ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ร้อนฉ่าอีกแล้วครับทั่น...แต่คราวนี้ย้ายจาก “สำนักภูเขาทอง” ไปที่ “สำนักวัดปากน้ำ” เมื่อ “ตุ๊แป๊ะ” หรือ “เจ้าคุณแป๊ะ-พระมหาศาสนมุนี” มือขวาของ “สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ แอบ “สึก” เงียบๆ จนสร้างความพิศวงงงงวยไปทั้งยุทธจักรดงขมิ้น แม้จะพอมีเค้าลาบอกเหตุมาก่อนว่า อนาคตกาลเบื้องหน้าไม่ช้านี้อาจจะไม่รอดจากวิบากกรรมที่ทำไว้ได้ก็ตาม
และได้รับคำยืนยันจาก “สุวพันธ์ ตันยุวรรธนะ” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในเวลาต่อมาว่า “ได้ข่าวมาว่าเขาลาสิกขาแล้ว แต่ยังไม่ได้รับรายงานอย่างเป็นทางการ กำลังให้ พศ.ไปตรวจสอบอยู่”
ที่สำคัญคือการสลัดผ้าเหลืองของ “ตุ๊แป๊ะ” ในครั้งนี้ ยังไปพัวพันกับ “สีกา” จนเป็นที่โจษขานกันว่า สึกหลังเจอ “ภาพหลุด” ว่อนโลกโซเชียลว่าดอดไปเที่ยวสิงคโปร์อีกต่างหาก
กล่าวสำหรับอดีต “หลวงพี่แป๊ะ” ซึ่งปัจจุบันคือนายธนกิจ สุภาโวนั้น ในช่วงที่ยังคงดำรงสมณเพศจัดเป็นพระ “ผู้มากบารมี” เนื่องด้วยเป็นพระอุปัฏฐากของสมเด็จช่วง เคยดำรงตำแหน่งสำคัญๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กรรมการหมู่บ้านศีล 5 รวมทั้งได้รับการแต่งตั้งจากมติของที่ประชุมสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) ให้เป็นคณะเลขานุการของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช มีอำนาจหน้าที่ในการสนองงาน กลั่นกรองงาน และเสนอข้อคิดเห็นอันเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติศาสนกิจของผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช และปฏิบัติงานด้านอื่น ๆ ตามที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชมอบหมาย
และเป็นผู้ใกล้ชิดจนได้รับฉายาว่า เป็นพระถือย่ามของสมเด็จช่วงกันเลยทีเดียว
นอกจากนี้ หลวงพี่แป๊ะยังปรากฏชื่อเป็นกรรมการของ “โครงการหมู่บ้านศีลห้า” โครงการระดับประเทศที่ทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ร่วมกับคณะสงฆ์ หน่วยงานราชการต่าง ๆ ร่วมกันจัดขึ้น ทั้งยังเป็นประธานเปิดป้ายสำนักงานหมู่บ้านศีลห้าของวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
โดยในช่วงที่ “ขึ้นหม้อ” นั้น เจ้าคุณแป๊ะจัดว่า ใหญ่ไม่เป็นสองรองใครในยุทธจักรดงขมิ้น เพราะใครๆ จะเข้าหาเจ้าประคุณสมเด็จช่วง ไม่ว่าจะใหญ่ขนาดไหนก็ต้องผ่านด่านคัดกรองจากพระอุปัฏฐากรูปนี้เสียก่อน ว่ากันว่า ขณะที่เป็นพระเลขาฯสมเด็จช่วง ตุ๊แป๊ะรูปนี้ เคยผลักอกพระผู้ใหญ่รูปหนึ่ง ไม่ให้เข้าไปหาสมเด็จช่วงมาแล้ว
แต่ “วีรกรรม” ที่สังคมรู้จักกันดีก็คือการเป็นผู้สั่งรถเบนซ์โบราณหมายเลขทะเบียน “ขม 99” ราคา 4 ล้านบาทมาถวายสมเด็จช่วงจนกลายเป็นคดีความใหญ่โต ถูกกล่าวหากรณีเลี่ยงภาษีนำเข้ารถเบนซ์โบราณ ทว่า สุดท้ายอัยการสั่งไม่ฟ้อง เนื่องจากไม่มีพยาน หลักฐานใดพิสูจน์ได้ว่าเจ้าคุณแป๊ะรับรถเบนซ์ไว้ ทั้งที่รู้ว่าเสียภาษีสรรพสามิตไม่ถูกต้อง
แถมหลังจากถวายรถหรูคันดังกล่าวไม่นาน ปลายปี 2554 หลวงพี่แป๊ะก็ได้รับการเลื่อนสมณศักดิ์
การปรากฏภาพ “อดีตเจ้าคุณแป๊ะ” แต่งกายในชุดฆราวาส สวมหมวกและแว่นตา นั่งคู่กับผู้หญิงคนหนึ่ง เรียกเสียงโจษขานดังอึงมี่ไปทั้งยุทธจักรดงขมิ้น แถมเมื่อได้สอบถามไปที่วัดปากน้ำ ทำให้ทราบว่า เจ้าคุณแป๊ะไม่ได้กลับวัดมากว่าครึ่งปีแล้ว ทราบว่าไปอยู่ที่วัดไทยในต่างประเทศแถบทวีปยุโรป และวัดยังไม่ได้รับหนังสือแจ้งจากพระมหาศาสนมุนีถึงการลาสิกขาแต่อย่างใด ซึ่งตามปกติเมื่อพระสงฆ์ลาสิกขา ต้องแจ้งให้ทางเจ้าอาวาสวัดทราบ
เป็นไปได้หรือไม่ว่า วัดที่ “ตุ๊แป๊ะ” ไปพำนักพักพิงอยู่จะเป็นวัดเครือข่ายของลัทธิธรรมกาย เนื่องเพราะ ใครๆ ก็รู้ว่า พระสายปากน้ำมีความสัมพันธ์อันดีกับลัทธิจานบินเพียงใด ส่วนจะเกี่ยวข้องกับอดีตพระพรมเมธี อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศาราม วรวิหารในการหนีคดีทุจริตเงินทอนวัดและไปขอลี้ภัยอยู่ที่ประเทศเยอรมนี หรือไม่ ไม่ทราบได้
ไม่ทราบสาเหตุว่า เจ้าคุณแป๊ะสึกเพราะอะไร แต่มีข่าวระแคะระคายจากจิ้งจกที่อาศัยอยู่ที่สำนักวัดปากน้ำว่า หลังจากพลาดตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชแล้ว สมเด็จช่วงก็ว่าง ไม่ค่อยมีแขกมารบกวนเท่าใดนักตามประสาผู้ไม่มีตำแหน่งแห่งหนและให้คุณให้โทษกับใครได้ ซึ่งก็ส่งผลทำให้งานของเจ้าคุณแป๊ะลดน้อยไปด้วย กระทั่งสมเด็จวัดปากน้ำออกปาก “ไม่ต้องมาหาอีกต่อไป” บทบาทของตุ๊แป๊ะจึงหายไปกับสายลม
เอาเป็นว่า การแอบหนีไปสึกเงียบๆ ของ “เสี่ยแป๊ะ” ในครั้งนี้ นอกจากจะสร้างความสั่นสะเทือนต่อภาพลักษณ์ของวัดปากน้ำแล้ว ยังทำให้ “เพ่น้ำฝน” ขาใหญ่ซุ้มนครปฐม พลอยหนาวๆ ร้อนๆ ตามไปด้วย เพราะใครๆ ก็รู้กันว่า ทั้งสองคนนี้เขา “ซี้” กันขนาดไหน
เรียกว่า แม้จะสิ้นอำนาจวาสนาจนอยู่วัดไม่ได้ เพ่น้ำฝนก็ยังคงส่งเสบียงกรังและค่าน้ำร้อนน้ำชาให้ใช้ไม่ให้ขาดก่อนที่เกลอเก่าจะตัดสินใจละสมณเพศแบบปัจจุบันทันด่วน
ทั้งนี้ เจ้าคุณแป๊ะ ได้รับสมณศักดิ์เป็น พระครูสัญญาบัตร ที่ พระครูพิทักษ์วรานุรักษ์ ต่อมาเมื่อวันที่ 5 ธ.ค. 2554 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ที่ พระมหาศาสนมุนี
ส่วนเรื่องการไล่ล่าตัวอดีตพระพรหมมุนี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์นั้น ขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้าประการใด มีแต่เพียงการเข้าไปจัดระเบียบการบริหารจัดการภายในเท่านั้น
โดยพระพรหมมุนี (สุชิน อคฺคชิโน) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชบพิธฯ กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ในฐานะประธานกรรมการวัดสัมพันธวงศาราม กล่าวถึงกรณีการจัดระเบียบวัดสัมพันธวงศารามว่า ไปทำหน้าที่เป็นประธานกรรมการวัดสัมพันธวงศ์ เนื่องจากมีผู้ใหญ่ร้องขอมาให้เข้าไปช่วยกำกับดูแล ส่วนการที่คณะสงฆ์คณะธรรมยุตแต่งตั้งพระเทพสังวรญาณ (จิรพล อธิจิตฺโต) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัด บวรนิเวศวิหาร เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ เนื่องจากสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (มานิต ถาวโร) เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ อาพาธ ส่วนการตั้งพระสงฆ์จากวัดบวรฯ มาเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์นั้น เพราะพระสงฆ์จากวัดสัมพันธวงศ์เป็นสายจากวัดบวรฯ
“ส่วนการประชุมกรรมการวัด อาตมายังบอกทำจะอะไรให้ประนีประนอมกัน ช่วยกันทำให้เกิดความสงบในวัด ฟื้นฟูวัดให้ดี ช่วงนี้ให้ประชุมทุกเดือน แบ่งหน้าที่กันจัดระเบียบภายในวัดให้เรียบร้อย จะบูรณะอะไรให้วางแผนกันให้ดี สิ่งของและทรัพย์สินที่เป็นของอดีตพระพรหมเมธี ให้ลงทะเบียนไว้ให้ชัดเจน เก็บให้เรียบร้อย เมื่อคดีสิ้นสุดค่อยว่ากันอีกที” พระพรหมมุณีระบุ
นอกจากนี้มีรายงานด้วยว่า เฟซบุ๊กวัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร เผยแพร่ภาพการประชุมคณะกรรมการวัด ในวันที่ 17 มิ.ย. มีพระมุนีเป็นประธานการประชุม พร้อมทั้งลงข้อความการให้โอวาทของพระพรหมมุนี ในการประชุมดังกล่าวว่า การทำงานร่วมกันเป็นหมู่คณะ เปรียบเสมือนพี่ปกครองน้อง ผู้ใหญ่ก็ต้องมีจิตเมตตา ผู้น้อยก็ต้องคารวะถ่อมตน ความสามัคคีเป็นสิ่งสำคัญ ทำงานเพื่อส่วนรวมอย่าแลถึงประโยชน์ส่วนตนเป็นใหญ่ วัดถึงจะพัฒนาไปในทิศทางที่ดี
ด้าน พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (ผอ.พศ.) ได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าวเป็นครั้งแรกในรอบ 2 เดือนภายหลังการประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) เมื่อวันที่ 20 มิ.ย.ที่ผ่านมาว่า กรณีจัดการบัญชีทรัพย์สินวัดพศ.ยืนยันว่าไม่มีอำนาจ เป็นอำนาจปกครองของคณะสงฆ์ โดยในความเป็นจริงแล้วพศ.ต้องการศึกษาวิจัยหาวัดตัวอย่างว่า วัดที่ไม่จับเงินทำได้หรือไม่เพียงใด
ส่วนกรณีเงินทอนวัดล็อต 4 นั้น พ.ต.ท.พงศ์พรกล่าวว่า ตามขั้นตอนการแจ้งความร้องทุกข์ ต้องรอตำรวจแจ้งมายังพศ.ก่อน ขณะที่การติดตามตัวพระพรหมเมธีต้องให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมเป็นหน้าที่ของตำรวจไม่ใช่ พศ. เช่นเดียวกับการดำเนินคดีกับวัดหรือพระภิกษุ โดยเฉพาะ 3 วัดสำคัญนั้น การทำความผิดและการดำเนินคดีแยกเป็น 2 ส่วน โดยส่วนแรกเรื่องการจัดสรรงบประมาณมิชอบ ผู้ต้องรับผิดคือ เจ้าหน้าที่ และบุคคลอื่น ได้แก่ บรรพชิต ฆราวาส จะผิดในฐานะผู้สนับสนุน เป็นเรื่องของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิด
ขณะที่ส่วนที่สองเรื่องการฟอกเงิน เมื่อพศ.โอนเงินให้วัดและมีการยักย้ายถ่ายเทเงินไปที่อื่น ก็จะเป็นไปตามกฎหมายฟอกเงิน ผู้ที่ทำผิดฐานฟอกเงินคือ พระ เนื่องจากเงินไปที่วัดแล้ว คนที่ยักย้ายถ่ายเทคือ ผู้ที่อยู่ในวัด ผู้ที่ทำผิดคือ ผู้ที่รับเงินไปจากพศ. ซึ่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการตามกฎหมายการฟอกเงิน
...งานนี้ คงต้องติดตามกันต่อไปว่า จะมี “พระ” หรือ “ฆราวาส” รายใดที่จะถูกดำนเนิคดีนับจากนี้อีกบ้าง เพราะเชื่อเหลือเกินว่า เรื่องจะยังไม่จบอยู่แค่นี้อย่างแน่นอน