ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ถ้าจะ “ปฏิรูปพุทธศาสนาในประเทศไทย” ให้สำเร็จ ก็ต้อง “ปฏิรูปมหาเถรสมาคม(มส.)” อันเป็นองค์กรปกครองสูงสุดของคณะสงฆ์ไทยเสียก่อน
คำกล่าวและข้อเรียกร้องนี้ปรากฏมาเป็นระยะเวลานานพอสมควร จะว่าไปก็ตั้งแต่ครั้งที่ “สมเด็จพระพุฒาจารย์(เกี่ยว อุปเสโณ)” อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหารและอดีตผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ยังมิได้มรณภาพ ไล่เรื่อยมาจนถึง “สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์(ช่วง วรปุญโญ)” เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ นั่งอาสนะเป็นประธานในการประชุมกรรมการมหาเถรสมาคมเสียด้วยซ้ำไป
ทว่า ก็มิได้มีการขยับขยายหรือมีความคืบหน้าประการใด
กระทั่งครานี้ที่มี “3 พระพรหม” ถูก “พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์” ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) แจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษต่อกองบังคับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ปปป.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในคดี “ทุจริตเงินทอนวัด” ในพื้นที่กรุงเทพมหานครโดยเป็นการทุจริตเกี่ยวกับงบการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา แผนกธรรม และแผนกบาลี และงบเผยแพร่ศาสนา มีความเสียหายทั้งสิ้น 70 ล้านบาท ข้อเรียกร้องนี้จึงกลับมาดังกระหึ่มขึ้นอีกครั้ง
ทั้งนี้ เนื่องเพราะ “3 พระพรหม” ที่ปรากฏรายชื่ออันประกอบด้วย พระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมฺโม) เจ้าอาวาสวัดสามพระยา กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) และเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร พระพรหมเมธี (จำนงค์ ธมฺมจารี) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศาราม กรรมการ มส. และเจ้าคณะภาค 4-7 พระพรหมสิทธิ (ธงชัย สุขญาโณ) เจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร กรรมการ มส. เจ้าคณะภาค 10และประธานสำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศ ล้วนแล้วแต่นั่งเป็น “กรรมการ มส.” ทั้งสิ้น
นี่นับเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตที่สั่นสะเทือน “ยุทธจักรดงขมิ้น” ครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งหลังจากเกิดเหตุการณ์ “นายไชยบูลย์ สุทธิผล” อดีตพระเทพญาณมหามุนี อดีตพระธัมมชโยและอดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย อันอื้อฉาวและจนป่านนี้ก็ยังไม่สามารถนำตัวมาดำเนินคดีที่ไปพัวพันกับการทุจริตสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นและอีกหลายคดีได้
อย่างไรก็ดี นอกจาก 3 พระพรหมแล้วยังมี 2 เจ้าคุณเข้ามาเกี่ยวข้องในคดีนี้ด้วยคือ พระราชอุปเสนาภรณ์ (สังคม ญาณวฑฺฒโน) และพระราชกิจจาภรณ์(เทอด ญาณวชิโร) โดยทั้ง 2 เจ้าคุณดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ ซึ่งงานนี้ “ศิษย์สมเด็จเกี่ยว” แห่ง “วัดสระเกศฯ” กำลังเผชิญกับปัญหาสำคัญอีกครั้ง เนื่องเพราะทั้งเจ้าอาวาสและผู้ช่วยเจ้าอาวาสต้องคดีถึง 3 รูป
สำหรับสาเหตุที่พระทั้ง 5 รูป ถูกกล่าวโทษในการกระทำความผิดอาญาคดีทุจริตเงินอุดหนุนการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม เพราะที่ผ่านมา พศ.ได้ส่งเงินอุดหนุนการศึกษาไปให้วัดทั้ง 3 แห่ง แต่พบว่าวัดสัมพันธวงศาราม ไม่มีโรงเรียนพระปริยัติธรรม ทางวัดจึงนำเงินไปสร้างกุฏิ ขณะที่วัดสระเกศฯ มีโรงเรียนพระปริยัติธรรม แต่นำเงินไปใช้เพื่ออุดหนุนพระธรรมทูตไทยในต่างประเทศ รวมถึงวัดสามพระยาที่ใช้เงินผิดประเภทเช่นกัน สาเหตุดังกล่าวจึงนำไปสู่การกล่าวโทษ
การที่เจ้าคุณ “ชั้นพรหม” หรือพระราชาคณะชั้นเจ้าคณะรองทั้ง 3 รูปต้องคดีนั้น ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากถือเป็น “พระชั้นผู้ใหญ่” ที่มี “สมณศักดิ์สูง” และต้องไม่ลืมว่า เจ้าคุณชั้นพรหมเหล่านี้นั้นคือผู้ที่มีสิทธิที่จะเลื่อนสมณศักดิ์ขึ้นสู่ “ชั้นสมเด็จ” โดยเจ้าคุณเอื้อนมีอาวุโสเป็นลำดับที่ 5 เจ้าคุณจำนงค์มีอาวุโสเป็นลำดับที่ 3 และเจ้าคุณธงชัยมีอาวุโสเป็นลำดับที่ 7
และเมื่อมีสมณศักดิ์ชั้นพระพรหมก็ย่อมหมายถึงตำแหน่งหน้าที่ในทางการปกครองคณะสงฆ์ไทยก็ยิ่งต้องสูงตามไปด้วย ดังจะเห็นว่านอกจากพระพรหมทั้ง 3 รูปจะเป็นเจ้าคณะภาคแล้ว ยังนั่งเป็น “กรรมการ มส.” อีกด้วย
แน่นอน การแจ้งความดำเนินคดีกับพระชั้นผู้ใหญ่ที่มีสมณศักดิ์สูงเช่นนี้ ย่อมไม่ใช่เรื่องที่จะตัดสินใจทำง่ายๆ เพราะถ้าไม่มีหลักฐานชัดแจ้ง เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า พ.ต.ท.พงศ์พรน่าจะไม่กล้าตัดสินใจอะไรที่บุ่มบ่าม เนื่องจากจะต้องเผชิญกับแรงกดดันกับทั้งทางฝ่ายพุทธจักร และฝ่ายอาณาจักรที่ไม่ใคร่จะกล้าเข้ามายุ่งกับเรื่องของคณะสงฆ์เท่าใดนัก
นอกจากนี้ กว่าที่พระสงฆ์รูปใดรูปหนึ่งจะก้าวขึ้นมามีสมณศักดิ์ชั้นพรหมย่อมจะต้องเปี่ยมไปด้วยทั้งคุณวุฒิ วัยวุฒิ ตลอดรวมถึงลูกศิษย์ลูกหาและมีสายสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา และถ้าผิดพลาดแม้แต่เพียงนิดเดียวเส้นทางชีวิตราชการของ พ.ต.ท.พงศ์พรย่อมจะจบไม่สวย ซึ่งนั่นจะต้องเป็นเรื่องที่จะต้องพิสูจน์ในทางคดีต่อไป และยังไม่อาจพิพากษาได้ในขณะนี้ว่า ผิดจริงหรือไม่ อย่างไร
และดูเหมือนว่า รัฐบาลจะรับรู้สถานการณ์ดังกล่าวเช่นกันดังที่ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า “ขอยืนยันว่า ทุกอย่างเป็นไปตามหลักฐาน วัตถุพยานและพยานบุคคล ทั้งนี้ ย้ำว่า การเคลื่อนไหวต่างๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไรเพราะเป็นเหมือนการกระทำผิดในคดีอื่นๆ เท่านั้น”
หากยังจำกันได้ ก่อนหน้านี้ พ.ต.ท.พงศ์พรก็เคยถูกเด้งพ้นจากเก้าอี้ ผอ.พศ.ด้วยอิทธิฤทธิ์ของ “มาตรา 44” ไปเข้ากรุ “ผู้ตรวจราชการ” ที่สำนักนายกรัฐมนตรีมาแล้ว ซึ่งมูลเหตุก็ร่ำลือกันว่ามาจากการที่ “มือปราบพระ” คนนี้ไปทำคดีทุจริตเงินทอนวัด และการตรวจสอบงบอุดหนุน โรงเรียนพระปริยัติธรรมของวัดบางแห่ง จนเกิดปัญหากระทบกระทั่งกับพระชั้นผู้ใหญ่และมีการเคลื่อนไหวต่อต้านอย่างต่อเนื่องถึงขั้นคว่ำบาตรประกาศไม่ร่วมสังฆกรรมกับ พ.ต.ท.พงศ์พรมาแล้ว ก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) จะตัดสินใจย้ายมือปราบเงินทอนวัดกลับมาดำรงตำแหน่งเดิม
อย่างไรก็ดี เมื่อตรวจสอบ “พระพรหมทั้ง 3 รูป” ก็จะพบความจริงประการหนึ่งว่า มี “ซูเปอร์คอนเนกชัน” ในระดับที่ไม่ธรรมดา แต่ที่สำคัญที่สุดเห็นทีจะหนีไม่พ้นคอนเนกชันที่มีกับ “วัดพระธรรมกาย” และ “เครือข่ายทางการเมืองสีแดง”
กรณี “เจ้าคุณเอื้อน” วัดสามพระยา ถือว่า น่าสนใจและมีนัยสำคัญที่สุด เนื่องเพราะสามารถเชื่อมโยงสายสัมพันธ์ออกไปได้หลายมิติ หนึ่ง-เนื่องเพราะเจ้าคุณเอื้อนนั้นรั้งเก้าอี้ “เจ้าคณะ กทม.” ซึ่งมีอำนาจในการคุมวัดและพระในเขตกรุงเทพมหานครอีกตำแหน่งหนึ่ง สอง-เนื่องเพราะสายสัมพันธ์ของเจ้าคุณนั้นไม่ธรรมดา ด้วยเหตุ เจ้าคุณเอื้อนเป็นเจ้าของประโยคที่ติดตราตรึงใจไม่รู้ลืมว่า “ถึงอาตมาจะห่มจีวรสีเหลือง แต่หัวใจสีแดง” เพราะฉะนั้นจึงจัดเป็นพระสงฆ์สายแดงที่แนบแน่นกับนักโทษชายหนีคดี แถมยังเป็น “กัลยาณมิตร” กับ “อดีตพระเทพญาณมหามุนี” อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย จนเป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปว่า วัดสามพระยาคือ “ศูนย์กลางธรรมกายในเมืองหลวง”
เป็นกัลยาณมิตร ชื่นชมและศรัทธาขนาดไหนก็ต้องบอกว่า ถึงขนาดที่ญาติโยมจะมาปฏิบัติธรรมที่วัดสามพระยา “สวมชุดธรรมกาย” กันเลยทีเดียว
นี่ไม่นับรวมถึงกิจนิมนต์ที่เจ้าคุณเอื้อนมักวนเวียนและเวียนวน ไปร่วมงานกับสาขาวัดพระธรรมกายมาแล้วทั่วโลก
สำหรับพระพรหมรูปที่ 2 คือ เจ้าคุณจำนงค์ แห่งวัดสัมพันธวงศ์ ที่พ่วงเก้าอี้ “โฆษก มส.” อีกตำแหน่งหนึ่งนั้น เป็น “ธรรมยุต” เพียงหนึ่งเดียวที่โดนคดีทุจริตเงินทอนวัดในครั้งนี้ ซึ่งจะว่าไปแล้วเส้นทางของเจ้าคุณจำนงค์นั้นก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน เนื่องเพราะจำเริญรอยไปแนวทางเดียวกับเจ้าคุณเอื้อนแห่งวัดสามพระยาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน คือชื่นชมยินดีกับแนวทางของวัดพระธรรมกาย กระทั่งเป็นที่รับรู้กันว่า วัดสัมพันธวงศ์นั้นเป็น “สาขาวัดพระธรรมกายในฝ่ายธรรมยุต”
เด็ดไปกว่านั้นก็คือ เจ้าคุณจำนงค์เป็นพระเถรานุเถระชั้นผู้ใหญ่อีกรูปหนึ่งที่เห็นดีเห็นงามกับโครงการ “ธุดงค์ธรรมชัย” ชนิดเชียร์อย่างออกหน้าออกตาอีกต่างหาก
แต่บทบาทที่สังคมจดจำได้ดีก็คือ การที่เจ้าคุณจำนงค์ในฐานะโฆษก แจ้งมติ มส.ว่า อดีตพระธัมมชโยไม่ปาราชิกขาดจากความเป็นภิกษุ เนื่องจากได้มีการคืนทรัพย์สินทั้งหมดให้แก่วัดพระธรรมกายแล้ว และยังไม่ถือเป็นการขัดต่อพระลิขิตของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ที่มีไว้ตั้งแต่ปี 2542
ขณะที่ เจ้าคุณธงชัย วัดสระเกศ พระพรหมรูปสุดท้ายนั้น ถือเป็นพระชั้นผู้ใหญ่ของวัดสระเกศที่มีบารมีตีคู่มากับ “เจ้าคุณเสนาะ” หรือพระพรหมสุธี (เสนาะ ปญฺญาวชิโร) อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศ ผู้วายชนม์กันเลยทีเดียว เรียกว่า ถ้าเจ้าคุณเสนาะเป็นมือขวาของสมเด็จเกี่ยว เจ้าคุณธงชัยก็คือมือซ้ายของสมเด็จเกี่ยวเช่นกัน
และด้วยความที่เบียดกันมาชนิดหายใจรดต้นคอนี้เอง ในที่สุดความขัดแย้งของสองเจ้าคุณแห่งวัดสระเกศก็ได้ลุกลามบานปลายกลายเป็น “ศึก 2 พรหมแห่งวัดสระเกศ” ที่โด่งดังไปทั่วทั้งแผ่นดิน โดยเฉพาะหลังจากที่สมเด็จพระพุฒาจารย์(เกี่ยว อุปเสโณ) ละสรีรสังขาร
กล่าวคือ หลังมีการแต่งตั้งให้ พระพรหมสุธี หรือเจ้าคุณเสนาะขึ้นเป็นเจ้าอาวาสคนใหม่ ปมความขัดแย้งปะทุหนัก เมื่อเจ้าคุณเสนาะได้สั่งปลดเจ้าคุณธงชัยผู้ช่วยเจ้าอาวาสออกจากการทำหน้าที่บริหารเงินบริจาคในพื้นที่ภูเขาทอง ก่อนจะแจ้งความดำเนินคดีเรื่องการยักยอกเงินบริจาคภายในวัด จากนั้นเรื่องก็บานปลาย เมื่อมีการแฉเอกสารพาดพิงยังพระพรหมสุธีว่าร่ำรวยผิดปกติ เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินมากกว่า 1,000 ล้านบาท พร้อมกับมีการตั้งข้อสังเกตว่า ข้อมูลที่นำมาโจมตีพระพรหมสุธีนั้นมาจากกลุ่มของพระพรหมสิทธิที่ไม่พอใจเพราะถูกปลดออก ก่อนที่สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ได้มีบัญชาให้พระพรหมสุธี คืนตำแหน่งหน้าที่ดูแลภูเขาทอง แก่เจ้าคุณธงชัยตามบัญชาของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ ที่เคยสั่งเสียไว้ให้เจ้าคุณเสนาะเป็นเจ้าอาวาส และให้เจ้าคุณธงชัยดูแลภูเขาทอง
ต่อมามรสุมก็กระหน่ำเข้าใส่เจ้าคุณเสนาะอย่างหนักจนต้องพ้นจากตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสระเกศ จากปัญหาความไม่โปร่งใสในการบริหารงบจัดงานพระราชทานเพลิงศพ “สมเด็จเกี่ยว” 67 ล้านบาท หลังนั่งเก้าอี้เจ้าอาวาสเพียงปีเศษ และเมื่อ“เจ้าคุณเสนาะ” สิ้นอำนาจวาสนาและมรณภาพ เจ้าคุณธงชัยก็ก้าวเข้าสู่ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสระเกศสืบต่อในทันที
ทั้งนี้ กล่าวสำหรับเจ้าคุณธงชัยนั้น ต้องถือว่าเป็นผู้มากบารมีในระดับที่ไม่ธรรมดา และมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย เมื่อครั้งที่มีปัญหาตำแหน่ง “เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อโสธร” ก็ปรากฏชื่อ “เจ้าคุณธงชัย” โผล่เข้ามามีบทบาทสำคัญแทน “เจ้าคุณสุรชัย-พระเทพรัตนมุนี” ซึ่งแม้มีตำแหน่งเป็นเจ้าคณะภาค 12 แต่มีฐานะเป็นเพียง “ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ” ที่อยู่ภายใต้การปกครองของ “เจ้าคุณธงชัย” ผู้เป็นเจ้าอาวาสนั่นเอง
และแน่นอนว่า เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นวัดสระเกศแล้ว ก็ย่อมสามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ที่มีมาตั้งแต่ครั้งสมเด็จเกี่ยวทั้งในส่วนของ “วัดพระธรรมกาย” และ “การเมือง” โดยเฉพาะในทางการเมือง ซึ่งเป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปว่า “ลึกซึ้ง” กับ “ขั้วสีแดง” ดังปรากฏภาพแกนนำคนสำคัญๆ ไปร่วมทำบุญทำทานอยู่เสมอๆ
ขณะที่ตัวเจ้าคุณธงชัยเองนั้น ด้วยความที่สมเด็จเกี่ยวมอบหมายให้มีตำแหน่งเป็นประธานสำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศ รับผิดชอบงานพระธรรมทูตสายยุโรปและสแกนดิเนเวีย จึงทำให้มีความสัมพันธ์อันดีกับวัดพระธรรมกาย จนอาจกล่าวได้ว่า การที่วัดพระธรรมกายไปขยายอาณาจักรด้วยการสร้างวัดสาขาในยุโรปและสแกนดิเนเวียได้นั้น ล้วนแล้วแต่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้าคุณแห่งวัดสระเกศรูปนี้ไม่น้อย
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องจับตากันต่อไปก็คือ มส.อันเป็นองค์กรปกครองสูงสุดของคณะสงฆ์ไทยจะทำอย่างไรกับพระชั้นผู้ใหญ่ที่ต้องคดีทั้ง 5 รูป จะทำตามข้อเสนอของทางผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษที่ได้แจ้งความเอาไว้กับ ปปป.ว่า “การกระทำของผู้ต้องหาที่ 1-3 นอกจากกระทำผิดทางอาญาแล้ว ยังเข้าข่ายอาบัติปาราชิกตามพระธรรมวินัย ไม่สมควรครองสมณศักดิ์พระราชาคณะชั้นเจ้า คณะรอง และดำรงตำแหน่งกรรมการ มส.” หรือไม่
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะดำเนินการตามสิ่งที่ปรากฏข้างต้น และเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันพอสมควรถึงขอบข่ายอำนาจของ พศ.ในการแจ้งข้อกล่าวหา เนื่องเพราะความผิดทางสงฆ์กับความผิดทางโลกนั้นเป็นคนละส่วนกัน โดยเฉพาะเรื่องตำแหน่งทางการปกครอง ซึ่ง มส.ในฐานะองค์กรปกครองของคณะสงฆ์ไทยจำต้องแสดงท่าทีหรือตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะผู้ถูกกล่าวหาหรือผู้ถูกแจ้งความดำเนินคดีเป็นกรรมการ มส.
“ควรที่ มส.จะต้องมีมติให้พระเถระชั้นผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว หยุดพักการเป็นกรรมการมหาเถรสมาคม รวมถึงตำแหน่งอื่นๆ เป็นการชั่วคราว เพื่อหยุดปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อน จนกว่าเรื่องจะยุติ”สมพร เทพสิทธา สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ในฐานะประธานอนุกรรมาธิการศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรมและการท่องเที่ยว และประธานสภายุวพุทธิกสมาคมแห่งชาติ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ให้ความเห็น
ขณะที่ทางฝ่ายอาณาจักรนั้น พล.ต.ต.กมล เหรียญราชา ผบก.ปปป. เปิดเผยว่า ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ บก.ปปป. ได้ส่งสำนวนทั้งหมด 4 สำนวน ซึ่งเป็นกรณีที่มีพระชั้นผู้ใหญ่เกี่ยวข้องทั้งหมด 5 รูปนั้น ไปให้กับทาง ป.ป.ช. แล้วเมื่อวันที่ 11 เม.ย.ที่ผ่านมา ดังนั้นอำนาจการสอบสวนจะอยู่ในความรับผิดชอบของ ป.ป.ช.ที่จะต้องตรวจสอบเรื่องทุจริตต่อไป ในส่วนของการฟอกเงินจะเป็นหน้าที่ของ ปปง.
ทั้งนี้ การแจ้งความร้องทุกข์เพื่อเอาผิดผู้กระทำผิดในคดีเงินทอนวัดครั้งนี้ ถือเป็นล็อตที่ 3 แล้ว โดยมีทั้งหมด 10 วัด แต่ พ.ต.ท.พงศ์พรได้แจ้งความเอาไว้ก่อน 3 วัด อย่างไรก็ตาม 3 วัดดังกล่าว หลังสอบปากคำเสร็จ ได้มอบหมายให้ พ.ต.อ.จักษ์ เพ็งสาธร รองผู้บังคับการ ปปป. นำพนักงานสอบสวน พร้อมสำนวน 4 แฟ้มใหญ่ ไปส่งให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ทันที เนื่องเพราะตามพระราชบัญญัตประกอบรัฐธรรมนูญ(พ.ร.ป.) ว่าด้วย ป.ป.ช.ฉบับใหม่ ระบุว่า ป.ป.ช.มีอำนาจในการตรวจสอบบุคคล ทั้งรัฐ พระและเอกชน ที่เข้าข่ายเป็นผู้สนับสนุนเจ้าหน้าที่รัฐกระทำทุจริต ซึ่งหากพบว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐเป็นตัวการหลักในการทุจริตและมีบุคคลใดเกี่ยวข้องตั้งแต่ต้นทางาจนถึงปลายทาง ก็เข้าข่ายที่ ป.ป.ช.มีอำนาจในการตรวจสอบได้
สำหรับคดีเงินทอนวัด ก่อนหน้านี้มีการดำเนินคดีไปแล้ว 2 ล็อต โดยล็อตแรก ปปป.ได้นำสำนวนการตรวจสอบกรณีการทุจริตเงินอุดหนุนงบประมาณบูรณปฏิสังขรณ์วัด ไปให้สำนักงาน ป.ป.ช.ไต่สวนทั้งสิ้น 12 คดี อาทิ วัดในจังหวัดอำนาจเจริญ พระนครศรีอยุธยา ลำพูน และที่ผ่านมาคณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้มีมติชี้มูลความผิดนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ อดีตผู้อำนวยการ พศ., นายพนม ศรศิลป์ อดีตผู้อำนวยการ พศ., น.ส.ประนอม คงพิกุล รองผู้อำนวยการ พศ. กับพวกทุจริตงบประมาณโครงการเงินอุดหนุนการบูรณปฏิสังขรณ์วัดและการพัฒนาวัด กรณีวัดพนัญเชิงวรวิหาร จ.พระนครศรีอยุธยา ได้รับงบฯ อุดหนุนในปี 2557-2558 ไปแล้ว
นอกจากนี้ เมื่อต้นปี 2561 ยังได้ชี้มูลความผิด น.ส.ประนอม, นายพนม และข้าราชการ พศ. รวม 9 คน ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือทุจริต กรณีอนุมัติจัดสรรงบประมาณเงินอุดหนุนแก่วัด 3 แห่ง ใน จ.สงขลา ยะลา นราธิวาส วัดละ 4 ล้านบาท เมื่อปี 2558
ในส่วนของล็อตที่ 2 มีผู้ถูกกล่าวหาทั้งสิ้น 19 ราย โดยเป็นการทุจริตเงินอุดหนุนบูรณปฏิสังขรณ์วัดและพัฒนาวัด จำนวน 23 วัด ตั้งแต่ปี 2555-2560 ความเสียหายประมาณ 140 ล้านบาท แยกเป็น 21 สำนวน 33 แฟ้ม รวมเอกสารกว่า 13,000 แผ่น โดย ปปป.ได้นำสำนวนยื่นต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.ไปแล้วตั้งแต่เมื่อวันที่ 26 ก.ย.2560.
...ถึงตรงนี้ ต้องบอกว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายในการชำระสะสาง เนื่องเพราะพระที่ต้องคดีในล็อตนี้นั้นเป็นพระเถรานุเถระชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งจำเป็นต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบเพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน มีผลกระทบต่อจิตใจของประชาชน และที่สำคัญคือต้องมีฐานข้อมูลที่ชัดเจนในทุกมิติ...แต่เชื่อเหลือเกินว่า การที่ พ.ต.ท.พงศ์พรกล้าเช่นนี้ ย่อมไม่ใช่เรื่องธรรมดาอย่างแน่นอน