xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ปรับสมดุล"ค่าใช้จ่ายบุคลากรภาครัฐ" "องค์การมหาชน"เหยื่อ!ยุทธศาสตร์ชาติ20ปี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -เตรียมประกาศใช้เร็วๆ นี้ กับ "แนวทางการควบคุมดูแลกิจการของคณะกรรมการองค์การมหาชน" ตามมาตรา 5/8 แห่งพ.ร.บ.องค์การมหาชน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2559 หลังครม.เห็นชอบตามที่ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์กรมหาชน (กพม.) และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) เสนอ เป็นการยกเลิก “แนวทางการควบคุมดูแลกิจการของคณะกรรมการองค์การมหาชน ตามมติ ครม.( 19 พ.ค. 52)”

จากนี้ไป สำนักงาน ก.พ.ร. จะนำแนวทางไปเร่งชี้แจงทำความเข้าใจกับ "องค์การมหาชน" ที่จัดตั้งโดยพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในพ.ร.บ.องค์การมหาชน พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติมนำไปปฏิบัติใช้ รวมถึงฝ่ายบริหารของคณะกรรมการองค์การมหาชน หรือ บอร์ดชุดนั้นๆ นำไปปฏิบัติให้ชัดเจน และมีความเข้าใจตรงกัน
             
   แนวทางที่หลายหน่วยงานให้ความสนใจ โดยเฉพาะในหัวข้อย่อยที่ 5.3.3 "การควบคุมค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร" ไม่ไห้เกินกว่าร้อยละสามสิบ ของงบประมาณ ค่าใช้จ่ายตามแผนการใช้จ่ายเงินที่ได้รับอนุมัติจากบอร์ดองค์การมหาชนในปีงบประมาณ ยกเว้นองค์การมหาชนที่มีมติ ครม.กำหนดไว้เป็นการเฉพาะ

ก.พ.ร. ยังต้องจัดกลไกเพื่อ "ทบทวนความเหมาะสมของสัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร" ขององค์การมหาชนแต่ละแห่งอย่างต่อเนื่อง โดยให้คำนึงถึงภารกิจ รายได้ และเงินทุนสะสมของแต่ละองค์การมหาชน รวมทั้งยึดหลักการที่มีให้มีค่าใช้จ่าย ด้านบุคลากรเกินกว่าความจำเนิน และไม่เป็นภาระงบประมาณของประเทศ และนำเสนอบอร์ด กพม. เพื่อพิจารณาเป็นประจำทุกปีด้วย เพื่อให้การบริหารทรัพยากรบุคคลขององค์การมหาชน เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
 
มุ่งเป้าไปที่ “ผู้อำนวยการกลุ่มองค์การมหาชน กลุ่มที่ 1”ที่ทำงานด้านพัฒนา และดำเนินการตามนโยบายสำคัญของรัฐบาลเฉพาะด้าน ให้เงินเดือนประมาณ 1-3 แสนบาท/เดือน กลุ่มที่ 2 บริการที่ใช้เทคนิควิชาการเฉพาะด้าน เงินเดือน 1-2.5 แสนบาท และ กลุ่มที่ 3 ด้านบริการสาธารณะทั่วไป เงินเดือน 1-2 แสนบาท

ประเด็นค่าตอบแทนผู้บริหารองค์กรมหาชนนั้น หลายฝ่ายโจมตีว่าจ่าย 'สูงเกินไป'

แนวทางนี้ยังกำหนด "การใช้ระบบสัญญาจ้าง" กับเจ้าหน้าที่ขององค์การมหาชนทุกตำแหน่ง ให้ระบุรายละเอียดการจ้างงานในสัญญาจ้างให้ชัดเจน โดยเฉพาะการจ่ายค่าตอบแทนพิเศษ ตามผลการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ที่ขึ้นอยู่กับผลประกอบการขององค์การมหาชน

"ที่สนใจ แนวทางฉบับนี้ จะไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนพิเศษทุกปี เพื่อป้องกันการตีความที่แตกต่างกันระหว่างหน่วยงานกับเจ้าหน้าที่ รวมทั้งให้กำหนด หลักเกณฑ์การคำนวณระยะเวลาของสัญญาจ้างและหลักเกณฑ์การประเมินผลการปฏิบัติงานเพื่อการเลื่อน หรือการดำรงอยู่ในตำแหน่งต่าง ๆ อย่างเหมาะสมและเป็นธรรม เพื่อให้สัญญาจ้างมีสาระสำคัญที่ครบถ้วนลมบูรณ์ มีมาตรฐานเดียวกัน และสามารถพัฒนาบุคลากรขององค์การมหาชนได้ตามเป้าหมายของหน่วยงานด้วย"
            
    ครม. ยังให้สำนักงาน ก.พ.ร. ไปพิจารณาทบทวนความจำเป็นในการ "คงอยู่หรือยุบเลิกองค์การมหาชน" ที่มีอยู่ในปัจจุบันเพิ่มเติม โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่และวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งหน่วยงาน ตามนัยมติครม. (10 พ.ย. 58 เรื่อง การทบทวนความจำเป็นในการคงอยู่ หรือยุบเลิกองค์การมหาชน) เป็นประจำทุกปีงบประมาณ

ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดการประเมินผลสัมฤทธิ์และปรับปรุง โครงสร้างหน่วยงานภาครัฐอย่างต่อเนื่อง และให้พิจารณาส่งเสริมให้ภาคเอกชนและภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม ในการบริหารจัดการภาครัฐ (Citizen Engagement)ในสาขาและรูปแบบต่าง ๆ เช่น การสร้างเครือข่ายประชารัฐ และการถ่ายโอนภารกิจด้านการปฏิบัติไปให้หน่วยงานภายนอกภาครัฐ เป็นต้น เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ รวมทั้งคำนึงถึง ประสิทธิภาพในการดำเนินงานของภาครัฐและประโยชน์สูงสุดของประเทศเป็นสำคัญ

อย่างไรก็ตาม จากการรับความเห็นของ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงทรัพยากรธรรมขาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งซาติ และสำนักงาน ก.พ.

เช่น ตามความเห็นของ "สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี" ให้ความสนใจกับ หลักการคำนวณกรอบวงเงินรวมสำหรับค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรขององค์การมหาชน ไม่เกินร้อยละ 30 ของแผนการใช้จ่ายเงินประจำปี และความเหมาะสมกับองค์การมหาชนแต่ละแห่งที่มีภารกิจรายได้ และเงินทุนสะสมที่ แตกด่างกัน

โดยสำนักงาน ก.พ.ร. ชี้แจงว่า บอร์ด กพม. ได้กำหนดหลักการคำนวณกรอบวงเงินรวม สำหรับค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร โดยพิจารณา จากข้อมูลการขอยกเวันกรอบวงเงินรวมค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรขององค์การมหาชนทุกแห่งที่เสนอ "คำขอยกเว้นกรอบวงเงินรวมค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร" มาอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา 10 ปี รวมทั้งผลการศึกษาเกี่ยวกับการจำแนกกลุ่มตามลักษณะภารกิจขององค์การมหาชน การจ่ายค่าตอบแทนบุคลากรของสายงานหลักและ สายงานสนับสนุน ข้อมูลเงินทุนสะสม และรายได้ขององค์การมหาชน

ประกอบความเห็นของสำนักงบประมาณ และกระทรวงการคลัง และกำหนดหลักการไว้ว่า กรอบวงเงินรวมค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรต้องมีความเหมาะสม
             
    "มิให้องค์การมหาชนมีค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรเกินกว่าความจำเปีน และไม่เป็นภาระงบประมาณของประเทศ โดยตระหนักถึงความหลากหลายของภารกิจ รายได้ และเงินทุนสะสมขององค์การมหาชนด้วย"

การคำนวณค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรตามสูตรการคำนวณที่กำหนด จึงมีความเหมาะสมกับบริบทขององค์การมหาชนที่มีความแตกต่างกัน และเป็นแรงจูงใจให้องค์การมหาซน ปรับปรุงการบริหารจัดการเรื่องของบุคลากรให้ดีขึ้น หากองค์การมหาชนใด ที่มีค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรเกินกว่ากรอบวงเงินรวมค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรตามสูตรการคำนวณนี้ สามารถส่งเรื่องเสนอ กพม. พิจารณาพร้อม แผนการปรับปรุงค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรเป็นเวลา 3 ปี เพื่อเป็นแนวทางควบคุมค่าใช้จ่ายของหน่วยงานของรัฐ มีให้เป็นภาระงบประมาณในระยะยาว

และยังสอดคล้องกับมติครม. (20 มิ.ย.60) ที่เห็นชอบรายงานการประเมินผลองค์การมหาชน ตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี (6 ม.ค.58) และไม่ให้องค์การมหาชนเพิ่มอัตรากำลังขึ้นอีก หากองค์การมหาชนใดมีความจำเป็นต้องเพิ่มอัตรากำลังเกินไปกว่ากรอบอัตรากำลังที่ได้รับอนุมัติจากบอร์ดองค์การมหาชน ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ กพม. ได้กำหนดให้องค์การมหาชนเสนอ กพม. พิจารณากสั่นกรองก่อนนำเสนอ ครม.เป็นรายกรณี

ขณะที่กระทรวงศึกษาธิการ แสดงความสนใจในประเด็นการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบและคณะอนุกรรมการในส่วนของ "การแต่งตั้งที่ปรึกษาและการระบุจำนวนที่ปรึกษาของคณะกรรมการ" นอกจากนั้น ยังเสนอให้ปรับการควบคุมค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรไม่ให้เกินกว่าร้อยละสี่สิบของงบประมาณค่าใช้จ่ายตามแผนการใช้จ่ายเงิน แทนแนวทางควบคุมที่ร้อยละสามสิบ เป็นต้น
               
ในเรื่องของการแต่งตั้งกรรมการ ที่ปรึกษา หรืออนุกรรมการ ไม่ให้แต่งตั้ง ผู้อำนวยการที่เพิ่งพ้นตำแหน่งไม่ถึง 1 ปี เข้ามาเป็นที่ปรึกษาขององค์การมหาชน ยกเว้นมีเหตุจำเป็นพิเศษ

จุดนี้ระบุเหตุผลว่า “เพื่อป้องกันการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวกับผลประโยชน์ส่วนรวม ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างผลประโยชน์”

จากรายงานของคณะกรรมการศึกษาการเป็นรูปองค์การมหาชน สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เรื่องการปฎิรูปองค์การมหาชน ระบุว่าที่ผ่านมาองค์การมหาชนทั้ง 39 แห่ง มีการจัดสรรงบประมาณแผ่นดินเพื่อดำเนินการตามภารกิจ โดยข้อมูลจากสำนักงบประมาณ ระบุว่าตั้งแต่ปีงบประมาณ 2544-2558 ได้ใช้งบประมาณไปแล้วโดยรวม 126,929 ล้านบาท

ทีนี้ มาดูงบประมาณรายจ่ายปี 2562 ที่เข้าได้สู่การพิจารณาของ สนช. ซึ่งคาดว่า แนวทางนี้จะถูกนำบังคับใช้กับ "องค์กรมหาชน" 39 แห่ง ในงบปี 2562 ตามที่ ครม.เห็นชอบล่าสุด ดูเฉพาะ "ค่าใช้จ่ายบุคลากรภาครัฐ" หรือค่าใช้จ่ายที่จะนำไปเป็นเงินเดือน ค่าตอบแทนเป็นหลัก

เริ่มจากหน่วยงานที่สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ประกอบด้วย สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา เสนอขอวงเงิน 46 ล้านบาท สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ วงเงิน 131 ล้านบาท องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน วงเงิน 117 ล้านบาท สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ วงเงิน 180 ล้านบาท สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน 12 ล้านบาท สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ 52 ล้านบาท และ สำนักงานพัฒนาพิงคนคร เสนอ 38 ล้านบาท

สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ สังกัดกลาโหม เสนอวงเงิน 245 ล้านบาท หน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประกอบด้วย สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง เสนอ 80 ล้านบาท สำนักงานพิพิธภัณฑ์เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสนอขอ 38 ล้านบาท หน่วยงานในสังกัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ประกอบด้วย สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เสนอ 125 ล้านบาท สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ เสนอขอ 127 ล้านบาท

หน่วยงานในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เริ่มจาก สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ เสนอ 36 ล้านบาท องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก เสนอ 46 ล้านบาท ขณะที่ สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน สังกัดกระทรวงพลังงาน เสนอขอ 6 ล้านบาท สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย สังกัดกระทรวงยุติธรรม ขอมา 62 ล้านบาท

สำหรับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงพาณิชย์ ประกอบด้วย ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ เสนอ 44 ล้านบาท สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ ขอมา 37 ล้านบาท สถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวะอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน สังกัดกระทรวงแรงงาน ขอมา 18 ล้านบาท

สังกัดกระทรวงวัฒนธรรม เริ่มจาก ศูนย์มนุษยวิทยาสิริธร ขอมา 36 ล้านบาท หอภาพยนต์ ขอมา 29 ล้านบาท ศูนย์คุณธรรม ขอมา 17 ล้านบาท สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ มี สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา เสนอมา 15 ล้านบาท สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ เสนอมา 25 ล้านบาท

หน่วยงานสังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เริ่มจาก สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ ขอมา 160 ล้านบาท สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ ขอมา 163 ล้านบาท สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน เสนอมา 91 ล้านบาท สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ ขอมา 64 ล้านบาท สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร ขอมา 87 ล้านบาท สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ เสนอมา 34 ล้านบาท ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ เสนอมา 39 ล้านบาท

สังกัดกระทรวงสาธารณสุข มี สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล เสนอ 15 ล้านบาท สถาบันวัคซีนแห่งชาติ เสนอ 14 ล้านบาท

ขณะที่ สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน สังกัดกระทรวงการคลัง สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน สังกัดกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ โรงพยาบาลบ้านแพ้ว สังกัดกระทรวงสาธารณสุข"ไม่มีการเสนอของบประมาณในส่วนนี้"
              
  เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ

โดย "การควบคุมค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร" ไม่ให้เกินกว่าร้อยละสามสิบของงบประมาณ จึงเริ่มต้นที่จัดสรรงบประมาณแผ่นดิน ในส่วน “องค์การมหาชน “ทั้ง 39 แห่ง ก่อนที่จะควบคุมไปถึงหน่วยราชการอื่น ๆในอนาคต




กำลังโหลดความคิดเห็น