xs
xsm
sm
md
lg

ไม่ใช่ Revolution แต่เป็น Evolution

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: อ.สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร

<b>เจ้าชายแฮร์รี และเมแกน มาร์เคิล</b>
อานุภาพแห่งความรัก (Power of Love) ทำให้อังกฤษอบอวลไปด้วยความหอมหวนแห่งพระราชพิธีเสกสมรสของเจ้าชายในลำดับที่ 6 แห่งการสืบราชบัลลังก์อังกฤษ กับหญิงม่ายสามัญชนที่มาจากแดนไกลอีกฟากฝั่งของมหาสมุทรแอตแลนติก ทั้งยังอายุมากกว่าเจ้าชายแฮร์รีถึง 3 ปี และนับถือคนละนิกายกับ Anglican Church ; ที่สำคัญคือเป็นลูกผสมเชื้อสายผิวขาวกับผิวดำ กับมีความโดดเด่นในการเป็นตัวของตัวเองที่ประสบผลสำเร็จในด้านอาชีพการแสดงมาแล้ว

พระราชพิธีในโบสถ์เก่าแก่ถึง 500 ปีในเขตพระราชวังเก่าแก่ (พันปี) วินด์เซอร์ ได้รับการปรบมือชื่นชมจากสื่อชั้นนำของอังกฤษอย่างถ้วนหน้า ในนสพ.Telegraph ที่อนุรักษนิยมก็อธิบายว่าเป็น “a flawless demonstration of the best of Britain” คือ ไม่มีตำหนิเลยในการนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดของอังกฤษ หรือแม้แต่นสพ.กระเดียดซ้ายแบบ the Guardian ก็เถอะ ไม่ได้โจมตีใดๆ แต่วิเคราะห์ในเชิงสร้างสรรค์ถึงการนำวัฒนธรรมของคนผิวดำในสหรัฐฯ เข้ามานำเสนอในพระราชพิธีได้อย่างนิ่มนวลเหมาะสม

จากซินเดอเรลลา วันนี้เธอเป็น Duchess of Sussex โดยได้ผ่านการยอมรับจากพระราชวงศ์ที่เป็น “คนขาว” ที่สุดในบรรดาเหล่าคนผิวขาว (Caucasian) ในโลก ก็เพราะเธอไม่ดันทุรังจะเปลี่ยนแปลงราชวงศ์แบบขาวเป็นดำ หรือหักด้ามพร้าด้วยเข่า โดยเธอได้แทรกเอาส่วนดีของคนผิวดำผสานในพระราชพิธีอย่างค่อนข้างกลมกลืน ไม่ว่าจะเป็นนักเดี่ยว Cello เด็กหนุ่มผิวดำกับเพลง Ave-Maria ที่สะท้อนเข้าไปในจิตวิญญาณ โดยเขาชนะการแข่งขันดนตรีจัดโดย BBC เมื่อปี 2016 นี้เอง

ท่านสาธุคุณไมเคิล เคอรี กับบทเทศน์ที่ย้ำถึงอานุภาพแห่งความรักที่ยกเอาคำสอนของท่านมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ นักต่อสู้เพื่อความเท่าเทียม โดยใช้ความรักนำที่พร้อมสละชีพเพื่อความรักในมนุษยชาติ รวมทั้งคำสอนของพระเยซูเจ้าที่ทรงสละชีวิตเพื่อเหล่ามนุษยชาติเช่นกัน

บทเทศน์ของท่านเกือบจะยาวไปสักนิดจนท่านต้องร่อนลงอย่างกะทันหัน ไม่งั้นพิธีแต่งก็จะไม่จบแน่ แต่บทเทศน์นี้ก็ได้ทะลุทะลวงเข้าไปในจิตใจของพระราชวงศ์ จนสมเด็จพระราชินีทรงขยับพระวรกายถึง 2 ครั้ง (แม้จะต้องมีขัตติยะมานะที่จะไม่ทรงแสดงอากัปกิริยาใดๆ เกินไปต่อหน้าสาธารณชน ก็ยังมีปฏิกิริยากับบทเทศน์ครั้งนี้)

เห็นได้ชัดถึงการเปิดมากขึ้นของราชวงศ์เก่าแก่อย่างอังกฤษ ที่ให้การยอมรับลูกครึ่งผิวสีมาเป็นสะใภ้หลวง ขนาด Prince of Wales เสด็จมาจูงมือพาเจ้าสาวไปส่งให้กับพระโอรสแฮร์รีด้วยพระองค์เอง และทรงรับภาระค่าใช้จ่ายของงานแทบทั้งหมด โดยให้รัฐบาลรับผิดชอบแค่การรักษาความปลอดภัย และขบวนเหล่าทหารองครักษ์เท่านั้น

ถ้าจะให้เทียบสะใภ้หลวงของอังกฤษกับของญี่ปุ่น ขนบประเพณีที่เข้มงวดมากๆ ในราชสำนักญี่ปุ่นดูจะมีการปรับเปลี่ยนน้อยกว่า จนทำให้พระจักรพรรดินีมิชิโกะถึงกับมีข่าวว่าทรงป่วยจนรับสั่งไม่ได้เป็นเวลานาน รวมทั้งพระชายา (อดีตนักการทูตสาว) ของมกุฎราชกุมารองค์ปัจจุบัน ก็มีข่าวการซึมเศร้าในหลายครั้ง

ขณะที่ราชวงศ์อังกฤษได้มีการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงมาตลอดเช่นกัน อย่างที่บทวิเคราะห์ใน Telegraphว่า... “Change is the essence of monarchy. The royal wedding was just the latest example” แม้ว่าราชสำนักอังกฤษเคยรับไม่ได้กับพระเจ้า Edward ที่ 8 ที่ต้องพระประสงค์จะอภิเษกกับม่าย (2 ครั้ง) อเมริกันชื่อ Wallis Simpson จนพระองค์ได้ตัดสินพระทัยสละราชสมบัติแล้วดำรงพระอิสริยยศแค่ Duke of Windsor เพื่อจดทะเบียนกับม่ายเสน่ห์แรง Wallis ดาราสังคมแห่งนิวยอร์กครั้งนั้น

ถึงชื่อพระราชวงศ์ ก็ได้มีการเปลี่ยนมาเป็น House of Windsor ในปี 1917 นี้เอง (จาก Saxe-Coburg) ขณะที่ประเทศเยอรมนี (รากของพระราชวงศ์อังกฤษ) กำลังแผ่อิทธิพลในยุโรป และทำให้พระราชวงศ์ตระหนักว่าควรตีตัวออกห่างจากเยอรมนี

ตลอดจนช่วงของ Diana ที่ได้หย่าร้างกับเจ้าชายแห่งเวลส์ จนมีข่าวกับนายโดดี้ อัลฟาเยด ซึ่งเป็นมุสลิมและดัชเชส ออฟ ยอร์ก (เฟอร์กี้) ก็ได้หย่าจากเจ้าชายแอนดรูว์ และสร้างความสั่นสะเทือนต่อภาพลักษณ์พระราชวงศ์ เพราะหญิงสูงศักดิ์ทั้งสองต้องลาออกจากพระราชอิสริยยศ

การตายของไดอานากลับทำให้พระราชวงศ์ต้องปรับเปลี่ยนท่าทีจากแข็งกร้าว เพื่ออุ้มชูสะใภ้หลวงผู้นี้ที่ได้ปฏิบัติกรณียกิจเพื่อ ปชช.อังกฤษ และมนุษยชาติมากมายจนกลายเป็น People’s Princess แม้จะถูกถอดยศจากพระราชวงศ์ก็ตาม

ราชบัลลังก์อังกฤษกำลังปรับเปลี่ยนอีกครั้ง ในสมัยที่นายกเทศมนตรีลอนดอนเป็นคนมุสลิม, รมต.มหาดไทย ก็เป็นคนมุสลิม พร้อมๆ กับประเทศอังกฤษ ที่ไม่ใช่จักรวรรดิที่ดวงอาทิตย์ไม่เคยตกถึงดิน แต่เป็นประเทศขนาดย่อมๆ (พอๆ กับไทย) ที่มีความหลากหลายของผู้คนจากต่างเชื้อชาติ, ศาสนา สีผิว และวัฒนธรรม ที่จะต้องเปิดใจให้กว้างและยอมรับในความแตกต่างและมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่ออยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข

ไม่ใช่แก้แค้น...แต่
ต้องทำตามกฎหมาย
<b>มหาเธร์ โมฮัมหมัด นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย</b>
นั่นเป็นคำประกาศของคุณหมออาวุโส ดร.เอ็ม แถลงต่อสื่อในโอกาสแรกของเช้าวันพฤหัสบดีที่ 10 พฤษภา เมื่อทราบผลการเลือกตั้งชนะถล่มทลายที่มาเลเซีย

ตามมาด้วยการเดินหน้าปฏิบัติตามคำสัญญาช่วงหาเสียงใน 100 วันแรก ซึ่งจะต้องยกเลิกภาษี GST ที่ทำให้ ปชช.ไม่พอใจมาก ; การเพิ่มอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ; การทบทวนกม.ความมั่นคงที่แข็งกร้าวกว่าสมัยที่เขาเคยเป็นนายกฯ จน ปชช.ไม่สามารถออกมาคัดค้านรัฐบาลได้เลย ; การทบทวนกม.ข้อมูลข่าวสารที่ไม่เปิดโอกาสให้ ปชช.แสดงความคิดเห็นต่างๆ ได้เลย เพราะจะเข้าข่ายปั้นข่าวเท็จไปหมด

ที่สำคัญคือ สัญญาจะปราบการโกงชาติ (Corruption) และการเล่นพรรคเล่นพวกแบบไม่ลืมหูลืมตา (Cronyism) ซึ่งทำร้ายประเทศชาติอย่างสาหัส และดำรงอยู่อย่างสูงมากในสมัยอดีตนายกฯ นาจิบ (ที่เขาปั้นมากับมือ)

ดร.เอ็ม ทำทันทีกับการปลดอัยการสูงสุดที่ฟอกขาวให้นาจิบ ; ห้ามนาจิบและภรรยา (หนี) ไปพักผ่อนที่อินโดนีเซีย

เขาตั้งอัยการสูงสุดคนใหม่เข้ามา และประกาศให้หน่วยงานทั้งตำรวจสอบสวน (แบบ DSI) และสำนักอัยการ รวมทั้งหน่วย MACC (แบบ ป.ป.ช.) ให้เปิดเผยข้อมูลทุกอย่าง อย่างโปร่งใสให้สาธารณชนได้ทราบเรื่องกองทุน 1MDB ที่มีการยักยอกเงินของแผ่นดินอย่างพิสดาร

ล่าสุดได้มีการเปลี่ยนตัวประธาน ป.ป.ช.โดยนำคนที่ถูกนาจิบกดดันให้ออก เพื่อมาทำหน้าที่สอบสวนอย่างไม่ไว้หน้า ประธานคนใหม่ได้เล่าพร้อมปาดน้ำตาถึงการที่เขาถูกกดดันจากนาจิบ...จนชีวิตเขาอยู่ในอันตรายเมื่อพยายามสืบสวนความจริงสมัยนาจิบ เขาบอกว่า มีทั้งโทรศัพท์ข่มขู่และมีลูกปืนส่งมาถึงเขา แต่เขาไม่บอกครอบครัวให้ทราบ

ดร.เอ็ม สั่งให้ทุกหน่วยงานประสานกับกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ที่มีข้อมูลเกือบสมบูรณ์กรณีเจ้าหน้าที่รัฐบาลหมายเลข 1 ของมาเลเซียที่ยักยอกเงินจากกองทุน ร่วมกับเครือข่าย (ลูกเลี้ยงนาจิบ และเพื่อนโจ-โลของเขา) ในการคลี่คลายคดีตามกม. รวมทั้งร่วมมือกับทีมสืบสวนของรัฐบาลอื่นๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องนี้เช่น รัฐบาลสิงคโปร์, สวิส, แคนาดา, ลักเซมเบิร์ก เพื่อค้นหาความจริง

ดร.เอ็ม ย้ำเสมอว่า ไม่มีใครอยู่เหนือกม. และเงินของ ปชช.ที่ถูกโกงไปต้องตามกลับมาให้ ปชช.


กำลังโหลดความคิดเห็น