xs
xsm
sm
md
lg

เปิดงานวิจัย โภชนาการแบบไหน ขยายอายุขัยผู้ป่วยมะเร็งได้ (ตอนที่ 3) เปิดผลการทดลองในมนุษย์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ณ บ้านพระอาทิตย์
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

เมื่อปี พ.ศ. 2558 องค์การอนามัยโลกได้กล่าวถึงจำนวนการเกิดโรคมะเร็งได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงระยะเวลา 2 ทศวรรษที่ผ่านมา และมีการประมาณด้วยว่ามากกว่า 30% ของการเกิดโรคมะเร็งสามารถที่จะป้องกันได้ผ่านยุทธศาสตร์สาธารณสุขโดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำสงครามกับสาเหตุการเกิดโรคมะเร็ง ซึ่งรวมถึงสภาวะโรคอ้วน (ดัชนีมวลกายอยู่ในระดับสูง) รวมถึงการขาดการกินอาหารตามธรรมชาติที่ออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ(ส่วนใหญ่อยู่ในพืช) และในขณะเดียวกันสาเหตุที่สำคัญอย่างการดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ก็ยังเป็นสาเหตุอันสำคัญของโรคมะเร็งด้วย [1]

จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้นจึงทำให้มีการวิจัยมากขึ้นเพื่อแสวงหาผลการศึกษาในเรื่องโภชนาการบำบัดและการเปลี่ยนวิถีชีวิตที่เจาะจงลงไปในการป้องกันและมีโอกาสที่จะช่วยบำบัดโรคมะเร็งได้ [2], [3]

โดยเฉพาะในช่วงหลังมานี้เองนักวิจัยเริ่มให้ความสนใจมากขึ้นในเรื่องกลไกการใช้พลังงานของเซลล์มะเร็งที่ใช้ออกซิเจนไปทำการหมักอาหารที่มี “กลูโคส” (ได้มาจากน้ำตาลและแป้งทุกชนิด) และ “กลูตามีน” (กรดอะมิโนที่ได้จากโปรตีน) ในการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง และนั่นจึงเป็นการสนใจในเรื่องอาหารที่มีไขมันสูงดัชนีน้ำตาลต่ำที่สุด [4]

แม้จะมีการวิจัยที่กล่าวถึงอาหารคีโตเจนิกสำหรับโรคมะเร็งอยู่หลายสัดส่วน โดยบางสูตรนั้นได้ระบุถึงการให้อาหารที่เป็นไขมันและโปรตีนรวมกัน 3 ส่วน และมีคาร์โบไฮเดรตน้อยกว่า 1 ส่วน ซึ่งจะมีความคล้ายคลึงกับสภาพการอดอาหารที่มีน้ำตาล

ช่วงเวลาอดอาหาร หรือ ช่วงเวลาที่บริโภคอาหารที่มีไขมันสูงโดยงดแป้งและน้ำตาลให้ต่ำที่สุดที่เรียกว่าอาหารคีโตเจนิกนั้น จะทำให้ร่างกายทำการแปลงไตรกลีเซอไรด์จากไขมันที่สะสมอยู่ให้มาอยู่ในรูป “คีโตน” ซึ่งรวมถึง อะซีโตอะซีเตท (Acetoacetate), อะซีโตน (Acetone) และ เบต้า-ไฮดรอกซีบิวไทเรท (β-hydroxybutyrat) ซึ่งจะกลายเป็นพลังงานให้กับเซลล์ส่วนใหญ่ได้ ซึ่งรวมถึงเซลล์กล้ามเนื้อและประสาทด้วย [4]

หลักการนี้ทำให้เซลล์ทั่วไปได้พลังงานจากไขมันแทนน้ำตาล ในขณะที่เซลล์มะเร็งก็จะไม่ได้อาหารที่กลายเป็นน้ำตาลได้ลดลงไปด้วย ในขณะเดียวกันเมื่อกินไขมันสูงก็จะส่งผลทำให้โปรตีนที่จะกลายมาเป็นกลูตามีนต่ำไปด้วยเช่นกัน

การกินไขมันสูงนั้นจะให้ผลดีได้ก็ต้องเลือกไขมันด้วย ในงานวิจัยหลายชิ้นพบว่ายิ่งโมเลกุลของไขมันมีขนาดสั้นที่สุดก็จะได้ผลมากที่สุด นั่นหมายถึงกรดไขมันสายปานกลาง ซึ่งส่วนใหญ่จะพบได้จากน้ำมันมะพร้าว(รวมถึงหัวกะทิ) นอกจากนั้นก็ยังรวมหมายถึงไขมันชนิดดีที่ช่วยลดการอักเสบหรือไขมันที่มีโอเมก้า 3 สูงๆ ซึ่งพบมากในงาขี้ม้อน, เมล็ดแฟลกซ์, เมล็ดเจีย, ถั่วเมล็ดกัญชง, และผักรสเผ็ดสุขุม ฯลฯ และยังรวมได้ถึงน้ำมันโอเลอิกซึ่งมีมากในน้ำมันมะกอกและอะโวคาโด นอกจากนั้นยังมีการใช้อาหารที่ออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงในกลุ่มสารโพลีฟีนอล (ซึ่งพบมากในพืชหลายชนิด) ซึ่งปรากฏว่ามีการผลิตเป็นคู่มือและหนังสือการทำอาหารไขมันสูงเพื่อบำบัดโรคมะเร็งในประเทศเยอรมนีตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552 แล้ว [5], [6]

นอกจากอาหารที่มีไขมันสูงและสารต้านอนุมูลอิสระแล้ว อีกองค์ประกอบหนึ่งที่ควรให้ความสำคัญเช่นกันคือ “เครื่องเทศ” ซึ่งนักวิจัยพบว่าความสามารถในการดูดซับอนุมูลอิสระออกซิเจนอยู่ในระดับสูงกว่าผักและผลไม้อื่นๆ [7]

อย่างไรก็ตามแม้ว่าอาหารจะเป็นปัจจัยภายนอกที่สามารถเป็นอาหารในการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งในสัตว์ทดลองได้ก็ตาม แต่ก็ยังมีอีกสภาพหนึ่งที่สำคัญเช่นกัน คือ “สภาพผอมหนังหุ้มกระดูกในผู้ป่วยโรคมะเร็ง (Cancer Cachexia)” ซึ่งพยาธิสภาพของผู้ป่วยนั้นเกิดสารหลั่งจากเซลล์มะเร็งก่อให้เกิดการสลายโปรตีนในกล้ามเนื้อและลดการสังเคราะห์โปรตีนใหม่ ส่งผลทำให้กล้ามเนื้อสลายตัวส่งผลทำให้อะลานีนและกลูตามีนเพิ่มขึ้น เมื่อถึงขั้นตอนนี้อะลานีนจะไปที่ตับเพื่อสร้างกลูโคส จากนั้นเซลล์มะเร็งก็จะนำกลูโคสที่ได้จากตับไปใช้เป็นพลังงาน นอกจากนั้นยังมีภาวะการเผาผลาญสูงขึ้นผิดปกติ เนื้อเยื่อไขมันสลายตัว เกิดภาวะการอักเสบ และเบื่ออาหาร [8] [9]

ที่กล่าวข้างต้นนี้เพื่อจะทำความเข้าใจว่าแม้ว่าจะมีการควบคุมอาหารป้องกันในส่วนของกลูโคสและกลูตามีนได้ดีแล้ว แต่ก็ต้องควบคู่กับแนวทางในการหยุดยั้งหรือกำจัดเซลล์มะเร็งให้ได้ด้วย มิเช่นนั้นเซลล์มะเร็งก็จะมีความสามารถหาหนทางในการได้กลูโคสจากกลไกสลายกล้ามเนื้อได้อยู่ดี

และเมื่อถึงจุดที่ผู้ป่วยเข้าสู่สภาพผอมหนังหุ้มกระดูก ก็จำเป็นต้องมีการหาหนทางในทางโภชนาการเพื่อบรรเทาสภาวะผอมหนังหุ้มกระดูกจากโรคมะเร็งในหลายมิติที่ต้องบูรณาการเข้าหากัน เช่น การลดการอักเสบ (Inflammatory cytokines), แก้ไขปัญหาการเบื่ออาหาร, การแก้ไขปัญหาการทำงานผิดปกติของต่อมไร้ท่อ, การแก้ปัญหาอัตราการเผาผลาญที่สูงเกินไป, การแก้ไขปัญหาการสลายกล้ามเนื้อและการสังเคราะห์กล้ามเนื้อลดลง, การแก้ไขปัญหาความผิดปกติของระบบทางเดินอาหารที่สูญเสียแบคทีเรียชนิดดี, รวมถึงยังต้องแก้ไขปัญหาท้องผูก ไม่ขับถ่าย และรวมถึงการต้องทำให้ผู้ป่วยเคลื่อนไหวออกกำลังกายด้วย [9], [10]

ตัวอย่างการแก้ไขปัญหาข้างต้นในยุคปัจจุบัน ได้แก่ การใช้ไขมันโอเมก้า 3 เพิ่มมากขึ้นเพื่อลดการอักเสบ , เพิ่มการเจริญอาหารด้วยการใช้กัญชา, การให้อาหารกลุ่มโปรตีนและกรดอะมิโนโซ่กิ่ง (Branch-chain amino acids)เพิ่มมากขึ้น, การรับประทานแบคทีเรียชนิดดีเพิ่มมากขึ้นเพื่อลดอาการความผิดปกติของระบบทางเดินอาหารเพื่อบรรเทาอาการท้องผูก คลื่นไส้, การจัดมื้ออาหาร ให้มีความถี่ต่อวันมากขึ้น, การนวดกดจุดกระตุ้นการทำงานของลำไส้และกล้ามเนื้อรวมถึงการจัดสมดุลในอวัยวะอื่นๆ, การใช้สมุนไพรเพื่อเพิ่มการขับถ่ายหรือสวนล้างลำไส้เพื่อลดสารก่อมะเร็งและสารพิษตกค้าง,รวมถึงการจัดสมดุลธาตุหาหนทางในการลดอัตราการเผาผลาญและแก้ไขความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ (เช่น สมุนไพร หรือ การฝังเข็ม) ควบคู่ไปกับความพยายามให้เคลื่อนไหวและทำกายภาพบำบัดเพิ่มมากขึ้น ฯลฯ

ซึ่งจะเห็นได้ว่าการช่วยเหลือผู้ป่วยโรคมะเร็งที่มีลักษณะอาการดังกล่าวข้างต้นนั้นจำเป็นต้องใช้การบูรณาการหลายศาสตร์เข้าด้วยกัน

กลับมาที่การวิจัยในเรื่องอาหารไขมันสูงคีโตเจนิก (แป้งและน้ำตาลต่ำ)อีกครั้ง ซึ่งแม้ว่าในทางการทดลองในสัตว์ทดลองส่วนใหญ่จะพบว่าการให้อาหารไขมันสูงโดยที่แป้งและน้ำตาลต่ำที่สุดนั้นจะได้ผลดีในการต้านการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง และช่วยขยายอายุขัยของสัตว์ทดลองได้ แต่การทดลองในมนุษย์จะมีอุปสรรคมากกว่านั้น เพราะผู้ป่วยอาจไม่ทนต่ออาหารลักษณะแบบนี้ได้

แม้จะมีอุปสรรคอยู่มากพอสมควรในการแสวงหาข้อเท็จจริง แต่ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่เริ่มมีงานวิจัยในมนุษย์ในเรื่องดังกล่าวเป็นกรณีศึกษาแล้ว และอย่างน้อยก็แสดงให้เห็นว่าการทดลองอาหารกลุ่มนี้ไม่ได้อยู่จำกัดเพียงแค่ทฤษฎี หลอดทดลอง หรือในสัตว์ทดลองแต่เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป

การวิจัยที่พิมพ์เผยแพร่ในวารสารNutrition & metabolismเมื่อปี พ.ศ. 2554 ในผู้ป่วยมะเร็งกลุ่มเล็กๆจำนวน 16 คน มี 9 คนที่รับประทานอาหารคีโตเจนิก แต่ก็มีเพียง 5 คนเท่านั้นที่ระหว่างการรักษาด้วยการคีโมบำบัด สามารถที่จะรับประทานอาหารต่อเนื่องจนจบงานวิจัย 3 เดือนได้ ซึ่งงานวิจัยชิ้นนี้ได้สรุปว่าอาหารคีโตเจนิกเหมาะกับผู้ป่วยโรคมะเร็งแม้กระทั่งผู้ป่วยที่อยู่ในระยะลุกลามก็ตาม พบว่าไม่มีผลข้างเคียงที่รุนแรงยกเว้นท้องผูกและอ่อนล้าบางขณะ แต่คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยกลับดีขึ้นทั้งในแง่การนอนหลับและอารมณ์ [11]

งานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งที่พิมพ์เผยแพร่ในวารสาร Nutrition เมื่อปี พ.ศ. 2556 โดยให้อาหารไขมันสูงหรือคีโตเจนิกในผู้ป่วยมะเร็งระยะลุกลามจำนวน 10 คน เป็นเวลา 26-28 วัน ผลปราฏว่าผู้ป่วยกินอาหารพลังงานแคลอรี่เฉลี่ยน้อยลงประมาณ 35% น้ำหนักลดลงประมาณ 4%

อย่างไรก็ตามในจำนวน 9 คนจาก 10 คนที่เดิมมีภาวะมะเร็งลุกลามอย่างรวดเร็วแต่ภายหลังจากการบริโภคอาหารไขมันสูงคีโตเจนิกแล้ว 5 คนจาก 9 คนกลับพบผลตรวจ PET Scan ว่าทรงตัวหรือมีการบรรเทาการเจริญเติบโตได้บางส่วน และคนที่กินอาหารไขมันสูงคีโตเจนิกจนครบมีค่าคีโตนสูงขึ้น 3 เท่าตัวเมื่อเทียบกับคนที่หยุดกลางคัน นอกจากนี้ยังพบว่าไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วยมะเร็งที่ทรงตัว บรรเทา หรือลุกลามขึ้นรับประทานอาหารจำนวนแคลอรี่และน้ำหนักตัวที่ลดลงไม่แตกต่างกัน และยังพบข้อมูลว่าเมื่อค่าคีโตนสูงขึ้นได้มีผลทำให้อินซูลินในเลือดลดต่ำลง

งานวิจัยชิ้นนี้จึงได้สรุปว่าอาหารกลุ่มไขมันสูงนี้มีความปลอดภัยและมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งในระยะลุกลาม ซึ่งจะต้องมีการศึกษาต่อไปในเรื่องการยับยั้งการหลั่งอินซูลินนั้นจะสามารถเป็นการเสริมการรักษาภาวะการอักเสบหรือความผิดปกติของต่อมไร้ท่อได้หรือไม่ [12]

งานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร International Journal of Oncology เมื่อปี พ.ศ. 2557 ซึ่งเป็นการทดลองใช้อาหารคีโตเจนิกกับผู้ป่วยโรคมะเร็งสมองชนิด Glioblastoma ผลปรากฏกว่าผู้ป่วยที่สามารถกินอาหารไขมันสูงคีโตเจนิกจนจบงานวิจัยมีการเจริญเติบโตของเนื้องอกช้าลง [13] ปรากฏตามภาพประกอบที่ 1.  อย่างไรก็ตามแม้ว่าผลการวิจัยจะพบว่าระดับน้ำตาลของผู้ป่วยจะไม่ได้ลดลงแต่ก็อาจจะเป็นเพราะมีการใช้เสตียรอยด์ร่วมบำบัดด้วย

ผลจากงานวิจัยที่แม้ว่าจะเป็นการทดลองกับมนุษย์ในกลุ่มเล็กๆ แต่ก็ได้ทำให้เห็นเบาะแสและโอกาสที่จะเห็นแนวทางที่จะวิจัยในมนุษย์กลุ่มใหญ่ขึ้นและระยะเวลานานขึ้น โดยปรากฏในวารสาร Oncology Lettersเมื่อปี พ.ศ. 2560 ซึ่งมีการวางแผนที่จะวิจัยผู้ป่วยโรคมะเร็งจำนวน 78 คนและจะมีการติดตามผลจากการบำบัดอาหารเป็นเวลา 10 เดือน โดยมีการวิจัยตรวจยีนกลายพันธุ์ที่ชื่อ transketolase-like-1 (TKTL1) และ Apo10 ซึ่งจะทำให้มีความชัดเจนว่าการบำบัดด้วยอาหารคีโตเจนิกที่ไม่ได้ผลกับผู้ป่วยโรคมะเร็งบางรายนั้นจะเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับการกลายพันธุ์ของยีนเหล่านี้อย่างไร [14]

อย่างไรก็ตามจะเห็นได้ว่าในงานวิจัยในมนุษย์หลายชิ้น ผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยต้องถอนตัวออกจากการวิจัยกลางคันเพราะอาหารชนิดที่เป็นไขมันสูงแป้งต่ำ และยังต้องเป็นมังสวิรัติเพื่อลดคอเลสเตอรอลและฮอร์โมนจากสัตว์นั้นอาจจะไม่อร่อยถูกปาก เพราะอาหารดังกล่าวมีความเป็นไขมันสูงเป็นหลัก

แต่ถ้าคนทั่วไปจะทำอาหารประเภทนี้ แค่คิดว่าจะกินอะไรก็ยากแล้ว แต่จะหาคนทำอาหารให้อร่อยเพื่อทำให้สามารถรับประทานต่อเนื่องได้นั้นยากยิ่งกว่า

เพราะโจทย์สำคัญคือมีข้อจำกัดทางโภชนาการและยังต้องมีองค์ความรู้ทางกลไกในด้านสุขภาพหลายด้าน ซึ่งเชฟทั้งหลายที่ปรุงอาหารอร่อยมักไม่มีความรู้ด้านนี้ แต่ในขณะเดียวกันคนรู้เรื่องโภชนาการบำบัดเป็นอย่างดีก็มักจะขาดทักษะหรือศิลปะการปรุงอาหารให้อร่อย

ทางออกในเรื่องนี้ที่นักโภชนาการบำบัดต้องการก็คืออาหารที่เรียกว่า วีแกน คีโตเจนิก หรือ “Vegan Ketogenic Diet” หรือ “Low Cabohydrate Vegan” ก็คืออาหารที่เป็นมังสวิรัติปราศจากเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ แต่ก็ต้องทำให้ดัชนีน้ำตาลต่ำที่สุดด้วย (งดแป้งและน้ำตาลทุกชนิด) โดยท่านผู้อ่านสามารถเข้าไปหาข้อมูลได้ที่เฟสบุ๊คชื่อ Foxo Super Food ซึ่งจะเป็นอาหารมังสวิรัติที่เน้นดัชนีน้ำตาลต่ำสุดแล้ว ยังมีส่วนผสมตำรับอาหารที่เปี่ยมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระสูงในระดับโลก ซึ่งจะมีการเปิดสอนในการทำอาหารประเภทนี้ต่อไปในนามสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต แต่ผู้ที่เรียนนั้นจำเป็นต้องมีพื้นฐานในหลักสูตรวิถีชีวาเวชศาสตร์ (Lifestyle Medicine) เสียก่อน

หากท่านใดสนใจในเรื่ององค์ความรู้ดังกล่าวข้างต้น สามารถสมัครเรียนได้ในหลักสูตร “วิถีชีวาเวชศาสตร์” หรือ Lifestyle Medicine ซึ่งเป็นหลักสูตรที่เปิดให้ประชาชนธรรมดา ที่ไม่จำกัดอายุและวุฒิการศึกษาให้ได้มีโอกาสเข้ามาเรียนการป้องกันและรักษาด้วยวิถีการดำเนินชีวิตประจำวันกับแพทย์หลากสาขา และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพในหลายมิติที่มีประสบการณ์ตรงในการปรับวิถีชีวิตของผู้ป่วยจนสามารถหายป่วยมาแล้วทั้งสิ้น เพื่อทำให้ผู้เข้าเรียนสามารถพึ่งพาตนเองได้มากขึ้น ลดการใช้ยา ลดการไปหาหมอในโรงพยาบาล

วิชาที่จะเรียนได้แก่ การเรียงลำดับการกินอาหารเพื่อสุขภาพ, โภชนาการบำบัดจากภูมิปัญญาของแพทย์แผนไทย-อายุรเวทจนถึงงานวิจัยยุคใหม่, การใช้สมุนไพรในบ้าน, การลงมือทำตัวอย่างผลิตภัณฑ์สมุนไพร, การกดจุดแก้อาการและฟื้นฟูสุขภาพในบ้านในแนวทางแพทย์แผนไทยประยุกต์, การฝังเข็มและการแมะสำหรับบางอาการสำหรับการดูแลตนเองของแพทย์แผนจีน, ธรรมานามัย, การบูรณาการล้างพิษ, การบริหารระบบภูมิคุ้มกัน, การค้นคว้าและการอ่านงานวิจัยด้านสุขภาพ, การแพทย์ฉุกเฉินในบ้าน, การออกกำลังกายเพื่อการชะลอวัย, การเลือกใช้วิตามินและอาหารเสริม, การแพทย์ทางเลือกในยุคปัจจุบัน ฯลฯ


หลักสูตรดังกล่าวนี้รับจำนวนจำกัด โดยเริ่มรับสมัครเรียนแล้วตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2561และเริ่มเรียนทุกวันเสาร์และอาทิตย์ทั้งเช้าและบ่าย ยกเว้นวันหยุดตามที่กำหนด โดยเริ่มเรียนวันเสาร์ที่ 2 มิถุนายน- 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 ที่มหาวิทยาลัยรังสิต รวมประมาณ 84 ชั่วโมง

สามารถสมัครได้โดยไม่จำกัดวัยและวุฒิการศึกษา โดยผู้ที่จบหลักสูตรจะได้รับประกาศนียบัตรจากสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต สนใจสมัครเรียนด่วนก่อนเต็ม ได้ที่สถาบันรังสิตวิชชาลัย มหาวิทยาลัยรังสิต หมายเลขโทรศัพท์ 02-791-5681, 02-791-5683, 02-791-5684

ด้วยความปรารถนาดี

อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย
มหาวิทยาลัยรังสิต

อ้างอิง
[1] Fact Sheet 297.Geneva: World Health Organisation; 2014. Cancer.

[2] Paoli A, Rubini A, Volek JS, Grimaldi KA. Beyond weight loss: A review of the therapeutic uses of very-low-carbohydrate (ketogenic) diets. Eur J Clin Nutr. 2013;67:789-796. doi: 10.1038/ejcn.2013.116

[3] Ornish D, Weidner G, Fair WR, Marlin R, Pettengill EB, Raisin CJ, Dunn-Emke S, Crutchfield L, Jacobs FN, Barnard RJ. Intensive lifestyle changes may affect the progression of prostate cancer JUrol. 2005;174:1065-1070. doi:10.1097/01.ju.0000169487.49018.73.

[4] Ruskin DN, Masino SA. The nervous system and metabolic dysregulation: Emerging evidence converges on ketogenic diet therapy. Front Neurosci. 2012;6:33. doi: 10.3389/fnins.2012.00033.

[5] Kämmerer U. Ketogenic diet for cancer patients.Würzburg, Germany: The University Hospital Würzburg; 2010. (In German)

[6] Coy JF, Franz M. The new anti-cancer diet: How you can stop the cancer gene. 1st. Vol. 1. Munich: Gräfe und Unzer; 2009.

[7] Yashin A, Yashin Y, Xia X, Nemzer B. Antioxidant Activity of Spices and Their Impact on Human Health: A Review. Antioxidants. 2017;6(3):70. doi:10.3390/antiox6030070.

[8] Argilés JM, Busquets S, Stemmler B, López-Soriano FJ ,Cancer cachexia: understanding the molecular basis., Nat Rev Cancer. 2014 Nov;14(11):754-62. doi: 10.1038/nrc3829. Epub 2014 Oct

[9] Maria Carolina S Mendes, Gustavo D Pimentel, Felipe O Costa and José B C Carvalheira, Molecular and neuroendocrine mechanisms of cancer cachexia, J Endocrinol. 2015 Sep;226(3):R29-43. doi: 10.1530/JOE-15-0170. Epub 2015 Jun 25.

[10] Del Fabbro E, Current and future care of patients with the cancer anorexia-cachexia syndrome., Am Soc Clin Oncol Educ Book. 2015:e229-37. doi: 10.14694/EdBook_AM.2015.35.e229.

[11] Schmidt M, Pfetzer N, Schwab M, Strauss I, Kämmerer U. Effects of a ketogenic diet on the quality of life in 16 patients with advanced cancer: A pilot trial. Nutr Metab (Lond) 2011;8:54. doi: 10.1186/1743-7075-8-54

[12] Fine EJ, Segal-Isaacson CJ, Feinman RD, Herszkopf S, Romano MC, Tomuta N, Bontempo AF, Negassa A, Sparano JA. Targeting insulin inhibition as a metabolic therapy in advanced cancer: A pilot safety and feasibility dietary trial in 10 patients. Nutrition. 2012;28:1028-1035. doi: 10.1016/j.nut.2012.05.001
[13] Rieger J, Bähr O, Maurer GD, Hattingen E, Franz K, Brucker D, Walenta S, Kämmerer U, Coy JF, Weller M, Steinbach JP. ERGO: A pilot study of ketogenic diet in recurrent glioblastoma. Int J Oncol. 2014;44:1843-1852.

[14] JANSEN N, WALACH H. The development of tumours under a ketogenic diet in association with the novel tumour marker TKTL1: A case series in general practice. Oncology Letters. 2016;11(1):584-592. doi:10.3892/ol.2015.3923.




กำลังโหลดความคิดเห็น