นอกจากรายการฟุตบอลโลกที่รัสเซียแล้ว ก็คงเป็นการพบปะกันระหว่าง โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ กับ คิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือที่สิงคโปร์วันอังคารที่ผ่านมานี้แหละ ผลการพบปะกันหลังจากรับประทานอาหารเที่ยงร่วมกันจะเป็นอย่างไร
ก่อนหน้านั้นมีบรรยากาศเชิงดรามา ความคาดคะเนสูงว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะทรัมป์พูดเชิงบลัฟว่า “เจอกันนาทีแรกก็รู้แล้วว่าจะคุยกันได้หรือไม่” หรือ “ถ้าเห็นท่าว่าจะไม่ได้เรื่อง ก็จะเดินออกจากห้องประชุมทันที”
แถมยังขู่คิมว่า ผู้นำเกาหลีเหนือมีโอกาสสวยๆ แบบนี้ “เพียงครั้งเดียว” เท่านั้น และน่าจะทำให้ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ฝ่ายคิมไม่ว่าอะไร ทำตัวตามสบาย เดินทางมาสิงคโปร์ฟอร์มใหญ่มีจีนให้ยืมเครื่องบิน เป็นขบวนสมราคาผู้นำขาโจ๋
ยามค่ำคืนหลังจากมาถึงสิงคโปร์ คิมยังออกไปเดินชมเมือง และไปมารีนา เบย์ ที่ตั้งของโรงแรมหรู และกาสิโนลอยฟ้า จุดท่องเที่ยวเลื่องชื่อของสิงคโปร์ ทำให้ดูไม่เครียด หรือรู้ตัวเองแล้วว่ามีแต้มต่อ จะรับหรือเรียกร้องต่อรองกับทรัมป์ได้อย่างไร
เอาเป็นว่าทั้ง 2 ฝ่าย เตรียมตัวมาดี และเริ่มต้นด้วยท่าทีมิตรไมตรีดีเกินคาด!
เมื่อพบกันที่โรงแรมคาเปลลาบนเกาะเซนโตซา ทั้งทรัมป์และคิมยื่นมือมาจับ ทรัมป์กระชับแน่นตามสไตล์ จับแน่นสักระยะ ทรัมป์ใช้มือซ้ายแตะช่วงแขนขวาของคิม สีหน้าทั้งคู่ยิ้มแย้ม เป็นสัญญาณว่าเป็นการเริ่มต้นนาทีแรกด้วยดี
ทรัมป์บอกว่า “รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มีวาระสำคัญนี้ น่าจะเป็นวาระแห่งความสำเร็จในการสร้างความสำคัญที่เยี่ยมต่อกัน ผมไม่มีอะไรน่าสงสัยว่าทำไมจึงจะไม่สำเร็จ”
คิมก็บอกว่า “กว่าจะมาถึงวันนี้ไม่ง่ายนัก มีอุปสรรคสารพัด มีทั้งสภาวะการเป็นอคติต่อกัน เหมือนถูกปิดหูปิดตา ไม่รับรู้ความเป็นจริง สุดท้ายเราก็เอาชนะสิ่งกีดกั้นทุกอย่างและมาพบกันในวันนี้ได้”
ถือว่าเป็นการทักทายด้วยคำพูดที่ดีเกินคาด แม้จะเป็นธรรมเนียมปฏิบัติทางการทูต การเจรจาระหว่างประเทศ แต่ถือว่าเป็นวาระประวัติศาสตร์ แม้แต่คิมเองยังบอกว่า “คนทั้งโลกคงมองสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ว่าเป็นหนังวิทยาศาสตร์ แต่เป็นความจริง”
จากนั้น ทั้งคู่ทักทายโดยไม่มีล่าม เข้าใจว่าคิมน่าจะพูดภาษาอังกฤษเพราะเคยไปใช้ชีวิตช่วงเป็นนักศึกษาในสวิตเซอร์แลนด์ ทรัมป์ก็กล่าวด้วยความหวังว่าเป็นสภาวะที่ดีที่ทั้งคู่ได้มาเจอกัน คิมก็บอกว่าก่อนหน้านั้นมีอุปสรรคต่างๆ แต่ก็พบกันได้
จากนั้นทั้งคู่จับมือกันอีกครั้ง หน้าตายิ้มแย้มกว้างกว่าเดิม เมื่อเดินเข้าห้องเจรจาให้ช่างภาพ ผู้สื่อข่าวซักถามช่วงสั้น ทั้งคู่ก็แสดงความรู้สึกเป็นปลื้ม ไม่ตึงเครียด จากนั้นทรัมป์ยื่นมือให้คิมจับ รวมกันแล้ว 3 ครั้งก่อนเริ่มคุยอย่างเป็นทางการ
ช่วงเช้า ทั้งคู่พบ พูดคุยกันตัวต่อตัว มีเพียงล่ามฝ่ายละ 1 คน นาน 48 นาที ทรัมป์ ออกมาพูดอวยใช้ภาษาโลกสวยตามสไตล์ เช่น “very very good” “terrific” “great” มองโลกในแง่สดสวย แม้ก่อนหน้าการพบปะทั้งคู่แทบจะอยากขย้ำคอกัน
งานนี้ทรัมป์ไม่ได้วางมาดข่มคิม ดูจะหวังว่าการพบปะครั้งนี้จะผ่านไปด้วยดี แม้จะยังมีข้อตกลงสำคัญอีกหลายอย่าง เช่นการปลดอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือซึ่งเป็นประเด็นสำคัญ อย่างน้อยทั้ง 2 ฝ่ายไม่ยอมให้เกิดสภาวะแตกหัก
หลังจากนั้นมีการประชุมร่วมกันของทั้งคู่ เป็นรอบที่มีคนสำคัญของแต่ละฝ่ายเข้าร่วมเพื่อคุยกันประเด็นรายละเอียด ก่อนจะรับประทานอาหารร่วมกันซึ่งมีทั้งอาหารฝรั่งและอาหารเกาหลี ก่อนที่ทั้งคู่จะแยกย้ายกันกลับประเทศ
คิมเคยบอกก่อนนี้ว่าทุกอย่างไม่มีปัญหาในการเจรจา ต่อไปจะเชิญทรัมป์ไปเยือนกรุงเปียงยาง เมืองหลวงของเกาหลีเหนือ ซึ่งมีความเป็นไปได้ ถ้าทั้งคู่เลิกแยกเขี้ยวใส่กัน หันมาพูดกันด้วยภาษาดอกไม้ ซึ่งจะทำให้บรรยากาศโดยรวมดีขึ้นมาก
ถ้าประเมินโดยทั่วไป คนเกาหลีเหนือต้องดีใจ เพราะเป็นการพบปะกันอยู่บนพื้นฐานของความเสมอภาค แม้สหรัฐฯ จะเป็นมหาอำนาจ และเกาหลีเหนือเป็นประเทศเล็ก ผลสุดท้าย พญาอินทรีย์ต้องโฉบบินลงมาเกาะคอนเดียวกับเหยี่ยวน้อย
ดูแล้วคิมวางตัวดี ไม่ได้มีท่าทีว่าจะเป็นลูกไล่หรือพร้อมจะเป็นเด็กในคาถา จะเป็นเพราะได้รับการติวเข้มจากสี จิ้นผิง ผู้นำจีน และรัสเซียหรือไม่ เพราะถือว่าเป็นผู้สนับสนุนหลัก ส่วนทรัมป์เองก็ต้องการสร้างประวัติศาสตร์ให้ชาวโลกได้รู้
ให้เป็นที่ประจักษ์ว่า “ผู้นำสหรัฐฯ คนก่อนทำไม่ได้ แต่ตัวเองทำได้” ตอกย้ำให้เห็นถึงความเป็นนักเจรจาต่อรอง มีทั้งลูกล่อลูกชน ไม้อ่อนไม้แข็ง เพื่อผลสำเร็จ การยกย่องให้เกียรติคิม ทำให้ตัวเองดูดีด้วย เป็นศาสตร์และศิลป์ของนักเจรจาต่อรอง
ถ้าทรัมป์ทำได้สำเร็จ จะเป็นคะแนนสำคัญในการเจรจาต่อรองกับกลุ่มประเทศอื่นๆ ที่มีปัญหาในศึกกำแพงภาษีกับยุโรป แคนาดา เม็กซิโก ญี่ปุ่นกับจีนด้วย และถ้าทำได้ยั่งยืน จะส่งผลให้คะแนนนิยมในสหรัฐฯ พุ่งสูงแม้มีคดีต่างๆ รออีกเยอะ
ทรัมป์จะประกาศว่า “เห็นหรือยังว่าตามสูตร The Art of the Deal” เจ๋งแค่ไหน!