xs
xsm
sm
md
lg

เลิกแน่ๆ... โครงการที่มีแต่สร้างหนี้

เผยแพร่:   โดย: อ.สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร

<b>ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย</b>
ดร.เอ็ม เข้ามาบริหารหลังประชุมครม.นัดแรกได้เพียง 12 วัน ก็ประกาศเลิกโครงการยักษ์สร้างรถไฟความเร็วสูง (HSR หรือ Hi-Speed Rail) เชื่อม KL และสิงคโปร์ ซึ่งเป็นโครงการ Signature ของคณะรัฐบาลชุดก่อน ที่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยกับการเนรมิตโครงการยักษ์มากมาย และมีผลประโยชน์แอบแฝงด้วยการรับใต้โต๊ะจากงบประมาณที่ต้องจ่ายให้กับโครงการเหล่านี้

เขาประกาศเมื่อวันจันทร์ที่ 28 พฤษภานี้เองว่า ตัวเลขหนี้สาธารณะของมาเลเซียสูงมาก สูงกว่าตัวเลขโกหกที่รัฐบาลชุดที่แล้วปั้นแต่งขึ้น

เขาบอกว่า รัฐบาลใหม่ได้พบว่า ตัวเลขหนี้ที่อดีตนายกฯ นาจิบโกหกว่าอยู่ที่ไม่เกิน 50% ของ GDP นั้น ที่แท้มันสูงถึง 65% ของ GDP (และสื่อ Malay Mail ยังอ้างว่ามันสูงถึง 80% ของ GDP) ซึ่งเป็นเหตุผลที่ดร.เอ็ม จำเป็นต้องตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นของรัฐบาล เพราะจะต้องกู้เงินสูงมากเพื่อมาใช้จ่ายกับโครงการที่ไม่จำเป็น

โครงการรถไฟความเร็วสูงนี้ เกิดเป็นแนวคิดร่วมกันระหว่างอดีตนายกฯ นาจิบ และนายกฯ ลี เซียน หลุง ของสิงคโปร์เมื่อปี 2013 และได้มีการลงนามโดยผู้นำทั้งสองในปี 2016

เมื่อวันลงนามข้อตกลง นายกฯ นาจิบได้กล่าวอย่างชื่นชมกับโครงการนี้ว่า ผู้โดยสารในรถไฟความเร็วสูงนี้... สามารถรับประทานอาหารเช้าที่ KL, แล้วไปทานมื้อเที่ยงที่สิงคโปร์, แล้วกลับมาทานอาหารเย็นที่ KL ได้สบายๆ

ระยะทางระหว่าง KL และสิงคโปร์คือ 350 กม.วิ่งด้วยความเร็วสูงสุด 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งดร.เอ็ม ให้เหตุผลว่า ยังมีการเดินทางทั้งเรือบิน, รถไฟด่วน, รถยนต์ผ่าน Freeway ได้สบายๆ โดยดร.เอ็ม บอกว่า มันไม่ได้ไกลมากจนเกินไป เขาห่วงว่ารายได้จากโครงการรถไฟด่วนจะไม่คุ้มกับการลงทุนมหาศาลถึง 20,000 ล้านดอลลาร์ (เกือบ 1 ล้านล้านบาท) ขณะที่ประหยัดเวลาได้แค่ชั่วโมงกว่าๆ เท่านั้นเอง

โครงการนี้กำลังอยู่ในขั้นการเสนอประกวดราคา และมีบริษัททั้งจากจีน, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ และยุโรปกำลังจ้องตาเป็นมันวาวเพื่อคว้าสัญญา ทั้งด้านการก่อสร้าง, การบริหารงาน รวมทั้งการจะเป็นแหล่งเงินทุนให้แก่โครงการนี้

กลุ่ม Consortium ที่ชนะการประมูลออกแบบ (Reference Design Consultan Contract) คือ Korea Rail Network Authority ร่วมกับบริษัทเกาหลีจำนวนหนึ่ง ส่วนกลุ่มบริษัทจีนที่สนใจเข้าประมูลงานคือ China Railway Signal & Communication Corporation และ CRRC กลุ่มบริษัทเยอรมนีคือ Siemens AG, บริษัทฝรั่งเศสคือ Alstom SA และยังมีกลุ่มบริษัทยักษ์ของญี่ปุ่นและเกาหลีด้วย

ตามแผนของนาจิบ โครงการนี้จะเสร็จพร้อมให้บริการในอีก 8 ปีข้างหน้า (ปี 2026)

ดร.เอ็ม ประกาศขอเจรจาการจ่ายค่าปรับชดเชยแก่สิงคโปร์ เพราะมาเลเซียขอถอนตัวจากโครงการก่อน โดยค่าชดเชยนี้ประมาณ 500 ล้านริงกิต (ประมาณ 4 พันล้านบาท)

โครงการนี้ 90% ของเครือข่ายการเดินรถจะอยู่ในแผ่นดินมาเลเซีย ซึ่งจะต้องมีอาคารผู้โดยสารขึ้นลง และกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ 1MDB จะเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ตามสถานีต่างๆ (คงหวานคอแร้ง-ลูกชาย AZIZ, ลูกติดแม่ของนางRosmah Mansor-อดีตสตรีหมายเลข 1 ของนาจิบที่บ้าคลั่งทั้งเพชรสีชมพู และกระเป๋าหรูเรือนล้านบาทจากฝรั่งเศส-รวมทั้งคู่หูนักการเงินของนายAZIZ เป็นคนมาเลย์เชื้อสายจีนชื่อโจ-โล ที่กำลังถูกกระทรวงยุติธรรม สหรัฐฯ อายัดเรือยอร์ชราคาแพงของเขา)
<b>อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซียนาจิบ ราซัค และภรรยา</b>
ดร.เอ็ม เข้ามาทำงานได้แค่ 2 อาทิตย์ ประกาศเปรี้ยงปร้างลดเงินเดือนครม.ลง 10%, ลดขนาดครม.ลงจาก 25 เหลือแค่ 10 คน; เลิกโครงการแพงลิบ-รถไฟความเร็วสูงเชื่อมสิงคโปร์, ก็เพราะเขาเกรงว่า ประเทศมาเลเซียจะไปถึงจุดล้มละลายจากหนี้สินล้นพ้นตัว รวมทั้งการคอร์รัปชันที่เกิดจากโครงการยักษ์ๆ เหล่านี้

เขาเดินหน้าสางการคอร์รัปชันของกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ 1MDB เพื่อนำเอาเงินที่ถูกยักยอกไปกลับคืนมา; และเป็นที่ยำเกรงแก่เหล่าบรรดาข้าราชการประจำที่จะต้องระวังตัวไม่คดโกงแผ่นดินอย่างง่ายๆ อีก

ดร.เอ็ม ยังได้ประกาศขอเจรจาปรับเปลี่ยนเงื่อนไขโครงการเชื่อมกับ Belt and Road ของจีนคือ โครงการ East Coast Rail Link ทางฝั่งตะวันออกของมาเลเซียความยาวเกือบ 700 กม. และบริษัท China Communications Construction Co. Ltd. กำลังก่อสร้างอยู่ โดยใช้เงินกู้จาก China Export-Import Bank มูลค่าสูงเกือบ 1 หมื่น 4 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 5 แสนล้านบาท) ซึ่งดร.เอ็ม ได้เคยประกาศไว้ว่า จะทบทวนโครงการใหม่ๆ เหล่านี้ตั้งแต่ตอนหาเสียงก่อนเลือกตั้ง

ดร.เอ็ม ดำเนินการปราบคอร์รัปชันอย่างรวดเร็ว และเข้มข้น แม้อายุเกือบ 93 แล้ว ไม่งุ่มง่ามมัวแต่ตาขวางอารมณ์เสียกับนักข่าวหรือนั่งแต่งเพลงปลอบใจไปวันๆ งานใหญ่ๆ แบบปราบคอร์รัปชันกลับไม่ทำ..... อย่างเช่นประเทศเพื่อนบ้านของมาเลเซีย มีแต่จะกู้ๆๆ เงินมาทำอภิมหาโครงการ ทั้งๆ ที่รายรับจากโครงการอาจไม่คุ้มกับหนี้ที่ไปกู้มาด้วยซ้ำ


กำลังโหลดความคิดเห็น