ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรการกฤษฎีกา เผยแพร่ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่องเสร็จ ที่ 0993/2561 กรณี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) ขอหารือปัญหาข้อกฎหมาย กรณีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ขอใช้ที่ราชพัสดุ หลังจากมีการส่งความเห็นกลับไปยัง มทส. แล้ว
กรณี มทส. สอบถามความเห็นเรื่อง การถือครองที่ดินในเขตพื้นที่ ที่มทส.ได้รับอนุญาตให้ใช้ประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าอ่างเก็บน้ำห้วยบ้านยาง ต.สุรนารี อ.เมืองฯ จ.นครราชสีมา เนื้อที่รวม 6,911 ไร่ 3 งาน 64 ตารางวา ทั้งในส่วนของพื้นที่ 887 ไร่ ที่ มทส.มีข้อพิพาทกับราษฎร
“มทส.จะขอต่อสัญญาการใช้ที่ดินประมาณ 6,900 กว่าไร่ ที่จะหมดสัญญา มีนาคม 2562 จากกรมป่าไม้ จะมีจุดพิพาทกับที่ชาวบ้านไปร้องเรียนประมาณ 800 กว่าไร่”
ซึ่งกรณีนี้ เป็นปัญหากับชาวบ้านหนองบง หมู่ 5 ต"สุรนารี อ.เมืองฯ มีข้อพิพาทที่ดินทำกินกับ มทส. ตั้งแต่ปี 2536 ที่ มทส.ได้เริ่มมีการดำเนินการก่อสร้างอาคารต่างๆ ซึ่งชาวบ้านอ้างว่า “ทับที่ชาวบ้าน”ถึงขั้นมีการขับไล่ชาวบ้านออกนอกพื้นที่ในข้อหา“บุกรุก”
สืบเนื่องมาจากเมื่อปี 2532 กรมป่าไม้ได้อนุญาตให้ทบวงมหาวิทยาลัยใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าอ่างเก็บน้ำห้วยบ้านยาง เนื้อที่ 6,911 ไร่ 3 งาน 64 ตารางวา ตั้งอยู่ใน ต.ไชยมงคล และ ต.สุรนารี อ.เมืองฯ จ.นครราชสีมา เพื่อจัดตั้ง “มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี”
แต่มีพื้นที่บางส่วนที่กรมป่าไม้ได้อนุญาตประมาณ 887 ไร่ เกิดข้อพิพาทระหว่างชาวบ้านที่อ้างสิทธิทำกินในพื้นที่ดังกล่าวก่อนที่ มทส.จะเข้ามาก่อตั้ง ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พยายามร่วมกันแก้ไขปัญหาดังกล่าวอยู่หลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งคณะทำงานร่วมกัน ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบแนวเขตที่ดิน และเปิดโอกาสให้ชาวบ้านได้เข้ามาแสดงเอกสารสิทธิ แต่ปัจจุบันปัญหาดังกล่าวยังไม่สามารถหาข้อยุติได้ เนื่องจากความไม่ชัดเจนของระวางแนวเขตการใช้ประโยชน์ที่ดินขอมหาวิทยาลัย กับสิทธิของชาวบ้านที่ครอบครองที่ดินบริเวณดังกล่าว ซึ่งมีทั้งเอกสารสิทธิ เช่น โฉนดที่ดิน ส.ค. 1 น.ส.3 และไม่มีเอกสารสิทธิชาวบ้านอ้างว่า เมื่อปี 2558 ได้มีการก่อสร้างรั้วล้อมรอบบริเวณที่ทำกิน สร้างความเดือดร้อนเป็นต้นมา
เรื่องนี้ จ.นครราชสีมา มีการแก้ปัญหาต่อเนื่อง จนเมื่อ ปี 2557 สมัยนายธงชัย ลืออดุลย์ ผู้ว่าฯโคราช ได้แต่งตั้งให้ นายสุรพันธ์ ดิสสะมาน รองผู้ว่าฯ สมัยนั้น เป็นผู้ประสานรอยร้าวนี้ หลังสะสมปัญหามากว่า 30 ปี โดยเมื่อปี 2559 เคยมติที่ประชุมจังหวัด 5 ข้อ ไว้ว่า
1. ให้สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 8 จังหวัดนครราชสีมา ติดประกาศแนวป่าสงวนแห่งชาติ ให้ชัดเจนว่ามีพื้นที่ใดบ้าง
2. ให้สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 8 ดำเนินการแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ที่ขุดดินในพื้นที่ทั้งหมด
3.ให้ที่ดินจังหวัดนครราชสีมา ติดตามและเร่งรัดขอทราบผลการดำเนินการเพิกถอนที่ดินในพื้นที่มีข้อพิพาท หลังจากได้มีการออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบ ที่ได้มีการดำเนินการส่งไปตั้งแต่ ปี 2558 จากรมที่ดินที่เป็นผู้มีอำนาจในการพิจารณาในการเพิกถอนสิทธิ
4. ให้อำเภอเมืองนครรราชสีมา และ ท้องถิ่น อบต. แจ้งไปยังราษฎรให้นำเอกสารสิทธิที่มีผู้อ้างว่ามีการครอบครองอย่างถูกต้อนำมาแสดงและมายื่นเพื่อทำการตรวจสอบสิทธิของการครอบครองที่ดินอย่างถูกต้องที่ศูนย์ดำรงธรรม จ.นครราชสีมา เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง
5. เมื่อมีกรดำเนินการตรวจสอบ ให้ทำการประชุมทันที
ผ่านมากว่า 2 ปี เมื่อต้นปี 2561 พล.อ.วิทวัส รชตะนันทน์ ผู้ตรวจการแผ่นดิน ปฏิบัติหน้าที่แทนประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน และคณะ ลงดูพื้นที่พิพาทได้ขอให้ จ.นครราชสีมา ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตรวจสอบพิสูจน์เอกสารสิทธิ์และการถือครองที่ดินของประชาชนที่เข้าทำประโยชน์ในที่ดินเป็นรายๆ ไป พร้อมทำระวางแผนที่ผู้ครอบครอง โดยลงพิกัดและรายละเอียดว่าเป็นเอกสารสิทธิ์ประเภทใด ใครเป็นผู้ครอบครอง เนื้อที่เท่าใด เพื่อจำแนกผู้ถือครองที่ดินระหว่างผู้มีเอกสารสิทธิ์โดยชอบด้วยกฎหมาย และผู้ไม่มีเอกสารสิทธิ์
นอกจากนี้ ยังขอให้ทางจังหวัด ร่วมกับเทศบาลตำบลสุรนารี สำรวจและตรวจสอบประชาชนผู้ถือครองที่ดินที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ และส่งข้อมูลให้กรมป่าไม้เพื่อนำไปหาแนวทางบริหารจัดการแก้ไขปัญหาประชาชนผู้ยากไร้เพื่อให้มีที่ดินทำกินภายใต้โครงการของรัฐต่อไป และขอให้ มทส.ประสานกรมป่าไม้เพื่อพิจารณาคำขออนุญาตการเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติของ มทส. เพื่อให้การบริหารกิจการของมหาวิทยาลัยได้เกิดประโยชน์สูงสุด
มีข้อสรุปในวันนั้น ว่า หากเป็นราษฎรที่เข้ามาอยู่ก่อนปี 2510 (ก่อนประกาศเป็นเขตป่า) เนื่องจากได้ประกาศเป็นเขตป่า พ.ศ.2510-2532 หลังจากปี 2532 จึงได้เป็นมหาวิทยาลัย และพิจารณาว่าใน 887 ไร่ ใครที่มาอยู่ก่อน โดยข้อมูลจากเทศบาลตำบลสุรนารี มีผู้ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์กว่า 140 ราย ที่ดินกว่า 600 ไร่ ซึ่งต้องพิจารณาว่าเข้ามาอยู่โดยชอบหรือไม่ และได้ข้อยุติว่า มทส. ให้ออกคำวินิจฉัยว่า ให้ มทส.ยื่นขอใช้ประโยชน์ จาก 6,911 ไร่ ให้หักออก 887 ไร่ ซึ่งมี 2 ส่วน คือส่วนที่มีเอกสารสิทธิ์และไม่มีเอกสารสิทธิ์ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ
ขณะที่ “สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 8”ได้ทำข้อมูลสรุปถึง ผู้ว่าฯ นครราชสีมา ไว้ว่า
1. ป่าสงวนแห่งชาติอ่างเก็บน้ำห้วยบ้านยาง กำหนดให้เป็นป่าสงวนแห่งชาติตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 244 (พ.ศ.2510) ออกตามความในพ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507
2.กรมป่าไม้ โดยอนุมัติ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ได้อนุญาตให้ทบวงมหาวิทยาลัยเข้าทำประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าอ่างเก็บน้ำห้วยบ้านยาง ตามประกาศกรมป่าไม้ ฉบับที่ 32/2532 ลงวันที่ 18 มีนาคม2532 เนื้อที่ 6,911 ไร่ 3 งาน 64 ตารางวา
3. ในพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตแต่เดิมมีราษฎรยึดถือครองและเข้าทำประโยชน์อยู่ก่อนแล้ว ซึ่งได้มีการดำเนินการชี้แจงและผลักดันราษฎรผู้ถือครอง ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายที่ดิน และจ่ายเงินชดเชยให้แก่ผู้ถือครองที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ์ไปแล้ว แต่ยังมีราษฎร 2 ราย คือ นายไหล พิมพ์โคกกรวด และนายสำราญ พันชนะ ซึ่งเป็นผู้ครอบครองที่ดิน โดยมี นส. 3 และ ส.ค.1 จำนวน 55 ไร่ ไม่ยินยอมออกจากพื้นที่
4. ในขณะที่มีการรังวัดตรวจสอบแนวเขตพื้นที่ที่ มทส.ได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ เมื่อปี พ.ศ.2540 ปรากฏว่ามีราษฎรจำนวนประมาณ 40 คน เข้าขัดขวางการดำเนินการ จึงมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและหาแนวทางแก้ไขปัญหา โดยคณะกรรมการฯ ได้มีมติเห็นชอบตามแนวทางแก้ไขปัญหาที่คณะทำงานระดับอำเภอเสนอคือ ให้มทส. ส่งคืนที่ดินบริเวณที่มีปัญหาข้อพิพาทให้กรมป่าไม้ และขอให้กรมป่าไม้ส่งมอบที่ดินดังกล่าวให้ สปก.พิจารณาจัดสรรให้ราษฎรให้ถูกต้องตามกฎหมายต่อไป
5. ปัจจุบันการดำเนินการแก้ไขปัญหาพื้นที่ดังกล่าวยังไม่แล้วเสร็จ เนื่องจากทาง มทส.ยังมีความประสงค์จะใช้ที่ดินบริเวณดังกล่าว ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิสูจน์สิทธิ์ โดยมอบหมายให้สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 8 (นครราชสีมา) ดำเนินการจัดส่งแผนที่บริเวณที่มีปัญหาเพื่อแปลภาพถ่ายทางอากาศหาร่องรอยการทำประโยชน์
ล่าสุด นายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าฯโคราช (คนปัจจุบัน) เข้าไปคุยกับ รศ.ดร.วีระพงษ์ แพสุวรรณ อธิการบดี มทส.(คนปัจจุบัน) แล้ว
โดยจังหวัด มีข้อเสนอแนะ มทส. ว่า ควรขอต่ออายุหนังสืออนุญาต เพียงจำนวน 6,025 ไร่ ส่วนเนื้อที่ 887 ไร่ ที่มีปัญหาพิพาทกับราษฎรให้ชะลอการขออนุญาตไปก่อน เพื่อให้หน่วยงานที่รับผิดชอบพื้นที่ดำเนินการแก้ไขปัญหาก่อนการสมานฉันท์ สอดคล้องกับความเห็นของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และผู้ตรวจการแผ่นดินได้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง แต่ อธิการบดี มทส. ชี้แจงว่าการขออนุญาตดังกล่าวเป็นไปตามมติของสภามหาวิทยาลัยฯ
“มทส.จะขอต่อสัญญาการใช้ที่ดินประมาณ 6,900 กว่าไร่ จะหมดสัญญา มีนาคม พ.ศ.2562 จากกรมป่าไม้ จะมีจุดพิพาทกับที่ชาวบ้านไปร้องเรียนประมาณ 800 กว่าไร่ ซึ่งทางจังหวัดเคยแจ้ง มทส. ว่า ที่ดิน 800 กว่าไร่นี้ ให้ มทส. สละส่งคืนกรมป่าไม้ ซึ่งทางกรมที่ดินและกรมป่าไม้จะมาแก้ปัญหาเองว่า ใครมีเอกสารสิทธิ์ ทางจังหวัดก็จะมาพิสูจน์ว่าถูกต้องหรือไม่ ใครไม่ถูกต้องก็จะดำเนินการจับกุม หรือจัดการให้มีการเช่าตามระเบียบ”
ที่ผ่านมาจังหวัดเคยส่งข้อเสนอไปให้ มทส. พิจารณาแล้วว่า ให้นำพื้นที่ 800 กว่าไร่นี้ออก ไม่ต้องเก็บไว้เพราะ มทส. ก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์ แต่ มทส. กลับไม่ยินยอม
เรื่องนี้ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้ว่าฯโคราช และอธิการบดี มทส. ได้นำ ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่องเสร็จ ที่ 0993/2561 มาหารือกันแล้ว เพื่อที่จะให้ มทส. ขอต่อสัญญาแค่ 6,000 กว่าไร่ ส่วน 800 กว่าไร่นั้น ตัดออกเสีย แต่ทางอธิการบดีฯ อ้างว่า “สภามหาวิทยาลัย”ได้มีคำสั่งเรื่องนี้มาว่า จะขอเท่าเดิม ซึ่งต้องผ่านสภาเทศบาลตำบลสุรนารี แต่เทศบาลก็ไม่ได้นำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมแต่อย่างใด
สรุปได้ว่า ปัจจุบันการดำเนินการแก้ไขปัญหาพื้นที่ดังกล่าว ยังไม่แล้วเสร็จ เนื่องจากทาง มทส. ยังมีความประสงค์จะใช้ที่ดินบริเวณดังกล่าว ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิสูจน์สิทธิ์
ขณะที่ ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่องเสร็จ ที่ 0993/2561 กรณี มทส. ขอหารือปัญหาข้อกฎหมายกรณีขอใช้ที่ราชพัสดุ นั้น จ.นครราชสีมา และ มทส. ต้องปฏิบัติตามหรือไม่ หรือยังปล่อยให้เป็นปัญหากันต่อไป
ต้องรอดูว่า ข้อหารือเรื่อง “มทส.จะขอต่อสัญญาการใช้ที่ดินประมาณ 6,900 กว่าไร่ ที่จะหมดสัญญา มีนาคม พ.ศ.2562 จากกรมป่าไม้”สามารถทำได้จริง ไหม?


