ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ณ วันนี้อดีตพระสงฆ์ที่เกี่ยวข้องกับคดีทุจริตเงินทอนวัดและคดีฟอกเงิน ก็ถูกจับกุมตัวและเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเรียบร้อยแล้ว โดยเฉพาะ “อดีต 3 พระพระหม” คนสำคัญอย่าง “ทิดเอื้อน-หรืออดีตพระพรหมดิลก(เอื้อน หาสธมฺโม)” อดีตจ้าอาวาสวัดสามพระยา เจ้าคณะกรุงเทพฯ และกรรมการมหาเถรสมาคม และ “ทิดธงชัย-หรืออดีตพระพรหมสิทธิ(ธงชัย สุขญาโณ) อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) และเจ้าคณะภาค 10 ซึ่งเพิ่งตัดสินใจเข้ามอบตัวเมื่อวันที่ 30 พ.ค.2561 ที่ผ่านมา
การเข้ามอบตัวของทิดธงชัยเกิดขึ้นพร้อมๆ กับที่เว็บไซต์ราชกิจนานุเบกษาได้เผยแพร่พระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ “ถอดสมณศักดิ์” พระพรหมทั้ง 3 รูป และพระรูปอื่นที่เกี่ยวข้องกับคดีอีก 4 รูป เมื่อวันที่ 30 พ.ค.2561 ได้แก่ 1.พระราชอุปเสนาภรณ์(สังคม สังฆะพัฒน์) อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร 2.พระราชกิจจาภรณ์(เทอด วงศ์ชะอุ่ม) อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร 3.พระศรีคุณาภรณ์(บุญทวี คำมา) อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร และ 4.พระอรรถกิจโสภภ(สมทรง อรรถกฤษณ์) วัดสามพระยา
จะเหลือก็เพียง “ทิดจำนงค์”-หรืออดีตพระพรหมเมธี (จำนงค์ ธมฺมจารี) อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศาราม กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) และเจ้าคณะภาค 4-7 ที่ยังคงล่องหนหายตัว
ปรากฏการณ์ “จับ-สึกและถอดสมณศักดิ์” พระที่เกี่ยวข้องกับคดีทุจริตนั้น นับเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดแจ้งว่า ห้วงเวลาแห่ง “การสังคายนาคณะสงฆ์ไทย” ได้ปรากฏให้เห็นเป็นรูปธรรม และเป็นปฏิบัติการที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ได้มีการจัดการกับ “อดีตพระธัมมชโย” แห่งวัดพระธรรมกาย ในคดีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ตามต่อด้วยการที่เจ้าคณะปกครองคณะสงฆ์ออกคำสั่งให้พระภิกษุ สามเณรประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด รวมถึง “การจัดระเบียบพระเครื่องและวัตถุมงคล” ภายในวัดวาอารามต่างๆ ถัดจากนั้นก็มาถึงคิวของการชำระครั้งสำคัญใน “คดีทุจริตเงินทอนวัด” อันนำไปสู่ “การจับ-สึกและถอดสมณศักดิ์” ดังที่เห็นในปัจจุบัน
สำหรับคดีทุจริตเงินทอนวัดนั้น มีข้อมูลและความคืบหน้าปรากฏให้เห็นเป็นระยะๆ แล้ว ดูเหมือนว่าจะมี “ชุดข้อมูลใหม่” โผล่ตามมาอีกกระบุงโกย ทั้งเรื่องการแสวงหาผลประโยชน์ในการเลื่อนสมณศักดิ์กับพระสงฆ์อยู่ภายใต้การปกครอง การเรียกรับผลประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ ตลอดรวมถึงการทำมาหากินในรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะในกุฏิของ อดีตพระพรหมดิลก เจ้าอาวาสวัดสามพระยา ที่พบเอกสารการเลื่อนสมณะศักดิ์ของพระสงฆ์หลายรูป บางรูปนั้นเกี่ยวพันกับการวิ่งเต้นเพื่อขอเลื่อนสมณศักดิ์ในแต่ละปีอีกด้วย
แถมสืบไปสืบมายังมีเรื่องของ “สีกา” เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอีกต่างหาก
กล่าวสำหรับกรณี “สีกา” นั้น คงต้องเริ่มต้นกับ “สีกาแห่งวัดสามพระยา” ซึ่งมีความสนิทสนมกับอดีตพระเถระชั้นผู้ใหญ่ในระดับที่ใกล้ชิดกันมาก ทำให้เข้านอกออกในกุฏิได้มานานกว่า 10 ปี โดยสีกาคนนี้เจ้าของร้านสังฆภัณฑ์ใหญ่แห่งหนึ่งในจังหวัดนนทบุรี
ที่น่าสนใจคือ มีวัดอย่างน้อย 10 แห่งในเขตกรุงเทพฯ ที่สั่งซื้อเครื่องสังฆภัณฑ์จาก “ร้าน” ของ “เจ้าแม่สังฆทาน” คนนี้อย่างต่อเนื่อง ทั้งใช้เงินของวัดเองที่ได้รับจากการบริจาค และเงินที่ได้รับอุดหนุนจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) อีกทั้งยังมีการตั้งข้อสังเกตว่า พระที่สั่งซื้อสินค้าจากร้านสังฆภัณฑ์แห่งนี้ ส่วนใหญ่มักจะได้รับการเลื่อนสมณศักดิ์ ตั้งแต่ระดับเจ้าคุณชั้นสามัญขึ้นไป
สีกาคนถัดมาก็คือ “สีกาแห่งวัดสระเกศ” ซึ่งก็คือ สีกาจุ๋ม- น.ส.ฑัมม์พร นิพนธ์พิทยา หรือที่คนในวัดสระเกศฯ มักเรียกกันติดปากว่า “คุณจุ๋ม” เนื่องด้วยดำรงสถานะเป็นผู้จัดการผลประโยชน์ของวัด และของอดีตพระธงชัยเมื่อครั้งที่ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ ทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่อาหาร ที่จำวัด อีกทั้งเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ ยังนำสีกาคนนี้ ไปออกงานเกือบทุกงานทั้งในและต่างประเทศ
และสีกาจุ๋มผู้นี้คือ “แม่” ของ “ร.ท.ฐิติทัตน์ นิพนธ์วิทยา” ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจบุกไปค้นบ้าน และบ้านหลังนี้ก็คือที่ตั้งของ ห้างหุ้นส่วนจำกัด (หจก.) ดี ดี ทวีคูณ ที่รับจ้างสื่อประชาสัมพันธ์กับวัดสระเกศ โดยปรากฏชื่อ น.ส.นุชรา สิทธินอก แม่ค้าขายลูกชิ้นที่ตลาดสี่มุมเมืองซึ่งมาทำอาชีพเสริมด้วยการช่วยเลี้ยงดูบุตรหลานให้กับเจ้าของบ้านหลังดังกล่าว ปรากฏชื่อเป็นผู้รับโอนเงินจำนวน 25 ล้านบาท ในคดีเงินทอนวัดสระเกศ
และทั้งสีกาจุ๋ม และ น.ส.นุชรา สิทธินอก ได้ถูกจับกุมคุมขังเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ส่วนตัวอดีตเจ้าคุณธงชัยนั้น หลังจากเข้ามอบตัว ก็ได้มีการ “สึก” พร้อมส่งตัวเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครทันทีโดยไม่ให้มีการประกันตัวเหมือนกับรายอื่นๆ ก่อนหน้านี้ โดยรายละเอียดของคดีความนั้น ได้ถูกแจ้งข้อกล่าวหาจากการตรวจพบเส้นทางการเงินที่มีการโอนให้บุคคลภายนอก รวมถึงพบบัญชีธนาคารซึ่งเป็นบัญชีส่วนตัว 10 บัญชี พบเงินหมุนเวียนกว่า 13.0 ล้านบาทจากการทุจริตเงิน 2 ปี
งบประมาณคือ ปี 2557 งบประมาณสนับสนุนโรงเรียนพระปริยัติธรรมของวัดสระเกศจำนวนกว่า 87 ล้านบาท ทั้งที่วัดสระเกศไม่มีการจัดตั้งโรงเรียนดังกล่าว ส่วนปี 2559 แบ่งเป็น 2 โครงการ ได้แก่ โครงการอบรมคุณธรรม งบประมาณ 37 ล้านบาท ถูกนำไปกระจายให้วัด 2 แห่งในต่างจังหวัด รวม 8 ล้านบาท และได้มีการทอนคืนวัดสระเกศ 29 ล้านบาท
ขณะที่โครงการศูนย์กลางเผยแผ่พระพุทธศาสนา งบประมาณ 32 ล้านบาท ตำรวจพบว่า งบดังกลาวไม่ได้นำไปใช้ในการบำรุงศาสนาแต่อ่างใด แต่ถูกโอนเข้าบัญชีของ น.ส.นุชรา สิทธินอก จำนวน 25 ล้านบาทดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น และบัญชีของนายธีระพงษ์ พันธุ์ศรีอีก 5 ล้านบาท ทำให้เข้าข่ายความผิดฐานฟอกเงินด้วย
รวม 2 ปี ทุจริตกว่า 130 ล้านบาท
สำหรับคำร้องฝากขัง ระบุพฤติการณ์ว่า อดีตพระธงชัยร่วมกับ “นายพนม ศรศิลป์” อดีตผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติกับพวก ซึ่งเป็นฆราวาสและพระ ในการโอนเงินและซุกซ่อนเงินที่ได้เบิกถอนจากบัญชีเงินฝากทั้ง 2 โครงการจากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด สาขาวงเวียนโอเดียน ใน 2 บัญชี รวม 32 ครั้ง ให้แก่กลุ่มฆราวาสที่ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องไปโดยทุจริต
อย่างไรก็ดี สำหรับ “สีการายที่ 3” ก็เป็นที่รับรู้แล้วว่า มีความสัมพันธ์กับพระรูปใด เพียงแต่มิได้เกี่ยวข้องกับคดีเงินทอนวัดเท่านั้น ทว่า มีข้อมูลจากการสืบสวนในเชิงลึกของชุดสืบสวนกองปราบปราบ พบว่า พระผู้ใหญ่รูปนี้มีความใกล้ชิดกับสีกาคนดังกล่าว ซึ่งปัจจุบันอายุประมาณ 50 ปีและเคยมีอาชีพเป็นหมอนวดแผนโบราณในสถานบริการแห่งหนึ่ง
จุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์เกิดขึ้นเพราะมีพนักงานแนะนำให้รู้จักกับพระผู้ใหญ่รูปดังกล่าว แต่ขณะนั้นหญิงหมอนวดคนนี้ไม่ทราบว่าเป็นพระ เนื่องจากสวมชุดซาฟารีมาหาในสถานบริการและสวมหมวกแก๊ป โดยเรียกแทนตัวเองว่า “เฮีย” ก่อนที่จะเข้าห้องไปนวดกันหลายครั้งต่อเนื่องหลายวันในช่วงกลางคืน ก่อนที่ชายคนนี้จะขอมีเพศสัมพันธ์ในสถานบริการ เพื่อแลกกับเงินหลักหมื่นบาท ซึ่งหมอนวดคนนี้ก็ยินยอมเพราะครอบครัวมีปัญหา เนื่องจากถูกสามีทิ้งและลูกชายที่เลี้ยงดูอยู่ก็เป็นเด็กพิการ
ทั้งนี้ การมีเพศสัมพันธ์กันแต่ละครั้งพระผู้ใหญ่รูปนี้จะจ่ายเงินตอบแทนให้ครั้งละ20,000-30,000 บาท จนกระทั่งวันหนึ่งช่วงหลังฝ่ายหญิงเริ่มสงสัยพฤติกรรม เพราะมาแต่ละครั้งจะหลบๆ ซ่อนๆ และในที่สุดก็ยอมบอกว่าตัวเองเป็นพระสงฆ์ แต่แอบออกจากวัดมา ซึ่งหมอนวดก็ให้การด้วยว่าตอนนั้นรู้สึกตกใจมาก แต่พระผู้ใหญ่รูปนี้ก็เสนอเงินเดือนให้แลกกับการไม่ต้องทำอาชีพหมอนวด ให้เดือนละ 30,000 บาท รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีก นอกจากนี้ยังส่งให้ไปเรียนเสริมสวยและเปิดร้านเสริมสวยให้ด้วย เธอจึงยินยอม
หรือพูดง่ายๆ พระผู้ใหญ่รายนี้เกิด “ติดใจ” จึงอยาก “เลี้ยงดู” ให้เป็นเรื่องเป็นราวนั่นเอง
ที่น่าสนใจคือ หลังเข้าเรียนที่โรงเรียนเสริมสวยแล้ว พระผู้ใหญ่คนนี้ให้ลูกศิษย์ชายคนสนิทพาไปพบที่กุฏิในวัด ก่อนเข้าจะดูลาดเลาช่วงที่ไม่มีใครเห็นทั้งกลางวันและกลางคืน แต่ละครั้งที่เข้าไปพบจะให้บีบนวดก่อนมีเพศสัมพันธ์ แถมยังให้เล่น “เซ็กซ์โฟน” อีกต่างหาก แต่เมื่อปีที่แล้วพระผู้ใหญ่คนเดิม พยายามตีตัวออกห่างไม่ให้เข้าพบและหลบหน้า ต่อมารู้ว่าไปมีหญิงอื่น และยังมีผู้หญิงอีกหลายคนด้วย
อย่างไรก็ดี นอกจากเรื่อง “สีกา” แล้วดูเหมือนว่าทางเจ้าหน้าที่จะพบเงื่อนงำเกิดขึ้นที่ “วัดสามพระยา” ค่อนข้างมาก หลังจากค้นพบ “โฉนดที่ดินของฆราวาส” จำนวนมากอยู่ในกุฏิของอดีตพระอรรถกิจโสภณ โดยมีตั้งข้อสังเกตว่าอาจเกี่ยวข้องกับการรับจำนองโฉนดที่ดินหรือออกเงินกู้ด้วยหรือไม่
ขณะที่เมื่อสืบสาวประวัติของทั้งทิดจำนงค์และทิดธงชัยก็พบว่า ทั้งสองคนจบการศึกษาชั้นนักธรรมเอก แต่ไม่ได้เล่าเรียนบาลีหรือเปรียญธรรมมาก่อน ซึ่งถือเป็นเรื่องแปลกในวงการสงฆ์ที่พระทั้ง 2 รูปที่ไม่ได้จบเปรียญธรรมแม้แต่ประโยคเดียว แต่สามารถขึ้นมาถึงระดับรองสมเด็จพระราชาคณะในชั้นพรหมได้ กระทั่งกล่าวได้ว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์
ยิ่งไปกว่านั้นอดีตพระเถระผู้ใหญ่ทั้งสองรูปยังมีอาวุโสน้อยมากหากเทียบกับพระสงฆ์รูปอื่นๆ ในมหานิกาย ต่างจากอดีตพระพรหมดิลกที่จบเปรียญธรรม 9 ประโยค ที่ถือเป็นเรื่องปกติ
….วันนี้ เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์แล้ว และเชื่อเหลือเกินว่า การสังคายนาสงฆ์ไทยจะดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง