ทันทีที่มีภาพถ่ายทอดสดไปทั่วโลก การพบกันครั้งประวัติศาสตร์ระหว่างปธน.มุน และประธานคิมในดินแดนเกาหลีใต้ ที่สถานีโทรทัศน์ฟ็อกซ์ก็ได้แพร่ภาพที่เก็บอั้นเอาไว้ 3 อาทิตย์ออกมาเผยแพร่
เป็นภาพรมต.ตปท.คนใหม่แกะกล่องที่เพิ่งผ่านการเห็นชอบจากวุฒิสภาเต็มคณะคือ นายไมค์ ปอมเปโอ ขณะพบกับประธานคิมของเกาหลีเหนือเมื่อสุดสัปดาห์แรกของเดือนเมษายน ในภารกิจลับสุดยอดของปอมเปโอ ขณะยังดำรงตำแหน่งผอ.หน่วยสืบราชการลับซีไอเอ และได้รับมอบหมายจากทรัมป์ให้เดินทางไปหาผู้นำเกาหลีเหนือ เพื่อประเมินท่าทีว่าเกาหลีเหนือมีเจตนารมณ์จะปลดอาวุธนิวเคลียร์จริงหรือไม่ ตลอดจนการหารือเรื่องสถานที่และวันที่สำหรับการประชุมสุดยอดระหว่างปธน.ทรัมป์ และประธานคิม
ฝ่ายไม่ชอบทรัมป์วิเคราะห์ว่า นี่เป็นสไตล์ของนักสื่อสารมวลชนระดับเทพ ที่จงใจเอาภาพนี้ออกมาเพื่อเบี่ยงเบนหรือถ่วงน้ำหนักกับความสำเร็จของผู้นำเกาหลีทั้งสอง
ขณะเดียวกัน ก็มีเสียงประสานดังกระหึ่มผ่านทางรายการต่างๆ ของฟ็อกซ์ และเลยมาถึงบรรดาที่ปรึกษาของทรัมป์ไปออกรายการตามสื่ออื่นๆ สนับสนุนและเรียกร้องให้รางวัลโนเบลสมควรมอบสาขาสันติภาพให้ทรัมป์ เพราะทรัมป์ทำให้เกิดความมหัศจรรย์กับปฏิญญาระหว่างผู้นำสองเกาหลี
นั่นคือ เขาใช้การบีบๆๆ ผ่านทางวาจาแข็งกร้าวของเขาตลอด 1 ปีที่ผ่านมา บวกกับมาตรการคว่ำบาตรครั้งแล้วครั้งเล่าผ่านมติคณะมนตรีความมั่นคงของยูเอ็น จนเกาหลีเหนือใกล้หมดสภาพที่จะดำรงอยู่ต่อไป จึงต้องรีบออกมายอมประกาศปลดอาวุธนิวเคลียร์
แต่นักวิเคราะห์อีกด้านหนึ่งมองว่า ทรัมป์ไม่ใช่ Peace Maker เพราะนโยบายกร้าวของทรัมป์ที่ประกาศออกมาแต่ละวัน กลับทำให้ผู้นำเกาหลีเหนือตอบโต้อย่างแข็งกร้าว ด้วยการทดลองยิงขีปนาวุธพิสัยไกลมากยิ่งขึ้น เริ่มจากพิสัยใกล้ซึ่งบางครั้งก็ประสบความล้มเหลว ต่อไปเป็นพิสัยกลาง และพิสัยไกลคือ ICBM (Intercontinental Ballistic Missile) ที่สามารถกระเด้งแบบลูกบอลไปไกลถึงกว่า 1 หมื่นกิโลเมตร
แล้วประธานคิมยังทดลองระเบิดไฮโดรเจนได้สำเร็จเสียอีก โดยคิมไม่เคยยอมอ่อนข้อให้กับทรัมป์เลยแม้แต่น้อย และปธน.ปูตินได้พูดมาเสมอว่า มาตรการคว่ำบาตรจะไม่มีผลกับเกาหลีเหนือ เพราะถึงเกาหลีเหนือจะต้องกินหญ้า เขาจะเดินหน้าพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์จนกว่าจะสำเร็จ
และเมื่อวันที่ 21 เมษายนนี้เอง ที่ประธานคิมได้ประกาศต่อที่ประชุมพรรคแรงงานว่า ขณะนี้เกาหลีเหนือได้ประสบผลสำเร็จในการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งเป็นหลักประกันความมั่นคงของชาติ แต่นี้ต่อไป เกาหลีเหนือจะเดินหน้าเพื่อพัฒนาด้านเศรษฐกิจ เพื่อความกินดีอยู่ดีของพี่น้องเกาหลีเหนือ
ฝ่ายที่มองว่า การที่คิมตัดสินใจหันมาประกาศเจตนารมณ์สร้างสันติภาพและการรวมชาติกับผู้นำเกาหลีใต้ ก็เป็นเพราะเกาหลีเหนือมองว่าเขาประสบผลสำเร็จ ทั้งการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ และ ICBM แล้ว ซึ่งเป็นความหวังตั้งแต่คุณปู่ที่ได้ผลักดัน เพื่อไม่ให้ตะวันตกมาราวีรุกรานได้ ดังเช่นที่นายพลแมคอาเธอร์ ได้ตั้งใจจะถล่มด้วยนิวเคลียร์
ผู้นำคิมคงได้มองว่า ถึงเวลาจะหันมาพัฒนาประเทศไปสู่ความกินดีอยู่ดีหรือมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ ซึ่งอาจจะมาจากการมองเห็นวิธีการของพี่ใหญ่จีน โดยเฉพาะการพบกันครั้งแรกกับปธน.สี กับหลักการพัฒนาสู่สังคมนิยมแบบจีน (โดยเฉพาะ) ที่ประชาชนจะกินดีอยู่ดีมีความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีด้วย
ขณะนี้ เกาหลีเหนือขาดมากด้านพื้นฐานสาธารณูปโภค ดังที่ประธานคิมยอมรับในช่วงสนทนาก่อนเริ่มการประชุมที่บ้านสันติภาพ ถึงถนนหนทางการคมนาคมขนส่งที่ยังมีไม่เพียงพอ ดังนั้น เพื่อพัฒนาด้านการค้าและการลงทุนในเกาหลีเหนือ ก็จำเป็นที่จะต้องให้ประเทศไม่มีกลิ่นอายของการทดลองอาวุธร้ายแรง นี่แหละที่เขาจะยอมแลกการค้าการลงทุนกับอาวุธนิวเคลียร์ที่เขาเริ่มสะสมอยู่
แต่เขาจะยอมปลดอาวุธนิวเคลียร์ทั้งหมดทันทีตามข้อเรียกร้องกดดันของทรัมป์หรือไม่ คงจะไม่ง่ายขนาดนั้น คงต้องเป็นขั้นตอนและใช้เวลาที่จะเจรจาต่อรองแลกเปลี่ยนกัน ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่เสี่ยงมากๆ กับที่ทรัมป์ได้ขู่เอาไว้ล่วงหน้าว่า การเจรจาสุดยอดกับคิม อาจล้มเหลวเพราะเขาพร้อมจะเดินออกจากการเจรจา
หลายคนคงแปลกใจที่ปธน.มุนโทรศัพท์พูดคุยกับทรัมป์ และหยอดคำป้อยอทรัมป์ ว่า ทรัมป์น่าจะได้รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ เพราะมีส่วนสำคัญทำให้เกิดการประกาศเจตนารมณ์สร้างสันติภาพบนคาบสมุทรเกาหลี ที่จะปราศจากอาวุธนิวเคลียร์
ส่วนหนึ่งคือความอ่อนน้อมถ่อมตนของปธน.มุน ที่ออกจะชัดมากในสายตาของคนทั้งโลก ถ้าไม่ใช่มุนที่ผลักดันมาตลอดชีวิตให้มีการรวมชาติเกาหลี ทั้งหาเสียงด้วยนโยบายรวมชาติกับเกาหลีเหนือ (จนเขาได้ชัยชนะท่วมท้น) และการเอาจริงเอาจังกับการผลักดันให้เกิดขึ้นให้ได้ ในช่วงไม่กี่เดือนที่เขาเข้ามารับตำแหน่ง การประชุมสุดยอด 2 เกาหลีคงไม่เกิดขึ้น
มุนเน้นกับคิมว่า ปฏิญญาปันมุนจอมเปลี่ยนประวัติศาสตร์ครั้งนี้จะต้องทำให้เป็นจริงให้ได้ ต่างกับประกาศเมื่อปี 2000 และ 2001 ที่อดีตผู้นำ 2 ประเทศได้เคยพบกัน โดยมุนอธิบายว่าสองครั้งในอดีตนั้น เป็นการพบกันในช่วงปลายสมัยของรัฐบาลเกาหลีใต้ และทำให้การสานงานต่อไม่ได้เต็มที่ ประกอบกับเกาหลีใต้เปลี่ยนรัฐบาลเป็นขั้วที่เดินตามก้นสหรัฐฯ ให้แข็งกร้าวกับเกาหลีเหนือ แต่ในครั้งนี้ เขาเริ่มเดินงานตั้งแต่เริ่มเข้ามารับตำแหน่ง
มุนมาจากครอบครัวที่พ่อแม่อพยพมาจากเกาหลีเหนือ แม้เขาจะเกิดในเกาหลีใต้ แต่เขาก็เห็นถึงญาติพี่น้อง 2 เกาหลีที่ต้องอยู่แยกกัน เขาปรารถนาให้แม่ของเขาที่อายุ 90 กว่าปีแล้ว ได้กลับไปเยี่ยมเกาหลีเหนือได้สักครั้งด้วย
มุนคงเข้าใจดีถึงความหลงตัวเองของทรัมป์ ที่ขนาดศาสตราจารย์ด้านจิตแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยเยล เคยออกมาวิเคราะห์ว่า ทรัมป์เป็น Narcism อย่างรุนแรง ซึ่งมุนเคยพูดในที่สาธารณะตั้งแต่ต้นปี (ขณะที่เขาทำทุกอย่างเพื่อสานสัมพันธ์กับเกาหลีเหนือ ไม่ว่าจะเชิญนักกีฬาเกาหลีเหนือมาแข่งโอลิมปิกฤดูหนาว, เลื่อนการซ้อมรบเกาหลีใต้และสหรัฐฯ ให้กระเถิบออกไป 1 เดือน ไม่ให้ตรงกับช่วงแข่งโอลิมปิก (ในเดือนกุมภา) รวมทั้งตัดระยะเวลาซ้อมรบนี้ในเดือนเมษาให้เหลือเพียงครึ่งเดียว เพื่อสร้างความสงบปรองดองก่อนการประชุมสุดยอดเหนือ-ใต้ รวมทั้งการสั่งปิดกระจายเสียงของฝ่ายใต้ที่บริเวณชายแดน 48 ชม.ก่อนประชุมสุดยอด ฯลฯ) ว่า ทรัมป์มีส่วนสำคัญทำให้เกิดบรรยากาศดีที่เกาหลีเหนือเปลี่ยนใจมาประชุมสุดยอด ก็เพื่อทำให้ทรัมป์พอใจและหลงตนเองจะได้ไม่ทำให้แผนงานของมุนต้องเสียไป ถ้าทรัมป์บ้าคลั่ง ข่มขู่ใช้ความรุนแรงแบบ Fire & Fury อีก
แม้คณะกรรมการโนเบลจะเคยมอบรางวัลสาขาสันติภาพให้แก่ ดร.เฮนรี่ คิสซิงเจอร์ ช่วงสงครามเย็น ขณะที่เขาคือฆาตกรฆ่าผู้นำหลายคนที่มาจากการเลือกตั้งในอเมริกากลางและอเมริกาใต้ เพื่อเปลี่ยนระบอบการปกครอง (Regime Change) มาเป็นเผด็จการ ; และเคยมอบให้แก่โอบามา เพียงเพราะโอบามาแสดงสุนทรพจน์ที่ไคโรเมื่อเริ่มเข้ามารับตำแหน่งว่า จะมุ่งมั่นสร้างสันติภาพอย่างจริงจัง แม้ยังไม่มีผลงานรูปธรรมด้านสันติภาพแต่อย่างใด
ถ้าครั้งนี้จะมอบแก่นักกระหายสงครามแบบทรัมป์ เกียรติภูมิของรางวัลนี้คงจะตกต่ำอย่างที่สุด