลอดทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต แถลงว่า มีผู้ประสบภัยทั้งหมด 89 คน รอดชีวิต 42 คน เสียชีวิต 46 คน สูญหาย 1 คน (ติดอยู่ใต้ซากเรือ) รักษาอยู่ที่โรงพยาบาลองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต 6 คน โรงพยาบาลวชิระ 1 คน เดินทางกลับประเทศแล้ว 10 คน ยังอยู่ในประเทศไทย 25 คน จากจำนวน 46 ศพ สามารถพิสูจน์อัตลักษณ์บุคลได้แล้ว 43 คน 2 คนกำลังรอ DNA อีก 1 ศพกำลังลำเลียงไปโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต

หลังเกิดเหตุร้ายกระแสข่าวต่างพุ่งเป้าไปที่ “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” ซึ่ง “รัฐบาล คสช.” เคยยกให้เรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติ โดยร่วมมือกับรัฐบาลจีนตั้งเป้าไล่ลุยล้างให้สิ้นซาก แต่ภาพสะท้อนที่เกิดโศกนาฎกรรมใหญ่ครั้งล่าสุดที่มีนักท่องเที่ยวชาวจีนตายกว่าครึ่งร้อยชีวิตเห็นได้ชัดว่าปราบยังไงก็ไม่มีวันหมด ซึ่งนั่นเป็นปมปัญหาใหญ่ปัญหาหนึ่ง

แต่อีกปมใหญ่ที่ต้องไม่ลืมอย่างเด็ดขาดก็คือ ระบบการดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยวของรัฐบาลไทยแลนด์แดนกะลา ไม่เคยพัฒนาให้ศิวิไลซ์และก้าวไกลไปพร้อมๆ กับการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่นำเม็ดเงินเข้าประเทศปีหนึ่งๆ มหาศาลนับล้านล้านบาท โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยวพิสมัยเข้ามาเที่ยวไทยมากมายเกือบครึ่งหนึ่งของจำนวนประชากรไทยทั้งประเทศเลยทีเดียว

ระบบดูแลความปลอดภัยต่ำ ทั้งที่ทำรายได้หลักล้านล้าน

ดูจากข้อมูลของกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่า ในปี 2560 ที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากกว่า 35 ล้านคน สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวมากกว่า 1.8 ล้านล้านบาท โดยมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่สุด คือ นักท่องเที่ยวชาวจีนเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยถึงกว่า 9.8 ล้านคนในปี 2560 และสร้างรายได้ให้กับประเทศมากกว่า 5 แสนล้านบาท โดยนายพิริยะ เข็มพล เอกอัครราชทูตไทยประจำสาธารณรัฐประชาชนจีน กล่าวในงาน Thai Festival 2018 ที่กรุงปักกิ่ง เมื่อปลายเดือนมิ.ย. ที่ผ่านมาว่า ตัวเลขการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวจีน ที่เดินทางไปเที่ยวในประเทศไทยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2561 เพิ่มขึ้น 27 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 5 ล้านคน

อีกด้านหนึ่งที่มาพร้อมกันนั้น ก็คือ ประเทศไทยถูกจัดอันดับกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตเนื่องจากการท่องเที่ยวที่ 132 จาก 141 ประเทศทั่วโลก สถิติข้อมูลของกองมาตรฐานความปลอดภัยการท่องเที่ยว กรมการท่องเที่ยว พบว่า จำนวนนักท่องเที่ยวที่บาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทั้งทางบกและทางทะเลใน พ.ศ. 2560 สูงถึง 936 คน เพิ่มขึ้นจากปี 2559 ร้อยละ 25.12 จำนวนนักท่องเที่ยวที่เสียชีวิต จำนวน 265 คน และบาดเจ็บ จำนวน 671 คน โดยนักท่องเที่ยวชาวจีน จะเสียชีวิตจากอุบัติเหตุมากที่สุด สะท้อนให้เห็นถึงความหละหลวมในเรื่องความปลอดภัยด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทยที่ต้องเร่งแก้ไข

กรณีเรือล่มที่ภูเก็ตครั้งนี้ ถือเป็นกรณีตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด และเป็นประเด็นที่รัฐบาลจีนต้องการให้รัฐบาลไทย ตอบคำถามให้ชัดเจนด้วยว่า เกิดเหตุขึ้นได้อย่างไร มีความบกพร่องหละหลวมตรงไหน ระบบดูแลความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวซึ่งเป็นพลเมืองของเขาที่ทำเงินให้ประเทศไทยปีหนึ่งไม่ใช่น้อยนั้นเป็นยังไง อย่าคิดว่าจะสอบสวนกันไปแบบลูบหน้าปะจมูกแล้วจะจบง่ายๆ ดูแถลงการณ์ของรัฐบาลจีนที่ออกมาเรียกร้องต่อรัฐบาลไทยทันทีในวันเกิดเหตุเมื่อวันที่ 5 ก.ค. 2561 ก็จะเห็นความกร้าวร้าวของประเทศมหาอำนาจแห่งตะวันออก

“ขอให้ฝ่ายไทยเร่งดำเนินการระดมกองกำลังทั้งหมดเพื่อค้นหาและกู้ภัยพลเมืองจีนอย่างสุดกำลังและความสามารถ รวมทั้งดูแลนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ได้รับความช่วยเหลือ รักษาเยียวยาผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างเต็มที่ และดูแลครอบครัวผู้ประสบอุบัติเหตุทั้งหมดเป็นอย่างดี หวังว่าฝ่ายไทยจะเร่งตรวจสอบสาเหตุของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และแจ้งให้ฝ่ายจีนทราบถึงความคืบหน้าของการค้นหาและกู้ภัยอย่างทันท่วงที”

เป็นข้อเรียกร้องต่อเหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้นจากทางการจีนเป็นไปอย่างฉับพลันทันที ขณะที่ผู้นำของไทย กว่าจะสนองตอบด้วยการขยับตัวยกคณะลงไปปลอบขวัญผู้บาดเจ็บ สูญเสีย ในพื้นที่เกิดเหตุก็อีก 4 วันถัดมา ช้าไปไหม?

นายหลู่ เจี้ยน เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน กล่าวว่า ทั้งไทยและจีนให้ความร่วมมือในการค้นหาผู้สูญหายอย่างเต็มความสามารถ รอบครอบและรวดเร็วที่สุด แม้ว่าความเป็นไปได้จะเหลือน้อยแค่ 1% ก็ตาม โดยเฉพาะในประเด็นสาเหตุของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นและการสืบสวนสอบสวนดำเนินคดี ขณะนี้ทางการจีนได้ส่งผู้เชียวชาญมาร่วมสำรวจหาสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุด้วยแล้ว

ในการประชุมหารือระหว่างนายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬากับเอกอัครราชทูตจีน นอกจากจะค้นหาผู้สูญหายจนกว่าจะพบทั้งหมดดูแลผู้บาดเจ็บและครอบครัวผู้เสียชีวิตแล้ว ยังจะร่วมกันสืบเสาะหาสาเหตุของโศกนาฏกรรมครั้งนี้ว่าเกิดจากอะไร มีใครที่เข้าไปเกี่ยวข้องที่จะต้องดำเนินการเอาผิดตามกฏหมาย รวมทั้งสืบสวนสอบสวนในทางลับให้ถึงขบวนการที่ทำให้เกิดธุรกิจการให้บริการของเรือลำนี้

เมื่อเป็นเช่นนี้ การที่จะตัดตอนไปว่าเป็นปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญที่ว่า “คนจีนทำร้ายกันเอง” แบบได้แพะเป็นทัวร์ศูนย์เหรียญ แล้วออกปฏิบัติการไล่ล่ากันสักพักใหญ่ๆ เหมือนที่ผ่านๆ มาแล้วก็เลิกราสร่างซากันไป เพราะดันไปเจอตอ “คนมีสี” แบ็กอยู่เบื้องหลังอย่างเคยๆ คงไม่อาจทำให้เรื่องจบลงง่ายปานนั้น แม้ว่าทัวร์ศูนย์เหรียญ จะเป็นหนึ่งในสาเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นแต่ไม่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะต้องยอมรับว่าระบบการดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยวของไทยมันไม่เวิร์ค ไม่งั้นคงจะเกิดเรื่องขึ้นซ้ำๆ ซากๆ จนคราวนี้เกิดเรื่องใหญ่เพราะนักท่องเที่ยวตายเยอะที่สุด


อาการเกรี้ยวกราดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในวันที่ลงพื้นที่ภูเก็ต เมื่อวันที่ 9 ก.ค. 2561 บ่งบอกถึงปัญหาความไม่พร้อมได้เป็นอย่างดี พล.อ.ประยุทธ์ ได้สอบถามว่าจำเป็นต้องมีระบบใดบ้างเพื่อเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยว โดยกล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า “หรือมีแค่นี้ก็พอใจแล้ว ควรจะมีระบบอื่นอะไรอีกไหม เคยไปดูงานต่างประเทศหรือเปล่า แล้วใครไปดูงานต่างประเทศ ก็ลูกพี่คุณไงเล่า หากไม่มีอะไรมาเปลี่ยนให้คุณ ก็ต้องไปด่าลูกพี่คุณ เข้าใจหรือเปล่า คุณต้องรู้ว่าเรือมันอยู่ตรงไหน ถ้าไม่มีก็ขอมา มีแต่ขอบ้าบอคอแตก อย่าเถียง ถ้าผมพูดไม่ถูกก็ว่ามา แต่ถ้าผมพูดถูก อย่าเถียง....

“ขอให้ดูแลรักษาความปลอดภัยนักท่องเที่ยวอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะการท่องเที่ยวกลางทะเลในช่วงนี้ ควรมีการแจ้งเตือนและกำชับห้ามนำเรือท่องเที่ยวออกอย่างเด็ดขาด และให้เรือตรวจการณ์ในทะเลคอยตรวจสอบ หากพบมีเรือฝ่าฝืนออกให้เร่งนำเรือเข้าฝั่งโดยทันที เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุเรือล่มเหมือนที่ผ่านมา ... จะต้องมีการเพิ่มเติมในด้านของเทคโนโลยี โดยปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ... จะต้องมีการตรวจสอบว่าออกเรืออย่างถูกต้องหรือไม่ มิเช่นนั้นความผิดก็จะกลับมาที่เจ้าหน้าที่ เราไม่สามารถหยุดการสูญเสียที่เกิดขึ้นไปแล้วได้ แต่เราจะต้องทำให้ไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป”

เป้าหมายของนายกรัฐมนตรีที่ว่า “... เราจะต้องทำให้ไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป” นั้น จะเป็นเพียงแค่การวาดฝันในอากาศหรือไม่ เพราะเอาแค่ระดับเบสิกสุด คือ การเตือนภัย ในกรณีที่เกิดขึ้นนี้ ยังมีความสับสนอยู่ว่ามีการแจ้งเตือนหรือไม่ เตือนระดับไหน แบบซีเรียสหรือแบบรูทีน และเตือนแล้ว ห้ามแล้ว ไม่ฟังมีบทลงโทษหรือไม่ คำตอบคือ ไม่มี ซึ่งก่อนเกิดเรื่องเศร้างครั้งนี้บ้างก็ว่า กรมอุตุนิยมวิทยา มีการแจ้งเตือนตั้งแต่วันที่ 4 ก.ค. เป็นต้นมาแล้ว ตำรวจท่องเที่ยวก็เตือนแล้ว แต่บางกระแสก็ว่าแจ้งเตือนตอนที่เรือลอยลำอยู่กลางทะเลแล้ว และเตือนก่อนเกิดเหตุแค่หนึ่งชั่วโมง

“.... กรมอุตุนิยมวิทยาก็เตือนให้ระวังวันที่ 4-6 ก.ค.แล้ว แต่เขาไม่ฟัง เป็นเพราะคนขับเรือ เจ้าของเรือ ออกไปโดยไม่ฟังคำเตือนของกรมอุตุนิยมวิทยา เจ้าของเรือและคนขับเรือจึงถือว่ามีความผิด ต้องมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวน .... พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 6 ก.ค. ที่ผ่านมา ก่อนจะพลั้งปากจนเป็นเรื่องในการตอบคำถามนักข่าวที่ว่าจะเรียกความเชื่อมั่นจากนักท่องเที่ยวยังไงว่า “.....นักท่องเที่ยวจีนเป็นคนทำนักท่องเที่ยวจีน จะไปเรียกความเชื่อมั่นยังไง เรื่องของนักท่องเที่ยวเขา เรื่องของเขา เขาทำเรือของเขาเอง เขาฝ่าฝืน ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเรา แล้วจะให้เราไปเรียก (ความเชื่อมั่น) ยังไง ก็เป็นเรื่องของเขา...”

จุดกระแสดรามาในโลกโซเชียลของจีน ไม่พอใจเป็นอันมาก มีการส่งต่อและแสดงความเห็นต่อคลิปดังกล่าวในวงกว้าง ยกตัวอย่างเช่นมีผู้เข้าไปแสดงความเห็นใต้คลิปวิดีโอดังกล่าวที่ถูกเผยแพร่ทางเวยป๋อ (สื่อสังคมออนไลน์ของจีน) ตำหนิ พล.อ.ประวิต รอย่างรุนแรงว่า ปัดความรับผิดชอบและต้องการให้ออกมาขอโทษ จนช่วงเช้าวันอังคาร (10 ก.ค.) ก่อนเข้าประชุม ครม. พล.อ.ประวิตร เอ่ยคำขอโทษ “ไม่มีอะไรหรอก เป็นคนละเรื่องกัน การทำผิดเรื่องหนึ่ง การช่วยเหลือเรื่องหนึ่ง ถ้าผมพูดอะไรไม่พอใจก็ขอโทษ ผมได้รับรายงานมาอย่างนั้นจริงๆ ขออย่านำมาปนกัน”

พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว (รอง ผบช.ทท.) ก็โพสต์ทางเพจเฟซบุ๊ก "สุรเชษฐ์ หักพาล" เมื่อวันที่ 6 ก.ค. 2561 ว่า “ระวัง ... อย่าล้อเล่นกับภัยธรรมชาติ ตำรวจท่องเที่ยว เตือนผู้ประกอบการทัวร์จังหวัดภูเก็ตแล้วว่า #อย่านำเรือออกจากฝั่ง แต่ก็ยังฝ่าฝืนคำสั่ง โดยการนำนักท่องเที่ยวต่างชาติออกไปในทะเลอันดามัน ในขณะที่คลื่นลมอยู่ในขั้นวิกฤตหนัก เป็นเหตุให้ขณะนี้นักท่องเที่ยว “ยังสูญหายไม่ทราบชะตากรรม” อีกหลายสิบราย

“บิ๊กโจ๊ก” ยังขึงขังหลังเกิดเหตุว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เรียกเจ้าของเรือทั้ง 2 ลำมาสอบปากคำพูดคุยในเรื่องการเยียวยา พร้อมทั้งประสานให้ ผกก.สภ.ฉลอง ดำเนินคดีอาญาต่อคนขับเรือและนายท้ายเรือ ฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต ส่วนเรือที่กู้ขึ้นมาก็ยึดเป็นของกลาง กรณีนี้ถือว่าคนขับเรือไม่ฟังคำเตือนของกรมอุตุนิยมวิทยา เรือเล็กห้ามออกจากฝั่ง แต่เรือขนาดกลางก็ควรระมัดระวังด้วย ไม่ควรฝ่าฝืนเพื่อหวังประโยชน์ส่วนตน

ต่อมา ตำรวจได้แจ้งข้อกล่าวหานายเมธา หลิมสกุล อายุ 58 ปี กัปตันเรือเซเรนาต้า ซึ่งบรรทุกนักท่องเที่ยวรวมลูกเรือประมาณ 40 คน โดยเรือล่มบริเวณเกาะไม้ท่อน จ.ภูเก็ต ว่ากระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ และนายสมจริง บุญธรรม อายุ 50 ปี กัปตันเรือฟินิกซ์ ข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและได้รับบาดเจ็บสาหัส และได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ

เตือนไม่ฟังสั่งห้ามเรือออกทะเลได้หรือไม่ พล.ร.อ.นริส ประทุมสุวรรณ ผู้บัญชาการทหารเรือ ให้คำตอบว่า “โดยหลักกฎหมายแล้วเราไม่สามารถสั่งห้ามเรือนำเที่ยวออกทะเลได้ หน่วยงานรัฐทำได้เพียงแค่ประกาศแจ้งเตือนถึงสภาพอากาศที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน แต่ในข้อกฎหมายไม่สามารถห้ามได้....หลังจากนี้หน่วยงานภาครัฐทุกภาคส่วนจะบูรณาการร่วมกันในการแก้ไขปัญหาการท่องเที่ยวทางทะเลทั่วประเทศเพื่อไม่ให้เกิดปัญหานี้ซ้ำอีก”

อีกหน่วยงานหนึ่งที่มีหน้าที่แจ้งเตือนความเสี่ยงภัยพิบัติ ตลอดจนสภาพอากาศต่างๆ คือ “ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ” ในสังกัดกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย หรือ ปภ. กระทรวงมหาดไทย แต่ก็ทำได้แค่ประกาศเตือนเท่านั้น หากสถานการณ์เข้าขั้นวิกฤติ เห็นว่าต้องห้ามเรือออกจากฝั่ง ปภ. หรือ “ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ” ก็ไม่มีอำนาจสั่งห้ามเรือออกจากฝั่ง ทำได้เพียงทำรายงานถึงผู้ว่าราชการจังหวัด แล้วให้ผู้ว่าฯ เป็นผู้สั่งการเองว่าจะให้หน่วยงานใดออกเฝ้าระวังไม่ให้เรือออกจากฝั่ง เช่น กองทัพเรือ หรือกรมเจ้าท่า

อีกหน่วยที่มีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยว คือ กองมาตรฐานและกำกับความปลอดภัยนักท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ซึ่งมีหน้าที่จัดทำมาตรฐานความปลอดภัย เสนอแนะนโยบาย มาตรการและแนวทางเสริมสร้างความปลอดภัยการท่องเที่ยว สร้างและพัฒนามาตรฐานระบบกลไกการเฝ้าระวัง ป้องกัน และเตือนภัยทางการท่องเที่ยว

ส่วนกรมเจ้าท่า เทคแอ็คชั่นแข็งขันหลังเหตุการณ์ โดยออกประกาศสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค สาขาภูเก็ต ตามคำสั่งจังหวัดภูเก็ตที่ 3045/2557 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาห้ามเรือโดยสารออกจากฝั่งกรณีคลื่นลมแรง เพื่อป้องกันอุบัติเหตุทางน้ำ และให้การปฏิบัติการสั่งห้ามเรือโดยสารออกจากฝั่ง กรณีมีมรสุมคลื่นลมแรงตามประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา

เห็นๆ กันว่า ทำแค่เตือนกันไปตามหน้าที่รูทีนเท่านั้น พอเกิดเหตุทีหนึ่งก็ทำท่ากุลีกุจอจะวางระบบแก้ไขป้องกันทีหนึ่งแล้วก็สร่างซาไป อย่างเมื่อต้นปีที่เกิดเหตุสปีดโบ๊ทชนกันบริเวณอ่าวสะปำ ปากทางเข้าท่าเทียบเรือรอยัลภูเก็ตมารีน่า ตำบลเกาะแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต เมื่อวันที่ 16 ม.ค. 2561 จนทำให้นักท่องเที่ยว และลูกเรือบาดเจ็บนับสิบคน นายจิรุตม์ อธิบดีกรมเจ้าท่า ก็ว่าจะต้องบูรณาการร่วมกับตำรวจท่องเที่ยว ตำรวจในท้องที่ ผู้ประกอบการ จะต้องตรวจสภาพเรือปีละครั้ง ตรวจดูใบอนุญาต นายท้ายเรือ จัดอบรมพนักงานเรือให้มากขึ้น

คราวนั้น “บิ๊กโจ๊ก” ก็ว่าต้องบังคับใช้กฎหมายเข้มงวดทุกส่วน ทั้งเรื่องคน เรื่องเรือ โดยกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว จะบูรณาการกับกรมเจ้าท่า ตำรวจพื้นที่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการตรวจเรือในจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญทางทะเลทุกจังหวัดเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นให้ได้ แต่สุดท้ายก็เห็นแล้วว่า “ดีแต่พูด” และทำนายได้เลยว่ายังจะเป็นเช่นนี้อยู่ต่อไป ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อยังมองไม่เห็นความพร้อมของเรือตรวจการณ์ชายฝั่ง ที่จะคอยแจ้งเตือนและห้ามเรือออกจากฝั่งเมื่อมีคำเตือนว่าจะเกิดพายุมรสุมคลื่นลมแรงอย่างจริงจัง และเห็นระบบความช่วยเหลือที่ฉับพลันทันที เรือทุกลำติดจีพีเอส สามารถติดตามได้ มีระบบซักซ้อมป้องกันและระงับเหตุเป็นประจำ ไม่ใช่มีระบบเตือนภัยที่เป็นแค่งานรูทีนเท่านั้น

อย่าลืมว่าประเทศไทย มีรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นสำคัญ การเพิ่มจำนวนเรือตรวจการณ์ชายฝั่งที่จะได้ใช้ประโยชน์มากกว่าเรือดำน้ำดีไหม ที่สำคัญใคร หน่วยไหน ที่จะเป็น “เจ้าภาพหลัก” หรือหน่วยงานรับผิดชอบโดยตรง จังหวัด กรมเจ้าท่า กองทัพเรือ ตำรวจท่องเที่ยว กระทรวงท่องเที่ยวฯ หรือมีแต่คำว่า “บูรณาการ” กันไปเรื่อยๆ เกิดเหตุทีก็ตื่นตัวกันที

อย่าให้กรณีการตายหมู่ของนักท่องเที่ยวกลางทะเลภูเก็ต เป็นมหกรรมสร้างภาพการวางมาตรการคุมเข้มเกิดขึ้นเพื่อป้องกันความเสี่ยงของธุรกิจการให้บริการนักท่องเที่ยว แต่สักพักเดียวการคุมเข้มก็จะกลายเป็น “ความหย่อนยาน” เหมือนเดิม เนื่องจาก “ผลประโยชน์” และความเห็นแก่ตัวของนายทุน รวมทั้งในธุรกิจการท่องเที่ยวที่มี “มาเฟีย” เข้ามาบริหารจัดการ จนกฎหมาย กฎระเบียบ หรืออำนาจรัฐตกอยู่ใต้อำนาจเถื่อนของมาเฟีย ซึ่งมีลักษณะเดียวกันหมดสำหรับเมืองท่องเที่ยวของประเทศไทย ข้อสันนิฐานจะใช่ ไม่ใช่ รอดูกันต่อไปว่าจะกลายเป็นเรื่องซ้ำซากอย่างว่าหรือไม่?

เชื้อชั่ว “ทัวร์ศูนย์เหรียญ”
ไม่ใช่แต่ความหย่อนยานและระบบดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยวไม่เอาอ่าวจนท่านผู้นำออกอาการเกรี้ยวกราดเท่านั้น เหตุแห่งโศกนาฏกรรมเรือท่องเที่ยว “ฟีนิกซ์”และเรือยอชต์ “เซเรนาต้า” เจอคลื่นซัดจนอับปางกลางทะเล จ.ภูเก็ต จนส่งผลกระทบต่อธุรกิจท่องเที่ยวไทยอย่างย่อยยับ ยังสะท้อนว่า “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” เป็นเชื้อชั่วที่ไม่ยอมตาย โดยทุกเสียงต่างพูดตรงกันว่า เหตุที่เรือล่ม เพราะ “บริษัททัวร์” ฝ่าฝืนคำเตือนของกรมอุตุนิยมวิทยาและตำรวจท่องเที่ยวนำเรือออกจากฝั่ง ภายหลังเกิดเหตุมีการระบุว่า “บริษัททัวร์” ที่ว่า เป็น “นอมินีทุนจีน” รับจัดกรุ๊ปทัวร์ราคาถูก หรือที่เรียกกันว่า “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” นั่นเอง

อย่างที่อาจารย์เกษมสันต์ วีระกุล นักวิชาการอิสระ โพสต์รูปภาพลงในโลกโซเชียล เมื่อวันที่ 8 ก.ค. 2561 บ่นหน่วยงานราชการไทยจากเหตุการณ์เรือหรูล่มที่ จ.ภูเก็ต หลังปล่อยกลุ่มทุนต่างชาติเข้ามาหากินพร้อมทำลายทรัพยากรในประเทศว่า “ความจริงที่เจ็บปวดของการท่องเที่ยวภูเก็ตคนจีนใช้นอมินี (คนไทย) จดทะเบียนเป็นเจ้าของ โรงแรม เรือ รถบัส ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก คนจีนมาเที่ยวเยอะ แต่รายได้เข้ากระเป๋าคนจีนหมด แม้แต่ไกด์ยังใช้คนจีน คนไทยไม่ได้อะไรเลย นอกจากทรัพยากรถูกทำลาย ทำธุรกิจมักง่ายเอาแต่ได้ เกิดอุบัติเหตุมีคนตาย ประเทศไทย คนไทย ธุรกิจไทยเสียหาย ต้องเอาผิดให้หนักทั้งคนจีน นอมินี และหน่วยงานที่ปล่อยปละละเลย”

มีรายงานระบุว่า เจ้าของเรือฟีนิกซ์ คือ บริษัท ทีซี บลู ดรีม จำกัด ก่อตั้งปี 2559 มี คนไทยถือหุ้น 100% ขณะที่เจ้าของเรือเซเรนาต้า คือ “บริษัท เลซี่ แคท ทราเวล จำกัดก่อตั้งปี 2557 มี คนไทย ถือหุ้น 75% ที่เหลือ 25% เป็น “คนจีน” .. ซึ่งก็เป็น “เทคนิคเลี่ยงกฎหมายไทย” อันเป็นผลพวงจากการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญอย่างจริงจัง ตั้งแต่ปี 2558 ทำให้นายทุนจีนไม่สามารถเข้ามาถือครองกิจการในประเทศไทยได้ด้วยตนเอง ต้องดำเนินการผ่านนอมินีคนไทย

เรือฟีนิกซ์เป็นเรือ 2 ชั้น เลขทะเบียนเรือ 60002210 ตัวเรือเป็นเหล็ก ชนิดเรือกล ประเภทเรือกลเดินทะเลเฉพาะเขต ขนาดกว้าง 6.50 เมตร ยาว 29.13 เมตร ลึก 3.50 เมตร ขนาด 287.00 ตันกรอส มี 2 เครื่องยนต์ บรรทุกผู้โดยสารได้ 120 คน ราคา 11,770,000 บาท วันที่จดทะเบียน 18-08-2560 วันหมดอายุใบอนุญาต 17-08-2561 สำนักงานทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์สาขาภาคใต้เขต 2 ตรวจสอบแล้ว พบว่าเรือฟีนิกซ์มีใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวในนามของบริษัท ทีซี บลู ดรีม จำกัด เลขที่ใบอนุญาต 34/01799 มีประกันอุบัติเหตุนักท่องเที่ยวกับบริษัท กรุงเทพประกันภัย กรณีเสียชีวิต 1 ล้าน และรักษาพยาบาล 5 แสนบาท

นายจาง เหวินหาว สามีชาวจีนของ น.ส.วรลักษณ์ ฤกษ์ชัยการ เจ้าของเรือฟีนิกซ์ และบริษัท ทีซีบลู ดรีม จำกัด ได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ซินจิงเป้า มีข้อความบางส่วน ระบุว่า บ.ทีซีบลู ดรีม ซึ่งภรรยาของตนเป็นกรรมการ ได้สั่งต่อเรือ “ฟีนิกซ์” ตั้งแต่ปี 2559 หลังจากที่ได้รับใบอนุญาตก็นำเรือให้บริการกับนักท่องเที่ยวในช่วงเดือน ก.ย. 2560 โดยเรือฟีนิกซ์เป็นเรือลำเดียวที่ทางบริษัทเป็นเจ้าของซึ่งภรรยาชาวไทยเป็นคนจัดการเรื่องต่างๆ ส่วนตนนั้นเป็นครูสอนดำน้ำ โดยในบริษัทนอกจากกัปตันเรือและลูกเรือแล้ว พนักงานส่วนอื่นๆ ก็เป็นคนจีนทั้งหมด “... บริษัทอย่างของพวกผมนี่ในภูเก็ตก็มีอยู่หลายแห่ง” จาง เหวินหาว ระบุ

เรื่องเช่นนี้มีหรือ “บิ๊กโจ๊ก” จะไม่รู้เรื่อง เพราะคล้อยหลังเหตุการณ์ไม่นาน รอง ผบช.ท่องเที่ยว ก็ออกมาร่ายยาว “ขบวนการทัวร์ศูนย์เหรียญ” เป็นฉากๆ ว่ารู้ตัวหมดแล้ว อยู่ในเครือข่ายเดิมๆ และจะต้องปราบให้สิ้นซาก โดยการปฏิบัติการในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติอย่างจริงจัง ภูเก็ตและอันดามัน เรื่องของนอมินีข้ามชาติจะต้องหมดสิ้น และเหตุเรือล่ม เรือไฟไหม้จะต้องไม่เกิดขึ้นอีกแล้วถ้าสาเหตุเกิดจากนอมินี ยกเว้นเหตุที่เกิดจากภัยธรรมชาติ

“.... นอมินีข้ามชาติเข้ามาใช้ทรัพย์กรในประเทศไทย ในภูเก็ต ในอันดามัน แต่รายได้ไม่เข้าประเทศไทย เข้ามาแย่งพื้นที่ แย่งอาชีพของคนไทย ถ้าไม่ปราบวันนี้คนไทยในพื้นที่จะต้องถอยให้แก่นอมินีต่างชาติจนไม่มีที่ยืน เพราะฉะนั้น เราจะต้องทำให้คนไทยที่เสียภาษีมีที่ยืน เรื่องการปราบปรามผู้ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดในครั้งนี้ทุกคน รวมทั้งในส่วนของเจ้าหน้าที่รัฐที่ร่วมกระทำความผิดในครั้งนี้โดยเด็ดขาด ซึ่งหลังมีข่าวจะมีการปราบปราม ตอนนี้เจ้าของเรือบางรายลักลอบนำเรือออกจากภูเก็ตไปแต่ไม่เป็นไรหนีไปไหนเราก็ตามได้อย่างแน่นอน

“... วันนี้ผมมาถึงภูเก็ตแล้วยังไม่เลิกก็จะต้องใช้มาตรการทางกฎหมายจัดการทุกกรณี เช่นเดียวกับที่มีการดำเนินการกับบริษัท ทรานลี่ ที่ได้มีการดำเนินการไปแล้ว .... จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า มีความเชื่อมโยงกับบริษัท ทรานลี่ เดิมแต่มีการเปลี่ยนรูปแบบในการดำเนินงาน ซึ่งขณะนี้เรารู้ตัวบุคคล รู้อะไรหมดแล้ว จากการตรวจสอบมีความผิดหลายส่วน ทั้งเรื่องของการบุกรุกป่าสงวน ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ถ้าคนที่ทำผิดอยู่ และรู้ตัวก็เลิกไปเลย” “บิ๊กโจ๊ก” กร้าวเอาจริงก่อนลุย 11 พื้นที่เป้าหมายกวาดล้างนอมินีต่างชาติโดยเฉพาะชาวจีนในภูเก็ตในวันถัดมา

เวลานี้ ทั้งชาวไทยและชาวจีน ต่างจับจ้องคำอวดโอ่ที่ว่าจัดการไม่ยากเพราะเครือข่ายเหล่านี้เป็นเครือข่ายเดิมๆ ของ “ทรานลี ทราเวล” และ “ฝูอัน ทราเวล” ที่ถูกปราบหนักเมื่อปี 2559 จนนายทุนจีนหลายรายต้องหนีออกนอกประเทศ จะจริงดังว่าหรือไม่ ดูจากรอบที่แล้วหากไล่เบี้ยกันจริงๆ เหตุที่การปราบปรามเกิดสะดุดขึ้นมาเพราะอะไร และเพราะใคร ที่ปล่อยให้ “แก๊งทัวร์ศูนย์เหรียญ” ยังแปลงร่างอยู่ต่อได้หลังรัฐบาล คสช.กวาดล้างขนานใหญ่ ตามวาระที่ “สี จิ้น ผิง” ประธานาธิบดีจีน เอ่ยปากฝากให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำจัดให้สิ้นซาก

ใช่หรือไม่ว่า “นายพลคนดัง” ไปสะดุด “ถุงขนม” ที่น้ำหนักถึง “300 กิโลฯ” จนทำให้เรื่องซาลงไป ทั้งการยึดทรัพย์ คดีความก็ถูกยกฟ้อง ปล่อยเครือข่ายที่เหลือรอดขยายพันธุ์จนเกิดความสูญเสียครั้งใหญ่ โศกนาฎกรรมความสูญเสียครั้งนี้ จึงต้องเอาผิดให้หนักทั้งคนจีน นอมินี และหน่วยงานที่ปล่อยปละละเลย ใช่ใหม “ท่านนายพล” ?




กำลังโหลดความคิดเห็น