xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

รื้อ “บัญชีวัด” - คุมพระถือ “เงิน” ปฏิบัติการล้าง “ดงขมิ้น” ยก 2 เรื่องใหญ่ที่ต้องระวัง “กองเสี้ยม”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พระครูปลัดธีรธนัชณฤทธา เมตตธมโม ประธานสงฆ์สำนักปฏิบัติธรรมพุทธชยันตี 2,600 ปี พร้อมด้วยนายวรากร พงศ์ธนากุล” ทนายความท้าวไซซะนะ-อริสมันต์ ซึ่งอ้างว่าเป็นประธานเครือข่ายทนายและประชาชนปกป้องพระพุทธศาสนา เดินทางไปยังแจ้งกองปราบปราบเพื่อให้ดำเนินคดี ผอ.พศ.ฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ กรณีออกคำสั่งตรวจสอบบัญชีวัด โดยระบุว่าการห้ามพระถือเงินควรเป็นหน้าที่ของเถรสมาคม และยืนยันว่าพระยังจำเป็นต้องใช้เงินดำรงชีวิตเหมือนคนทั่วไป
ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ในขณะที่ปฏิบัติการไล่ล่า “พระโกง” ยังคงดำเนินไปอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะพระที่เกี่ยวข้องกับ “คดีทุจริตเงินทอนวัด” และประพฤติตนในท่วงทำนองของ “เดียรถีย์” อีกหนึ่งปรากฏการณ์ที่น่าสนใจชนิดสามารถกล่าวได้ว่าคือ ปฏิบัติการสังคายนายุทธจักรดงขมิ้น “ยก 2” ก็อุบัติขึ้นด้วยความหนักหน่วงและกระชับฉับไวไม่แพ้กัน นั่นก็คือการจัดระเบียบ “บัญชีเงินวัด” ทั่วประเทศ

ร่องรอยที่สำแดงให้เห็นเป็นรูปธรรมก็คือ "จดหมายจาก พ.ศ. ฉบับล่าสุด” ที่ “พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์” มีคำสั่งถึง “ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาทุกจังหวัด หรือ พศจ.” เรื่อง “ขอข้อมูลวัดที่มีการวางระบบเกี่ยวกับการจัดการด้านการเงินและบัญชีของวัด” เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2561 ที่ผ่านมา

“ ด้วย พศ.มีความประสงค์ที่จะขอข้อมูลจากวัดทั่วประเทศที่มีการวางระบบเกี่ยวกับการจัดการด้านการเงินและบัญชีของวัด กรณีที่พระภิกษุสงฆ์มิต้องถือเงินสด แต่จะนำเงินเข้าบัญชีส่วนกลางของวัดทันทีเมื่อได้รับ ในการนี้ พศ.ขอให้ พศจ.ดำเนินการสำรวจข้อมูลโดยด่วน หากพบว่าวัดใดในพื้นที่ของแต่ละจังหวัด มีการดำเนินการดังกล่าวข้างต้น ขอให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับขั้นตอนและวิธีการดำเนินการโดยให้บันทึกเป็นวิดีโอ พร้อมสรุปข้อมูลขั้นตอนและวิธีการดำเนินการ และส่งให้ พศ.ผ่านโทรสาร และอีเมล ภายในวันที่ 11 มิถุนายน หาก พศจ.ใดได้ดำเนินการสำรวจทั้งพื้นที่แล้วไม่ปรากฏว่ามีวัดที่ดำเนินการดังกล่าว ขอให้มีหนังสือแจ้งให้ทราบด้วย”

พินิจพิเคราะห์ทุกถ้อยกระทงความแล้ว มิอาจตีความเป็นอื่นได้ว่า นี่คือการรุกคืบครั้งสำคัญซึ่งจะสร้างความสั่นสะเทือนวัดวาอารามทั่วประเทศโดยตรง เพราะจดหมายจาก “มือปราบเงินทอนวัด” ระบุชัดแจ้งว่า ต้องการทราบข้อมูลจากวัดทั่วประเทศที่มีการวางระบบเกี่ยวกับการจัดการด้านการเงินและบัญชีของวัด พร้อมทั้งให้ดำเนินการโดยด่วน คือหนังสือออกวันที่ 8 มิ.ย.และต้องการคำตอบภายในวันที่ 11 มิ.ย.

สำทับด้วยคำอธิบายจาก “ณรงค์ ทรงอารมณ์” รองผอ.พศ.ในฐานะโฆษก พศ.และ “สิปป์บวร แก้วงาม” ผอ.สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม(มส.) ในฐานะรองโฆษก พศ. ที่แถลงข่าวในเรื่องดังกล่าวร่วมกันหลังการประชุม มส.เมื่อวันที่ 11 มิ.ย.ที่ผ่านมาว่า “หลักการคือ ภิกษุสงฆ์ไม่ต้องมาถือเงิน แต่ผ่านบัญชีส่วนกลาง เพื่อให้วัดที่ยังไม่ได้ดำเนินการนำไปพิจารณาปรับใช้ และปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักพระธรรมวินัยต่อไป”

แม้ผู้บริหารทั้ง 2 คนยืนยันอีกว่า “ไม่มีการออกระเบียบและไม่ได้มีการบังคับ แต่เป็นเพียงการหาวัดตัวอย่างเท่านั้น โดยถ้าจังหวัดไหนมีก็รายงานเข้ามา ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร” แต่เมื่อพิจารณาถ้อยกระทงความอื่นๆ ก็จะเห็นชัดเจนว่า นี่เป็นเรื่องไม่ธรรมดา เพราะอธิบายขยายความเอาไว้ว่า “พศ.ต้องการหาวัดตัวอย่างที่พระไม่จับเงิน ซึ่งเป็นไปตามพระวินัยปิฏกที่พระพุทธเจ้าบัญญัติสิกขาบทไว้อย่างชัดเจนว่า ไม่ให้พระภิกษุรับ ใช้ให้คนอื่นรับ หรือแม้กระทั่งยินดีในเงินทองที่เขาเก็บไว้ให้ตน รวมถึงอะไรก็ตามที่มีค่าในการรับเงินทอง จึงเป็นการผิดพระวินัย และเป็นอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์แก่พระภิกษุที่รับ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ เช่น การรับเพื่อตัวหรือเพื่อสงฆ์ก็ตาม”

ขณะที่เมื่อถามว่า คณะสงฆ์มีข้อโต้แย้งกับเรื่องหนังสือดังกล่าวหรือไม่ นายณรงค์กล่าวสั้นๆ ว่า “ ไม่มีคำตอบและไม่ทราบ”

สิ่งที่ พศ.เคลื่อนไหวได้สะท้อนภาพให้เห็นชัดเจนว่า ต้องการวางแนวทางในการควบคุมบัญชีของวัดวาอารามต่างๆ ทั่วประเทศ ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องที่เหมาะสม เนื่องเพราะต้องยอมรับความจริงว่า มีปัญหาจริง ทั้งปัญหาในเรื่องการนำเงินวัดไปใช้เป็นบัญชีส่วนตัว ทั้งการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพและมีการรั่วไหลเป็นจำนวนมาก ซึ่งปัญหาเรื่องเงินๆ ทองๆ นั้น คือต้นเหตุสำคัญอันนำไปสู่อีกสารพัดปัญหา

แต่ก็ต้องยอมรับว่า “ไม่ใช่เรื่องง่าย” ที่จะกระทำได้แบบพลิกฝ่ามือ เพราะมีบริบทที่ต้องพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ เนื่องด้วยมีความละเอียดอ่อน และ “สุ่มเสี่ยง” ที่จะถูกนำไปโหมกระพือข่าวเพื่อจุดกระแสการต่อต้านจากฝ่ายที่สูญเสียผลประโยชน์ได้ง่าย ซึ่งที่ผ่านมาก็มักถูก “บิดเบือน” ให้เห็นมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะความพยายามที่จะจุดกระแสเรื่องความขัดแย้งระหว่าง “พุทธ-มุสลิม” รวมถึง “คริสต์” ดังที่ “ลัทธิจานบิน” พยายามปฏิบัติการทางจิตวิทยามาตลอดด้วยการปลุกความเป็น “พุทธนิยม” ขึ้นมาเป็นจุดขาย ทั้งๆ ที่ข้อเท็จจริงมิได้เป็นไปอย่างที่สร้างเรื่องขึ้นมา

เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่คดีทุจริต หากแต่เป็นการเปลี่ยนแปลง ซึ่งต้องชั่งเหตุและผลในทุกมิติ เนื่องจากสภาพความเป็นอยู่ของพระสงฆ์ทุกวันนี้มีความแตกต่างจากในอดีต สภาพความเป็นอยู่ของ “วัด” ในแต่พื้นที่ก็ไม่เหมือนกัน ไม่ใช่เรื่องที่จะกระทำแบบ “หักด้ามพร้าด้วยเข่า” หากแต่ต้องดำเนินการอย่าง “ละมุนละม่อม” เพื่อมิให้เป็นเครื่องมือในการปลุกระดม
หนังสือสำคัญจากสำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) เรื่อง “ขอข้อมูลวัดที่มีการวางระบบเกี่ยวกับการจัดการด้านการเงินและบัญชีของวัด” เมื่อวันที่ 8 มิ.ย.61 ที่ผ่านมา
ขณะที่ทางฝ่ายพระนั้น ก็ต้องยอมรับว่า เวลานี้แต่ละวัดกำลังเฝ้าจับตามองอย่างใกล้ชิดว่า สุดท้ายแล้ว จะดำเนินไปทิศทางใด เนื่องเพราะยังไม่มีความชัดเจนออกมา ดังเช่นความเห็นจาก “พระธรรมกิตติเมธี” ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชาธิวาส ในฐานะประธานศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ว่า “ศูนย์และคณะสงฆ์จะต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด เพื่อดูขั้นตอนการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรมของ พศ.ต่อไป”

ด้านพระชื่อดังอย่าง “พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ” แห่งวัดสร้อยทอง จ.นนทบุรี ก็แสดงความคิดเห็นว่า การไม่ให้พระจับเงิน ถามว่าจะสามารถดำรงอยู่ได้หรือไม่ ในสังคมปัจจุบัน ซึ่งจะทำให้พระเณรลำบาก โดยเฉพาะวัดที่อยู่ในเมือง ต้องมีการเดินทางไปมา และหากเอาข้อเท็จจริงมาพูด เพราะปัจจุบันทางรัฐได้มีการโอนเงินเข้าบัญชีถวายพระสมณศักดิ์ หากไม่ให้พระจับเงินทอง ก็ต้องยกเลิกตัดให้หมด และควรจัดการปัญหาเงินทอนวัดให้เรียบร้อยเสียก่อน ไม่ใช่มาจุกจิก หรืออย่าสุดโต่งเกินไป ควรมองสองด้าน สร้างโมเดลรูปแบบอย่างมีเหตุผล เพราะจะทำให้พระเณรลำบากกันไปหมด จึงอยากให้สังคมตั้งคำถามให้ไกลไปกว่าเรื่องพระจับเงินได้หรือไม่

“ปัญหาทุกวันนี้เกิดจากเงินส่วนกลางของวัด ซึ่งการจะหาวัดตัวอย่างที่พระไม่จับเงิน คงไม่มี อย่าเอาวัดอยู่ในเมืองมาเปรียบเทียบกับวัดป่า แต่ควรเอาวัดในเมืองด้วยกันมาเปรียบเทียบ ไปหาดูว่า มีหรือไม่ที่พระวัดในเมือง ไม่จับเงิน”

“ทั้งนี้ พระชั้นผู้ใหญ่ที่ญาติโยมถวายเงิน ซึ่งหากมีชื่อเสียงยิ่งมีผู้ถวายเงินจำนวนมาก ดังนั้นควรนำเงินมาช่วยสังคม ช่วยเรื่องการศึกษา ทำให้เกิดประโยชน์กับสังคม จะทำให้คนอนุโมทนา ซึ่งที่ผ่านมามีพระในคณะสงฆ์ทำงานเพื่อสังคมน้อยมาก หากเทียบกับพระที่อยู่นอกคณะสงฆ์ เพราะฉะนั้นพระควรมีมโนธรรมสำนึกอย่าเงียบเก็บเงินไว้ หรือเห็นดีเห็นงาม จนมาถูกเปิดโปงในทีหลัง และออกมาพูดว่าพระโดนรังแก ส่วนชาวบ้านที่จะถวายเงินพระ ก็ควรทำตามศรัทธาและกำลังทรัพย์ตามโอกาส ซึ่งไม่เห็นด้วยกับการถวายเงินพระชั้นผู้ใหญ่เป็นจำนวนมากๆ”

กล่าวสำหรับเงินวัดนั้น แหล่งที่มามาจาก 2 ส่วนใหญ่ๆ ส่วนแรกคือเงินที่ญาติโยมบริจาคทำบุญด้วยจิตศรัทธา รวมกระทั่งถึง “ธรณีสงฆ์” และ “ศาสนสมบัติ” ต่างๆ ที่พุทธศาสนิกชนบริจาคเพื่อให้ทางวัดเก็บดอกออกผลไปใช้บำรุงพระพุทธศาสนา ซึ่งในส่วนนี้มีเป็นจำนวนมากกมายมหาศาล

ส่วนที่สองคือเงินที่รัฐบาลตั้งงบอุดหนุนวัดทั่วประเทศ ประมาณ 2.,000ล้านบาท โดยแบ่งเป็น 3 ส่วนคือ เงินปฏิสังขรณ์ ซ่อมแซมบูรณะวัดราว 500 ล้านบาท เงินบำรุงการศึกษาพระภิกษุสามเณร (โรงเรียนพระปริยัติธรรม) 1,000-1,200 ล้านบาท และงบเผยแผ่พระพุทธศาสนา 400-600 ล้านบาท

งานวิจัยเรื่อง “การบริหารการเงินของวัดในประเทศไทย: ความสอดคล้องตามหลักธรรมาภิบาล” เมื่อปี 2555 ของ ผศ.ดร.ณดา จันทร์สม จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ระบุว่า ประเทศไทยมีวัดจำนวนทั้งสิ้น37,075 วัด โดยได้ทำการสำรวจวัดจำนวน 490 แห่งใน 15 จังหวัด พบว่า วัดโดยเฉลี่ยมีรายได้ปีละ 3.2 ล้านบาท โดยมากมาจากเงินบริจาคเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะด้าน เช่น งานซ่อมเเซม เฉลี่ยประมาณ 2 ล้านบาท รองลงมาคือ รายรับจากการสร้างเครื่องบูชาเฉลี่ยประมาณ 1.4 ล้านบาท เเละเงินบริจาคในโอกาสพิเศษเฉลี่ยประมาณ 1 ล้านบาท ขณะที่รายจ่ายมีประมาณ 2.8 ล้านบาท โดยมากเป็นค่าก่อสร้างเเละซ่อมเเซม รองลงมาเป็นค่าบำรุงรักษาสถานที่เเละอุปกรณ์เฉลี่ยประมาณ 4.5 เเสนบาท ทั้งนี้ เมื่อคูณกับรายได้ของวัดกับจำนวนวัดที่มีอยู่ในประเทศไทย คาดกันว่าแต่ละปีจะมีเงินหมุนเวียนในวัดประมาณ 1-1.2 แสนล้านบาท

นี่เป็นตัวเลขเมื่อปี 2555 ซึ่งน่าจะไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากนัก เผลอๆ จะมีเม็ดเงินมากเสียกว่าด้วยซ้ำไป โดยเฉพาะวัดใหญ่ๆ ที่มีผู้ศรัทธา ก็จะยิ่งมีเม็ดเงินมากตามไปด้วย โดยจากข้อมูลที่มีการสำรวจพบว่า มีถึง 92 วัดที่มีรายได้ต่อเดือนไม่ต่ำกว่า 20-30 ล้านบาท

ความจริงต้องกล่าวว่า การจัดระเบียบบัญชีวัดไม่ใช่เรื่องใหม่ หากแต่เป็นกระแสที่ดำเนินมาอย่างเนิ่นนาน และผ่านความเห็นชอบของมหาเถรสมาคมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีมติเห็นชอบให้วัดทั่วประเทศจัดทำบัญชีรูปแบบใหม่ เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ปี 2560ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) เสนอ โดยจะเป็นรูปแบบบัญชีรายรับรายจ่ายอย่างง่าย เหมือนกับบัญชีครัวเรือนทั่วไป

กล่าวคือได้มีการวางหลักการเอาไว้ว่า วัดจะต้องทำบัญชี 6 ส่วน ได้แก่ 1. สมุดบัญชีรายรับรายจ่ายรายวัน 2. สมุดบัญชีเงินฝาก 3. สมุดบัญชีแยกรายรับ 4. สมุดบัญชีแยกรายจ่าย 5. สมุดบัญชีงบประจำปี และ 6. เล่มรายงานงบประจำปี

ในครั้งนั้นสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม(มส.)ให้ข้อมูลชัดเจนว่า จะเริ่มนำร่องที่วัดดาวดึงษาราม กรุงเทพฯ ในปีงบประมาณ 2561 จากนั้นจะดำเนินการให้ครอบคลุมทุกวัดทั่วประเทศ โดย มส. ได้มอบให้ พศ. ไปดำเนินการจัดทำหนังสือคู่มือการจัดทำบัญชีวัดรูปแบบใหม่ พร้อมดำเนินการจัดอบรมถวายความรู้พระสังฆาธิการให้ครอบคลุมทั่วประเทศด้วย เพื่อจะได้มีความพร้อมและมีแนวทางปฏิบัติไปในทิศทางเดียวกัน

สำหรับ ข้อบังคับการจัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายวัดในประเทศไทย เริ่มขึ้นเมื่อปี 2511 กำหนดในกฎกระทรวงฉบับ 2 ออกความตามใน พ.ร.บ. คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ให้วัดที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องจัดทำบัญชีรายรับรายจ่าย โดยส่งข้อมูลให้เจ้าคณะปกครองปีละ 1 ครั้ง ก่อนปรับเปลี่ยนในปี 2550 เพิ่มข้อบังคับการส่งข้อมูลให้กับ สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด ซึ่งที่ผ่านมาพบปัญหาไวยาวัจกร และเจ้าอาวาสไม่มีความรู้เรื่องการจัดทำบัญชี ทำให้ขาดการนำส่งข้อมูล จาก 4 หมื่นวัดทั่วประเทศ มีเพียงร้อยละ30 เท่านั้นที่มีความพร้อมและเพื่อเป็นการถวายความรู้ให้กับเจ้าอาวาสวัด รวมถึงไวยาวัจกรทั่วประเทศเกี่ยวกับการจัดทำบัญชีวัด พศ. เตรียมจัดอบรมเจ้าหน้าที่ พศ. จังหวัด รองรับรูปแบบบัญชีรายรับรายจ่ายวัดที่เป็นมาตรฐานและนำไปสู่การใช้ได้จริง

ส่วนเรื่องความคืบหน้าใน “คดีทุจริตเงินทอนวัด” นั้น นอกเหนือจากการไล่ล่าตัว “อดีตพระพรหมเมธี” หรือ “จำนงค์ เอี่ยมอินทรา” อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศารามฯ ที่ยื่นขอลี้ภัยที่ประเทศเยอรมนีแล้ว ก็ดูเหมือนว่า สังคมเฝ้าจับตาการกวาดล้าง “ล็อต 4” ที่กำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้น รวมถึงตัวละครหน้าใหม่ที่โผล่ขึ้นมาเป็น “จิ๊กซอว์” ของคดีอย่าง “นายพิสิฐชัย สว่างวัฒนากร” พนักงานสอบสวนชำนาญการพิเศษ กองคดีภาษีอากร กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่ถูกตั้งข้อสงสัยในเรื่องของความเป็น “อีกาคาบข่าว” และสายสัมพันธ์อันอาจจะโยงใยไปถึงอดีตพระเถระชั้นผู้ใหญ่ รัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีที่นั่งบริหารราชการแผ่นดินอยู่ในปัจจุบันนี้อีกด้วย

กรณีคดีเงินทอนวัดล็อต 4 นั้น ความคืบหน้าที่น่าสนใจก็เห็นจะเป็นการที่ เจ้าหน้าที่กองบังคับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ หรือ ปปป. ได้เดินทางไปยัง “วัดธาตุ” พระอารามหลวง ริมบึงแก่นนคร จ.ขอนแก่น เมื่อวันที่ 12 มิ.ย.ที่ผ่านมาเพื่อขอข้อมูลจากพระผู้ใหญ่ เพราะจากตรวจสอบพบว่างบประมาณกว่า 10 ล้านบาท ที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติโอนมาให้กับวัด มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองพระพุทธศาสนาโอนเงินคืนมาเป็นของตนเอง โดยเหลือไว้ให้ทางวัดประมาณ 1 ล้านบาทเท่านั้น

และตัวการสำคัญในเรื่องนี้ก็คือ อดีตผู้อำนวยการกองพระพุทธศาสนา เมื่อปี 2556

วัดธาตุ พระอารามหลวง จ.ขอนแก่น เป็นวัดที่มีโรงเรียนปริยัติธรรม หรือโรงเรียนวิเวกธรรม ประสิทธิ์วิทยาตั้งอยู่ และเป็นโรงเรียนที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เป็นงบอุดหนุนการศึกษาพระปริยัติธรรม โดยอดีต ผอ.กองพระพุทธศาสนารายนี้ได้โอนเงินให้กับโรงเรียนจำนวน 3 ครั้ง ครั้งแรก 3 ล้านบาท ครั้งที่ 2 จำนวน 5 ล้านบาท และครั้งที่ 3 จำนวน 10 ล้าน รวมแล้วเป็นเงิน 18 ล้านบาท จากนั้นได้ขอเงินงบประมาณคืนไปเกือบทั้งหมด เหลือไว้ให้โรงเรียนแค่ 1 ล้านบาทเท่านั้น โดยที่ทางโรงเรียนเข้าใจว่าเป็นขั้นตอนของทางราชการที่สามารถทำได้ จึงคืนให้ไป

สำหรับกรณีนายพิสิฐชัยนั้น เรื่องของเรื่องเป็นผลมาจากการที่เขาโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ว่า จะมีการจับกุม เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ วัดพิชยญาติการามวรวิหาร วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร และ วัดราชสิทธารามราชวรวิหาร ในคดีเงินทอนวัด ซึ่งหลังตกเป็นข่าวดีเอสไอหน่วยงานต้นสังกัดก็เด้งรับทันทีด้วยการมีคำสั่งให้นายพิสิฐชัยพ้นหน้าที่จากกองคดีภาษีอากร ไปปฏิบัติงานที่สำนักงานผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีพิเศษ พร้อมนำตัวนายพิสิฐชัยมาส่งกองปราบปราม และถูกแจ้งข้อกล่าวหาความผิดตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลของนายพิสิฐชัยพบร่องรอยบางประการที่ไม่อาจมองข้ามได้ โดยเฉพาะการที่ “นายพิสิฐชัย” เจริญก้าวหน้าในทางราชการ จนมาถึงระดับ “ซี 8” ได้นั้น เชื่อว่าแค่มี “พระนำ” คงไม่พอ ต้องมี “โยมอุปัฏฐาก” เกื้อหนุนในทางโลกอยู่อีกแรง โดยเฉพาะเมื่อครั้งที่มีการปลด พ.ต.ท.พงศ์พร ชื่อของ “พิสิฐชัย” เกือบได้บายพาสจาก “ซี 8” ขึ้นไปเป็น “ซี 10” และ “ข้ามห้วย” มากินตำแหน่ง ผอ.พศ.กันเลยทีเดียว

รัฐมนตรีออมสินเคยให้สัมภาษณ์ประมาณว่า เรื่องปลด “ผอ.พงศ์พร” เป็นการปรึกษากันแค่ 2 คน คนหนึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ส่วนอีกคนคือ “ศิษย์เอกภูเขาทอง” วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี .. หลังจากนั้นไม่นาน ว่ากันว่าแฟ้มคำสั่งแต่งตั้ง “พิสิฐชัย” เป็น ผอ.สำนักพุทธฯ ถูกยัดใส่มือ “นายกฯตู่” แล้วด้วยซ้ำ .. ยังดีที่ “นายกฯ ตู่” ไม่ตามน้ำ ตีกลับในนาทีสุดท้าย แล้วให้โยก มานัส ทารัตน์ใจ จากอธิบดีกรมศาสนา มาขัดตาทัพแทน

อย่างไรก็ดี เรื่องของนายพิสิฐชัย เรื่องของคดีทุจริตเงินทอนวัดนั้น เป็นคนละเรื่องกับเรื่อง “พระจับเงิน” และ “บัญชีวัด” ซึ่งเรื่องแรกเป็นเพียงการตรวจสอบและดำเนินคดีกับคนโกงและพระโกง ขณะที่เรื่องหลังเป็นเรื่องของ “ระบบ” ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี เพียงแต่ต้องดำเนินการด้วยความระมัดระวัง ไม่เช่นนั้นแล้ว อาจกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวดังที่ “กองเสี้ยม” กำลังปฏิบัติการทางจิตวิทยาอยู่ในขณะนี้ได้





กำลังโหลดความคิดเห็น