xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

เบื้องลึก “คำสั่ง” ล้าง “แก๊งเงินทอนวัด” จับ 3 “พระพรหม” - ชำระ “วัดสระเกศ” ปฏิบัติการสังคายนา “ยุทธจักรดงขมิ้น”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - คดีทุจริต “เงินทอนวัด” กลับมาร้อนระอุอีกครั้ง หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมหมายศาลนำกำลังบุกเข้าตรวจค้นและจับกุมพระเถระชั้นผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการทุจริต “คดีเงินทอนวัด” ตาม “หมายจับ” เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2561 ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ พระเถระชั้นผู้ใหญ่ประกอบไปด้วย “3 พระพรหม” ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นกรรมการมหาเถรสมาคม(มส.) องค์กรปกครองสูงสุดของคณะสงฆ์ไทย ได้แก่ “เจ้าคุณเอื้อน”หรือพระพรหมดิลก(เอื้อน หาสธมฺโม) เจ้าอาวาสวัดสามพระยา เจ้าคณะกรุงเทพฯ และกรรมการมหาเถรสมาคม และ พระอรรถกิจโสภณ เลขาเจ้าคณะกรุงเทพ ในข้อหาร่วมกันฟอกเงิน “เจ้าคุณจำนงค์”-พระพรหมเมธี (จำนงค์ ธมฺมจารี) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศาราม กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) และเจ้าคณะภาค 4-7 ในข้อหาร่วมกันฟอกเงิน

ตามต่อด้วย พระพรหมสิทธิ(ธงชัย สุขญาโณ) หรือ “เจ้าคุณธงชัย” เจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) และเจ้าคณะภาค 10 พร้อมกับผู้ช่วยเจ้าอาวาสอีก 3 รูป ได้พระศรีคุณาภรณ์ หรือพระมหาบุญทวี คำมา พระครูสิริวิหารการสมจิตร จันทร์ศรี และพระราชกิจจาภรณ์(เทอด ญาณวชิโร) หรือเจ้าคุณเทอด ในข้อหาร่วมกันกระทำความผิดคดีทุจริตเงินอุดหนุนการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม และข้อหาร่วมกันฟอกเงิน รวมถึง นายทวิช สังข์อยู่ อายุ 42 ปี เจ้าหน้าที่ของวัดผู้มีอำนาจเซ็นชื่อเบิกจ่ายเงินในบัญชีของวัด ในข้อหาร่วมกันฟอกเงิน

ปฏิบัติการดังกล่าวถือว่ามีนัยสำคัญยิ่ง กระทั่งสามารถกล่าวได้ว่าคือ “จุดเริ่มต้น” ใน “การชำระ” หรือ “สังคายนายุทธจักรดงขมิ้น” ครั้งใหญ่ได้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

กล่าวสำหรับต้นสายปลายเหตุของการจับกุมดังกล่าวเป็นผลมาจากการที่ พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์” ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) แจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษต่อกองบังคับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ปปป.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในคดี “ทุจริตเงินทอนวัด” ในพื้นที่กรุงเทพมหานครโดยเป็นการทุจริตเกี่ยวกับงบการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา แผนกธรรม และแผนกบาลี และงบเผยแผ่ศาสนา มีความเสียหายทั้งสิ้น 70 ล้านบาท

กล่าวคือ พศ.ได้ส่งเงินอุดหนุนการศึกษาไปให้วัดทั้ง 3 แห่ง แต่พบว่าวัดสัมพันธวงศาราม ไม่มีโรงเรียนพระปริยัติธรรม ทางวัดจึงนำเงินไปสร้างกุฏิ ขณะที่วัดสระเกศฯ มีโรงเรียนพระปริยัติธรรม แต่นำเงินไปใช้เพื่ออุดหนุนพระธรรมทูตไทยในต่างประเทศ รวมถึงวัดสามพระยาที่ใช้เงินผิดประเภทเช่นกัน สาเหตุดังกล่าวจึงนำไปสู่การกล่าวโทษ

นี่นับเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตที่สั่นสะเทือน “ยุทธจักรดงขมิ้น” ครั้งสำคัญ โดยเฉพาะ “วัดสระเกศฯ” ที่กล่าวได้ว่า เป็นชนวนเหตุของคดีความและการจับกุมดังกล่าว เพราะงานนี้ทั้ง “เจ้าอาวาส” และ “ผู้ช่วยเจ้าอาวาส” ต้องคดีและถูกหมายจับถึง 4 รูปเลยทีเดียว

ย้อนหลังกลับไปก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน เค้าลางแห่ง “การชำระ” หรือ “การสังคายนา” ครั้งประวัติศาสตร์ เกิดขึ้นเมื่อตำรวจกองบังคับการกองปราบปราม (บก.ป.) นำกำลังเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ กก.1 และ กก.4 บก.ป. พร้อมเจ้าหน้าที่ ปปง. นำหมายค้นศาลจังหวัดมีนบุรี เลขที่ 200/2561 ลงวันที่ 16 พฤษภาคม 2561 เข้าตรวจค้นบ้านเลขที่ 265/154 หมู่บ้านสีวลีรามคำแหง ถ.ราษฎร์พัฒนา (ซอยมิสทีน) แขวงและเขตสะพานสูง หลังสืบทราบว่าบุคคลที่พักอาศัยในบ้าน มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีทุจริตงบฯเผยแผ่พระพุทธศาสนา หรือคดีเงินทอนวัด

และวัดที่ว่านั้นก็คือ “วัดสระเกศ”

ทั้งนี้ บ้านหลังดังกล่าวมี ร.ท.ฐิติทัตน์ นิพนธ์พิทยา เจ้าหน้าที่ทหารสังกัดศูนย์รักษาความปลอดภัย (ศรภ.) กองบัญชาการกองทัพไทย เป็นเจ้าของ ซึ่งเมื่อตรวจสอบข้อมูลแล้ว พบว่า “ไม่ธรรมดา” และสามารถเชื่อมโยงให้เห็น “อะไรๆ” บางอย่างที่ถูก “ปิดลับ” มานาน เนื่องจากเขาคืออดีตเลขานุการของ นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส อดีตผู้ว่าการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)

นอกจากนั้น น.ส.นุชรา สิทธินอก แม่ค้าขายลูกชิ้นที่ตลาดสี่มุมเมืองซึ่งมาทำอาชีพเสริมด้วยการช่วยเลี้ยงดูบุตรหลานให้กับเจ้าของบ้านหลังดังกล่าว ปรากฏชื่อเป็นผู้รับโอนเงินจำนวน 25 ล้านบาท จากพระผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับคดีเงินทอนวัดสระเกศ แถมยังมีชื่อเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้น ห้างหุ้นส่วนจำกัด (หจก.) ดี ดี ทวีคูณ ซึ่งจดแจ้งสถานที่ตั้งในบ้านหลังเดียวกับที่ตำรวจเข้าตรวจค้น

และ ห้างหุ้นส่วนจำกัด (หจก.) ดี ดี ทวีคูณ ก็คือ บริษัทที่รับจ้างผลิตสื่อประชาสัมพันธ์ให้กับหน่วยงานราชการและทหาร รวมวงเงินหลายสิบล้านบาท โดยเงินจำนวน 25 ล้านบาท ที่ น.ส.นุชราได้รับ ก็คือค่าจ้างผลิตสื่อประชาสัมพันธ์กับวัดสระเกศฯ และศาลก็ได้ออกหมายจับ น.ส.นุชรา สิทธินอก เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ห้างหุ้นส่วนดังกล่าว ปรากฎชื่อ นาย กนกศักดิ์ ภูทองอูบ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการผู้มีอำนาจ ขณะที่รายชื่อผู้ถือหุ้น ณ 18 ตุลาคม 2560 ประกอบด้วยนายกนกศักดิ์ ภูทองอูบ ถือหุ้นใหญ่สุด 85.7143% น.ส. นุชรา สิทธินอก ถือหุ้นอยู่ 14.2857% นำส่งงบการเงินแสดงผลประกอบการธุรกิจ ณ 31 ธันวาคม 2559 แจ้งว่า มีรายได้รวม 5,616,692.16 บาท รวมรายจ่าย 6,756,401.96 บาท ขาดทุนสุทธิ 1,139,709.80 บาท แต่ก็เป็นที่รับรู้กันว่า เจ้าของตัวจริงก็คือ “สีกาจุ๋ม” หรือ ฑัมม์พร นิพนธ์พิทยา ผู้เป็นแม่ของ ร.ท.นิติทัตน์

กล่าวสำหรับ ร.ท.ฐิติทัตน์นั้น พูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าเขาคือ “ลูกศิษย์วัดสระเกศ” ที่เข้านอกออกในได้

ร.ท.ฐิติทัตน์ เคยอุปสมบทที่วัดแห่งนี้ เมื่อเดือนมิถุนายน 2559 โดยมี “เจ้าคุณธงชัย” เป็น “พระอุปัชฌาย์” มี “เจ้าคุณเทอด” หรือพระราชกิจจาภรณ์ และพระราชอุปเสนาภรณ์ (สังคม ญาณวฑฺฒโน) สองผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ ที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหาคดีเงินทอนวัดในล็อตที่ 3 เป็น “พระพี่เลี้ยง”

มีอดีตผู้ว่าฯ สตง.คือ “นายพิศิษฐ์” เป็นประธาน และมี นายบุญเลิศ โสภา อดีตผู้อำนวยการกองพุทธศาสนศึกษา สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ที่ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีเงินทอนวัดล็อตที่ 2 ปรากฏกายเป็นผู้ร่วมงานด้วย

เห็นโยงใยความสัมพันธ์แล้วจะไม่ให้ร้อง “อื้อฮือ” ได้อย่างไร

เพราะฉะนั้นจงอย่าแปลกใจที่ตำรวจจะไปจะไปตรวจค้นบ้าน และกองบัญชาการกองทัพไทยมีคำสั่งสำรองราชการและสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริงโดยทันควัน

ที่สำคัญคือ จากการตรวจสอบพบว่า หลังจากนายพิศิษฐ์ หมดอำนาจใน สตง. ร.ท.ฐิติทัตน์ได้ย้ายเข้ามารับราชการที่กระทรวงกลาโหม เมื่อวันที่ 9 ก.พ.2559 ที่ผ่านมา แจ้งวุฒิการศึกษาระดับปริญญาโท มหาวิทยาลัยเกริก สาขาการสื่อสารการท่องเที่ยวและบันเทิง เข้าสมัคร เคยผ่านหลักสูตรรักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญ รุ่น 25 ของศรภ.กอง 8 ได้รับเงินเดือน 19,600 บาท ก่อนที่ในช่วงเดือน ต.ค.2560 จะถูกขอตัวมาช่วยงานที่ สน.เสธ ทหาร

ขณะที่แหล่งข่าวจากกองทัพไทย ให้ข้อมูลยืนยันว่า ร.ท.ฐิติทัตน์เข้ามารับราชการทหาร เพราะมีผู้ใหญ่ฝากมาทำงานในกองทัพ แต่หลังจากได้รับการบรรจุเข้ารับราชการที่ ศรภ.แล้ว ไม่เคยเข้ามาทำงานที่ ศรภ.แต่อย่างใด ตั้งแต่รองเสธ.จนกระทั่งเป็นเสธ. ก่อนที่จะมีการทำเรื่องขอตัวจาก สน.เสธทหาร ไปช่วยราชการติดตาม พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญจศรี แต่ก็มีข่าวว่า ร.ท.ฐิติทัตน์ มักจะไปปรากฎตัวที่วัดสระเกศ เนื่องจากเป็นคนสนิทเจ้าอาวาสวัดสระเกศ เข้านอกออกในวัดอยู่เป็นประจำ

นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส อดีตผู้ว่าฯ สตง. ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวอิศราว่า ร.ท.ฐิติทัตน์ เคยมาติดตามช่วยงานตนในช่วงที่ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าฯ สตง. อยู่ระยะหนึ่ง เป็นคนที่มีความคล่องตัวในการทำงาน และเท่าที่ทราบแม่ของ ร.ท.ฐิติทัตน์ เปิดบริษัทและได้รับว่าจ้างงานสื่อประชาสัมพันธ์ของวัดสระเกศอยู่ ส่วนรายละเอียดอื่น ไม่ทราบข้อมูลอะไรมาก

คำให้สัมภาษณ์ของอดีตผู้ว่าฯ สตง.ทำให้รับรู้ได้ว่า มีความรู้จักมักคุ้นกับ ร.ท.ฐิติทัตน์ และรู้จักมักคุ้นครอบครัวของ ร.ท.ฐิติทัตน์เป็นอย่างดี เพราะมิฉะนั้นแล้วจะไม่มีทางมาทำงานในตำแหน่งสำคัญในฐานะเลขานุการผู้ว่าฯ สตง.ได้อย่างแน่นอน แถมเมื่อนายพิศิษฐ์พ้นจากตำแหน่งแล้ว ยังสามารถข้ามห้วยไปรับราชการทหารได้อีก

คำถามก็คือ ใครคือผู้ฝาก ร.ท.ฐิติทัตน์ให้มาเป็นเลขาฯ ผู้ว่าฯ สตง.

คำถามก็คือ ใครเป็นคนผลักดันให้ ร.ท.ฐิติทัตน์เข้ารับราชการทหาร?

ยิ่งเมื่อย้อนอดีตไปถีงคดีการใช้งบประมาณในพิธีพระราชทานเพลิงศพ สมเด็จพระพุฒาจารย์ หรือ “สมเด็จเกี่ยว” อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ ที่ “อดีตผู้ว่าฯ พิศิษฐ์” ได้เข้าไปตรวจสอบ และนำไปสู่การที่ พระพรหมดิลก หรือ หรือเจ้าคุณเอื้อน เจ้าอาวาสวัดสามพระยาฯ กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) ในฐานะเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร สั่งพักงาน “เจ้าคุณเสนาะ” หรือ พระพรหมสุธี แล้วแต่งตั้ง พระพรหมสิทธิ หรือ “เจ้าคุณธงชัย” ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ ขึ้นเป็นเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ แทนจนถึงปัจจุบัน ขณะที่ตัวเจ้าคุณเสนาะเองก็ได้กระทำอัตวินิบาตกรรมในเวลาต่อมา ก็ยิ่งเห็นภาพที่เด่นชัดขึ้น

นายพิศิษฐ์สนิทกับเจ้าคุณธงชัยแห่งวัดสระเกศหรือไม่ ไม่ทราบได้

แต่ที่แน่ๆ คือในระยะหลังๆ ดูเหมือนว่า นายพิศิษฐ์จะให้สัมภาษณ์ในทำนองที่ไม่เห็นด้วยกับการทำงานของ พ.ต.อ.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) ในคดีเงินทอนวัดอยู่บ่อยครั้ง


ประเด็นที่จะต้องตรวจสอบถัดมาก็คือ น.ส.ฑัมม์พร นิพนธ์พิทยา หรือที่คนในวัดสระเกศฯ มักเรียกกันติดปากว่า “คุณจุ๋ม” แม่ของ ร.ท.ฐิติทัศน์คือใคร?

ทั้งนี้ มีข้อมูลว่า เธอดำรงสถานะเป็นผู้จัดการผลประโยชน์ของวัด และของ พระพรหมสิทธิ (ธงชัย สุขญาโณ) เจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ ทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่อาหาร ที่จำวัด อีกทั้งเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ ยังนำสีกาคนนี้ ไปออกงานเกือบทุกงานทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งพระพรหมสิทธิ เป็นผู้บังคับบัญชาของพระธรรมทูตทั้งหมด และนอกจากสีกาที่ชื่อ “จุ๋ม” แล้ว ยังมีสีกาที่ชื่อ “ป้อม” และ “หน่อย” และอีกหลายสิบคนที่เข้ามามีผลประโยชน์กับพระเถระชั้นผู้ใหญ่ในวัดใหญ่อีกหลายคน

ขณะที่เมื่อสืบลึกลงไปพบว่า “สีกาจุ๋ม” ผู้นี้มีพื้นเพเป็นคน ต.ท่าตำหนัก อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม แต่กว่าจะถึงวันนี้ ก็มีเส้นทางโลดโผนพอสมควร .. ว่ากันว่า “น้องจุ๋ม” เคยเป็น “นกน้อยในกรงทอง” ของ “น้องเล็ก” ในตระกูลใหญ่แห่ง “เมืองพระปฐมเจดีย์” แล้วก็ทั้งผลักทั้งดันให้ “น้องจุ๋ม” สามารถนั่งเก้าอี้นายกเทศมนตรี “นครชัยศรี” กันเลยทีเดียวเชียว

นอกจากนี้ ยังสมนาคุณทั่วถึง ผลักดัน “พ่อน้องจุ๋ม” ปรีชา นิพนธ์พิทยา อดีตข้าราชการด้านศึกษา เล็กๆ จนได้รับเลือกเป็น ส.ว.นครปฐม เมื่อปี 2549 ก่อนมีการรัฐประหารในปีเดียวกัน .. ทว่าในขณะที่กำลังขึ้นหม้อ “น้องจุ๋ม” กลับไปสร้างเรื่องกับ “พนักงานดับเพลิงเทศบาล” จนตกเป็นขี้ปากชาวบ้าน .. มีข่าวว่า “บ้านใหญ่” จะตามเช็กบิล ต้องหนีเอาตัวรอด ยกครัวอพยพจาก จ.นครปฐม มาอยู่ กทม. .. และด้วยอานิสงส์ สมัยมีตำแหน่งเคยเป็นโต้โผจัดพิธีตักบาตรพระสงฆ์ 1,111 รูป ในโครงการตักบาตรพระ 500,000 รูป ของ “วัดธรรมกาย” มาก่อน ก็เลยทำให้ได้ “เข้าทางธรรม” ใกล้ชิดกับ “พระผู้ใหญ่สายจานบิน” จนไปต้องชะตา “เจ้าคุณธงชัย” และถูกดึงมาช่วยงานวัดสระเกศฯ

และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ปะติดปะต่อมาเชื่อมโยงกับคดีทุจริตเงินทอนวัด ซึ่งนำไปสู่การออกหมายจับ “3 พระพรหม” และ 3 ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ ตลอดรวมถึงฆราวาสที่มีส่วนเกี่ยวข้องเมื่อวันที่ 24 พ.ค.2561 ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ พระพรหมมุนี กรมการมหาเถรสมาคม ในฐานะเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช เปิดเผยว่า สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงมีพระบัญชาให้กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) พ้นจากตำแหน่ง 3 รูป ดังนี้ พระพรหมดิลก เจ้าอาวาสวัดสามพระยา เจ้าคณะกรุงเทพมหานคร, พระพรหมเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศาราม, พระพรหมสิทธิ เจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ประมวลผลเสนอมา

ขณะที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ก็มีคำสั่งไม่ให้ประกันตัวพระเถระทั้ง 5 รูปในคดีดังกล่าว ประกอบด้วย พระพรหมดิลก(เอื้อน หาสธมฺโม) เจ้าอาวาสวัดสามพระยา พระอรรถกิจโสภณ เลขาเจ้าคณะกรุงเทพ รวมทั้ง 3 ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ ได้แก่พระศรีคุณาภรณ์ หรือพระมหาบุญทวี คำมา พระครูสิริวิหารการสมจิตร จันทร์ศรี และพระราชกิจจาภรณ์(เทอด ญาณวชิโร) หรือเจ้าคุณเทอด

นั่นหมายความว่าทั้งหมด “ต้องสึก” ก่อนส่งตัวเข้าคุมขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพ

เช่นเดียวกับ “สีกาจุ๋ม” หรือ น.ส.ฑัมม์พร นิพนธ์พิทยา ผู้เป็นแม่ของ ร.ท.นิติทัตน์ และ น.ส.นุชรา สิทธินอก แม่บ้าน ซึ่งปรากฏชื่อเป็นผู้รับเงิน 25 ล้านบาทในคดีทุจริตเงินทอนวัด ที่ศาลอาญาฯ มีความเห็นให้ฝากขังและไม่อนุญาตให้ประกันตัวเช่นกัน

ขณะที่ เจ้าคุณธงชัย ขณะเข้าตรวจค้นไม่พบตัวอยู่ในวัด เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างตรวจสอบกล้องวงจรปิด ทราบจากลูกศิษย์วัดว่า พบเห็นครั้งสุดท้ายคือ เมื่อช่วงเวลา 16.00 น. ของวันที่ 23 พ.ค. ที่ผ่านมา โดยบอกกับลูกศิษย์ว่า จะออกไปตรวจงานก่อสร้างภายในวัด ก่อนที่จะหายไปและไม่กลับมาอีกเลย แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า เจ้าหน้าที่พบประตูเล็กๆ ข้างวัด มีลักษณะคล้ายประตูลับ ซึ่งจะออกไปสู่ถนนบำรุงเมืองได้ ส่วนบัญชีธนาคารส่วนตัวที่มีเงินมากกว่า 130 ล้านบาท เจ้าหน้าที่ป้องกันและปรามปรามการฟอกเงิน (ปปง.)ได้อายัดเงินทั้งหมดไว้แล้ว ส่วนเจ้าคุณจำนงค์ในวันตรวจค้นก็ไม่พบตัวเช่นกัน

วันนี้ ...การสังคายนายุทธจักรดงขมิ้นแบบไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมได้เกิดขึ้นแล้วในยุคนี้ และน่าจะเป็นนิมิตหมายอันดีที่จะนำไปสู่การปฏิรูปมหาเถรสมาคม(มส.) อันเป็นองค์กรปกครองสูงสุดของคณะสงฆ์ไทย รวมทั้งปฏิรูปพระพุทธศาสนาในประเทศไทยให้กลับมาเป็นที่เลื่อมใสของพุทธศาสนิกชนคนไทยต่อไป




กำลังโหลดความคิดเห็น